เคล็ดลับในการเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญวิดีโอ

โฆษณาวิดีโอมีการกระทำหลากหลายจากผู้ดู ซึ่งคุณสามารถวัดและติดตามเพื่อช่วยในการบรรลุเป้าหมายการโฆษณาได้ดียิ่งขึ้น เช่น

  • ถ้าพบว่าอัตราการดูโฆษณาวิดีโอต่ำกว่าโฆษณาในแคมเปญอื่นๆ คุณสามารถปรับแคมเปญเพื่อให้ได้อัตราการดูที่สูงขึ้น

  • ถ้าต้นทุนต่อการดู (CPV) ของคุณสูงกว่า CPV เป้าหมาย และคุณต้องการเข้าถึงผู้ชมที่กว้างขึ้น ลองปรับ CPV ให้ต่ำลง

บทความนี้จะให้เคล็ดลับ 8 เรื่องต่อไปนี้เพื่อช่วยคุณดังนี้


ใช้ครีเอทีฟโฆษณาวิดีโอที่แตกต่างกันเพื่อดึงดูดลูกค้ามากขึ้น

กลุ่มเป้าหมายอาจต้องการโต้ตอบกับวิดีโอในเดสก์ท็อปหรืออุปกรณ์เคลื่อนที่ และวิดีโอที่มีข้อความต่างกันก็อาจสร้างความรู้สึกที่ต่างออกไป ดังนั้นขอแนะนำให้อัปโหลดวิดีโอหลายๆ รายการที่มีอัตราส่วน (สี่เหลี่ยมจัตุรัส แนวตั้ง และแนวนอน) ที่ต่างกันและมีข้อความที่ต่างกันสำหรับแต่ละวิดีโอ ดูวิธีใช้วิดีโอสี่เหลี่ยมจัตุรัสและแนวตั้งเพื่อดึงดูดลูกค้าที่ใช้อุปกรณ์เคลื่อนที่


เสียงบรรยายในแคมเปญวิดีโอ

เสียงบรรยายใน Google Ads เป็นวิธีง่ายๆ และไม่เสียค่าใช้จ่ายในการใส่เสียงบรรยายคุณภาพสูงจากการอ่านเสียงข้อความให้เหมือนเสียงคนจริงจากไลบรารีชิ้นงาน Google Ads ลงในวิดีโอที่มีอยู่


ใช้ต้นทุนต่อการดู (CPV) ให้คุ้มค่าที่สุด

ต้นทุนต่อการดู (CPV) เฉลี่ย คือจำนวนเงินเฉลี่ยที่ผู้ลงโฆษณาจ่ายสำหรับการดูโฆษณาวิดีโอของตนแต่ละครั้ง CPV จะแตกต่างกันไปตามความยาวของโฆษณา คุณภาพครีเอทีฟโฆษณา การกำหนดเป้าหมาย และแรงขับเคลื่อนในการประมูล นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ


ประเมิน CPV

ต้นทุนต่อการดูเป็นสัญญาณที่มีประโยชน์ซึ่งแสดงถึงความสามารถในการแข่งขันของโฆษณาในระบบนิเวศการประมูล คุณจ่ายเงินให้แก่การดูมากกว่าที่คุณต้องการหรือคาดหวังหรือไม่ CPV ของคุณเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปหรือไม่ ด้วยการติดตามและปรับ CPV คุณก็พร้อมที่จะสื่อข้อความได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในกรณีที่โฆษณาทำงานมา 2 สัปดาห์แล้ว CPV ที่สูงขึ้นอาจเป็นสัญญาณว่าประสิทธิภาพโฆษณาลดลงเนื่องจากความถี่ที่มากเกินไป (Creative Fatigue) นอกจากนี้ CPV ที่สูงขึ้นยังอาจเป็นสัญญาณว่าการประมูลที่คุณแข่งขันมีแรงกดดันเพิ่มขึ้น ในทางกลับกัน CPV ที่ลดลงอาจบ่งชี้ว่ามีการแข่งขันน้อยลงในตลาด และคุณอาจมีโอกาสได้รับการดูที่ต้นทุนที่ต่ำลง


เคล็ดลับในการบรรลุเป้าหมาย CPV

ถึงแม้การเสนอราคาจะมีความเชื่อมโยงโดยตรงกับต้นทุนต่อการดูมากที่สุด แต่ความสมดุลระหว่างการกำหนดเป้าหมายและครีเอทีฟโฆษณาก็ทำให้มีการจับคู่กับผู้ใช้ที่ดีที่สุด ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้อัตราการดูสูงขึ้นและ CPV ต่ำลง และต่อไปนี้เป็นเคล็ดลับบางประการในการเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับ CPV

  • ปรับราคาเสนอ: ราคาเสนอมีความเชื่อมโยงโดยตรงกับ CPV โดยที่คุณจะจ่าย CPV ไม่เกินราคาเสนอสูงสุด อย่างไรก็ตาม ราคาเสนอทำหน้าที่เป็นเพดานเท่านั้นและเป็นวิธีเดียวในการปรับ CPV การใช้ราคาเสนออย่างมีประสิทธิภาพที่สุดคือเสนอราคาตามมูลค่าจริงของการดูที่คุณซื้อ (เช่นเดียวกับที่ทำกับคลิกใน Google Search) อย่างไรก็ตาม การจะได้มาซึ่ง "มูลค่าจริง" นี้มักจะทำได้ยากและเป็นจุดสำคัญที่คุณจะต้องมุ่งเน้นในการประเมินหลังแคมเปญ จุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดในการกำหนดมูลค่าของการดูก็คือการเปรียบเทียบการดูที่เสียค่าใช้จ่าย การดูที่เป็นของตัวเอง (การดูเนื้อหาที่เป็นของคุณ) และการดูที่ได้รับ (การดูจากการแชร์) การดูสามารถกระตุ้นให้เกิดกิจกรรมได้มากกว่าที่คุณจ่ายให้โดยตรง ด้วยโฆษณาในสตรีมแบบข้ามได้ ผู้ดูอาจมีส่วนร่วมมากขึ้นและจดจำโฆษณาได้แม้ว่าจะไม่ได้ดูครบ 30 วินาทีก็ตาม ซึ่งหมายความว่าคุณจะไม่ต้องจ่ายแต่ก็ยังได้รับมูลค่า
  • ขยายการกำหนดเป้าหมาย: การจำกัดการกำหนดเป้าหมายอาจนำไปสู่การแข่งขันที่สูงขึ้น ซึ่งมักจะแสดงออกมาในรูปแบบ CPV ที่สูงขึ้น นอกจากว่าคุณจะเข้าใกล้ราคาเสนอสูงสุดอยู่แล้ว ซึ่งในกรณีนี้คุณจะหยุดชนะการประมุลและจบลงด้วยงบประมาณที่ไม่ได้ใช้จ่าย การขยายการกำหนดเป้าหมายจะทำให้ระบบการแสดงโฆษณาค้นหาการประมูลที่โฆษณาและราคาเสนอของคุณสามารถแข่งขันได้มากขึ้น และอาจลด CPV เฉลี่ยโดยรวมของแคมเปญ คุณอาจยังพบกลุ่มเป้าหมายที่มีคุณค่าโดยมี CPV ต่ำกว่าด้วยการสำรวจเป้าหมายที่กว้างขึ้น อย่าลืมว่ารูปแบบแคมเปญโฆษณาในสตรีมแบบข้ามได้เองก็ทำหน้าที่เป็นตัวกรองการกําหนดเป้าหมายไปในตัว โดยคุณจะจ่ายก็ต่อเมื่อมีผู้ดูที่มีส่วนร่วมเลือกรับชมโฆษณาเท่านั้น
  • ผ่อนคลายข้อจำกัดอื่นๆ ระดับแคมเปญ: เช่น การปิดการแสดงโฆษณาแบบเร่ง การกำหนดเป้าหมายตามแพลตฟอร์ม หรือการปรับการตั้งค่าการหมุนเวียนโฆษณา อาจช่วยเพิ่มอัตราการดูให้สูงขึ้นและ CPV ลดลง
  • ปรับปรุงโฆษณา: เนื่องจากโฆษณาที่แข็งแกร่งจะช่วยให้ได้รับอัตราการดูที่ดีซึ่งมักจะส่งผลกระทบต่อ CPV เมื่ออัตราการดูเพิ่มขึ้น CPV จะลดลง เนื่องจากการประมูลให้ความสำคัญต่อโฆษณาที่มีความเกี่ยวข้องซึ่งกลุ่มเป้าหมายจะพอใจ ดังที่เห็นได้จากการที่ผู้ชมเต็มใจที่จะดูจนจบ ดูแนวทางปฏิบัติแนะนำอื่นๆ ในการสร้างโฆษณาวิดีโอที่มีประสิทธิภาพ

ใช้อัตราการดูให้ได้ประโยชน์สูงสุด

อัตราการดูคือจำนวนการดูโฆษณาวิดีโอรวม หารด้วยจำนวนคนที่ระบบแสดงโฆษณาให้เห็น อัตราการดูเป็นตัวบ่งชี้ที่ดีว่าผู้ดูคิดว่าวิดีโอของคุณน่าสนใจเพียงใด อัตราการดูยิ่งสูงแสดงว่าผู้ดูยิ่งรู้สึกมีส่วนร่วมกับเนื้อหาของคุณมากขึ้นเท่านั้น


การประเมินอัตราการดู

อัตราการดูเป็นเมตริกหลักในการทำความเข้าใจสถานภาพของโฆษณาวิดีโอ โดยทั่วไป โฆษณาวิดีโอที่มีอัตราการดูสูงจะชนะการประมูลมากกว่าและจ่าย CPV ต่ำกว่าโฆษณาวิดีโอที่มีอัตราการดูต่ำ ถ้าต้องการเพิ่มการดูให้สูงสุดที่ราคาต่ำสุด คุณควรพยายามหาชิ้นงานโฆษณาและวิธีการกำหนดเป้าหมายที่ช่วยเพิ่มอัตราการดูของโฆษณา และเช่นเดียวกับ CPV การวิเคราะห์อัตราการดูที่เวลาใดเวลาหนึ่งจะช่วยในการทำความเข้าใจว่าการทำงานของคุณมีประสิทธิภาพดีหรือแย่ แต่การทำความเข้าใจแนวโน้มมีความสำคัญมากกว่า


เคล็ดลับในการบรรลุเป้าหมายอัตราการดู

ถึงแม้การกำหนดเป้าหมายจะไม่ได้เป็นวิธีปรับปรุงอัตราการดูของแคมเปญอย่างชัดเจน แต่ก็อาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพได้ เนื่องจากจะส่งผลต่อการพิจารณาว่าใครที่จะดูโฆษณาของคุณได้บ้าง

  • ปรับปรุงโฆษณาของคุณ
    • โฆษณาที่สั้นกว่ามีอัตราการดูสูงกว่า ถ้าโฆษณาของคุณสามารถถ่ายทอดข้อความเดียวกันได้ที่ความยาว 20 วินาทีแทนที่จะเป็น 30 วินาที ลองแก้ไขโฆษณาให้สั้นลง
    • ถ้าคุณสร้างโฆษณาหลายรายการเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ โฆษณาแต่ละรายการจะให้โอกาสคุณเชื่อมต่อกับผู้ชมได้ดีขึ้น แม้แต่ความแตกต่างเล็กๆ น้อยๆ ในข้อความโฆษณาหรือวิดีโอก็อาจหมายถึงการปรับปรุงที่สำคัญในอัตราการดูและค่าใช้จ่ายทั่วทั้งแคมเปญ
    • การปรับเปลี่ยนเล็กน้อย เช่น การเปลี่ยนแปลงช่วงอินโทรหรือการเพิ่มหรือลบคำกระตุ้นให้ดำเนินการอาจช่วยเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ดูและปรับปรุงอัตราการดูได้
    • ลองหมุนเวียนโฆษณาที่แตกต่างกัน 2-3 รายการเข้าออกจากการประมูลเพื่อหลีกเลี่ยง "ความล้าของโฆษณา"

    ดูแนวทางปฏิบัติแนะนำอื่นๆ ในการสร้างโฆษณาวิดีโอที่มีประสิทธิภาพ

  • ปรับปรุงการกำหนดเป้าหมาย: ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างว่าการกำหนดเป้าหมายอาจส่งผลต่ออัตราการดูอย่างไร
    • การกำหนดเป้าหมายที่ไม่ถูกต้อง: ถ้าระบุกลุ่มเป้าหมายผิดกลุ่ม คุณอาจเห็นว่าผู้ชมข้ามโฆษณาวิดีโอบ่อยขึ้น คุณควรปรับวิธีการกำหนดเป้าหมายเมื่อรู้แล้วว่าคนกลุ่มใดตอบสนองต่อโฆษณาของคุณดีที่สุด
    • พลาดผู้ชม: คุณอาจกำลังจำกัดสถานที่ที่โฆษณาแสดง ซึ่งจะเป็นการ "ซ่อน" โฆษณาจากผู้ดูบางส่วนที่อาจต้องการดูโฆษณา ผู้ลงโฆษณาบางรายมองว่าการดูของผู้ชมที่อยู่นอกกลุ่มประชากรเป้าหมายเฉพาะเป็น "การเสียเปล่า" แต่อย่าลืมว่าโฆษณาวิดีโอในสตรีมแบบข้ามได้จะเรียกเก็บเงินเฉพาะเมื่อมีผู้เลือกที่จะรับชมวิดีโอเท่านั้น ดังนั้นคุณอาจพบกลุ่มเป้าหมายที่เปิดรับได้โดยการขยายการกำหนดเป้าหมาย การทำเช่นนี้มักจะมีประโยชน์เพิ่มเติม นั่นคือ CPV เฉลี่ยจะลดลง

ใช้อัตราการคลิกผ่าน (CTR) ให้ได้ประโยชน์สูงสุด

อัตราการคลิกผ่าน (CTR) คือจำนวนคลิกทั้งหมดที่โฆษณาวิดีโอได้รับ หารด้วยจำนวนคนที่ระบบแสดงโฆษณาให้เห็น ถึงแม้อัตราการดูจะเป็นเมตริกการมีส่วนร่วมหลักที่สัมพันธ์กับแคมเปญวิดีโอ แต่ CTR ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งในการวัดว่าแคมเปญวิดีโอของคุณทำงานได้ดีเพียงใด ยิ่ง CTR สูง แสดงว่าผู้ดูยิ่งรู้สึกมีส่วนร่วมกับเนื้อหาของคุณและสนใจที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับธุรกิจของคุณมากขึ้นเท่านั้น


การประเมิน CTR

ถ้าเป้าหมายของคุณคือการทำให้มีคนเข้าชมเว็บไซต์ ช่อง YouTube หรือหน้าสำหรับดูมากขึ้นด้วยโฆษณาวิดีโอ CTR เป็นเมตริกที่คุณควรดูและเพิ่มประสิทธิภาพ การติดตามดู CTR เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ จะช่วยให้คุณทราบว่าโฆษณาวิดีโอส่งลูกค้าจากโฆษณาไปยังเว็บไซต์ได้ดีเพียงใด


สร้างแคมเปญวิดีโอเพื่อกระตุ้นการกระทำเพื่อเพิ่ม CTR เมื่อเวลาผ่านไป

แคมเปญวิดีโอเพื่อกระตุ้นการกระทําช่วยให้คุณสร้างโฆษณาที่เพิ่มจํานวนคลิกและ Conversion ที่เกี่ยวข้องให้กับเว็บไซต์ได้ โฆษณาประเภทนี้สร้างขึ้นโดยใช้เป้าหมายแคมเปญโอกาสในการขาย ยอดขาย หรือการเข้าชมเว็บไซต์ และยังมี CTA ที่โดดเด่นเพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมกับผลิตภัณฑ์หรือบริการอีกด้วย ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแคมเปญวิดีโอเพื่อกระตุ้นการกระทำ


กำหนดเป้าหมายให้แคบลง

การแสดงโฆษณาทางออนไลน์ต่อผู้ใช้ที่มีความสนใจเฉพาะสามารถช่วยให้คุณเข้าถึงลูกค้าที่เหมาะสมได้ คุณสามารถแสดงโฆษณาให้ตรงกับความสนใจของผู้ชมที่เฉพาะเจาะจง ไม่ว่าจะเป็นคอเกม คนรักสัตว์ หรือผู้สนใจที่จะซื้อรถยนต์หรือบ้าน

เมื่อกำหนดเป้าหมายแคบลง คุณจะสามารถแสดงโฆษณาวิดีโอต่อผู้ชมที่มีความเกี่ยวข้องมากขึ้นในตำแหน่งที่มีความเหมาะสมทางบริบท ต่อไปนี้เป็นภาพรวมของวิธีการกำหนดเป้าหมายที่มีให้

  • กลุ่มประชากร: เลือกอายุ เพศ และสถานะความเป็นบิดามารดาของกลุ่มเป้าหมายที่คุณต้องการเข้าถึง
  • ความสนใจ: เลือกจากหมวดหมู่ที่มีให้เพื่อเข้าถึงผู้ที่สนใจหัวข้อเหล่านี้ แม้ว่าอาจกำลังเข้าชมหน้าเว็บเกี่ยวกับหัวข้ออื่นๆ อยู่ก็ตาม ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย
    • ผู้สนใจ: เพิ่มการรับรู้ถึงแบรนด์และกระตุ้นการพิจารณาด้วยโฆษณาวิดีโอ โดยการเข้าถึงผู้ที่มีความสนใจอย่างมากในหัวข้อที่เกี่ยวข้องอยู่แล้ว
    • ความตั้งใจและเหตุการณ์สำคัญในชีวิต: เลือกจากกลุ่มเป้าหมายเหล่านี้เพื่อค้นหาลูกค้าที่กำลังศึกษาข้อมูลผลิตภัณฑ์และกำลังพิจารณาซื้อผลิตภัณฑ์หรือบริการแบบเดียวกับที่คุณนำเสนออย่างจริงจัง
  • ข้อมูลของคุณ: เข้าถึงผู้ดูตามการโต้ตอบที่ผ่านมาของผู้ดูกับโฆษณาวิดีโอหรือช่อง YouTube ของคุณ ถ้าคุณลิงก์บัญชี Google กับบัญชี Google Ads แล้ว Google Ads จะสร้างรายการที่กำหนดเองให้โดยอัตโนมัติ ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายการรีมาร์เก็ตติ้งสำหรับผู้ชม YouTube
  • ตำแหน่ง: กำหนดเป้าหมายช่องที่ไม่ซ้ำ เว็บไซต์ หรือตำแหน่งที่อยู่ในนั้น เช่น คุณอาจกำหนดเป้าหมายเป็นบล็อกแห่งหนึ่งที่มีการเข้าชมสูงหรือหน้าแรกของเว็บไซต์ข่าวที่ได้รับความนิยม ตำแหน่งมีดังต่อไปนี้
    • ช่อง (ช่องพาร์ทเนอร์ YouTube)
    • วิดีโอ (วิดีโอ YouTube)
    • เว็บไซต์ (เครือข่ายดิสเพลย์ - รวม YouTube.com ในฐานะเว็บไซต์ผู้เผยแพร่โฆษณา)
  • หัวข้อ: กำหนดเป้าหมายโฆษณาวิดีโอไปยังหัวข้อเฉพาะเจาะจงใน YouTube และเครือข่ายดิสเพลย์ของ Google การกำหนดหัวข้อเป้าหมายทำให้คุณเข้าถึงวิดีโอ ช่อง และเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อที่เลือกได้อย่างกว้างขวาง เช่น หากกำหนดเป้าหมายไปที่หัวข้อ "ยานยนต์" โฆษณาจะแสดงต่อผู้ที่กำลังดูวิดีโอเกี่ยวกับรถยนต์ใน YouTube
  • คีย์เวิร์ด: คุณแสดงโฆษณาวิดีโอตามคำหรือวลี (คีย์เวิร์ด) ที่เกี่ยวข้องกับวิดีโอ YouTube, ช่อง YouTube หรือประเภทของเว็บไซต์ที่กลุ่มเป้าหมายสนใจได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรูปแบบโฆษณาวิดีโอ

    ป้องกันไม่ให้โฆษณาแสดงในบางกรณีด้วยการเพิ่มการยกเว้น

    คุณสามารถดูได้ว่าวิธีการกำหนดเป้าหมายแต่ละแบบมีประสิทธิภาพเป็นอย่างไรสำหรับโฆษณาของคุณ โดยดูที่แท็บ "การกำหนดเป้าหมายวิดีโอ" ที่แท็บนี้ คุณอาจพบว่าโฆษณาไม่มีความเกี่ยวข้องกับบางหัวข้อหรือกลุ่มประชากรบางกลุ่ม หากเกิดกรณีนี้ คุณอาจลองเพิ่มหัวข้อหรือกลุ่มประชากรดังกล่าวเป็นการยกเว้นที่ระดับแคมเปญในบัญชีของคุณ วิธีนี้จะมีประโยชน์ถ้าวิดีโอเกี่ยวข้องกับกลุ่มประชากรเฉพาะเพียงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และคุณต้องการกำหนดเป้าหมายเป็นหัวข้อเฉพาะบางเรื่องที่ไม่ต้องการให้ผู้ชมบางรายเห็น

    ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีเพิ่มการยกเว้นได้ที่เพิ่มการกำหนดเป้าหมายในแคมเปญวิดีโอ

    หมายเหตุ: การใช้การยกเว้นอาจทำให้การเข้าถึงของแคมเปญวิดีโอถูกจำกัด


ปรับปรุงการเสนอราคา

พิจารณาเปลี่ยนราคาเสนอของโฆษณาวิดีโอในฟีดเพื่อเพิ่มโอกาสที่โฆษณาจะแสดงต่อผู้ชมที่สนใจ โดยทั่วไปแล้ว การที่ผู้ชมเลือกดูโฆษณาวิดีโอในฟีดของคุณเป็นการสะท้อนถึงความต้องการที่จะมีส่วนร่วมกับแบรนด์ของคุณ จึงน่าจะสมเหตุสมผลถ้าคุณจะเพิ่มราคาเสนอในรูปแบบเหล่านี้ ในทางกลับกัน ถ้าคุณสนใจจำนวนการดู การเข้าชมเว็บไซต์ หรือการเพิ่มความรับรู้ถึงแบรนด์มากกว่า ให้ลองเพิ่มราคาเสนอให้รูปแบบในสตรีม เพื่อเพิ่มโอกาสที่ผู้ชมจะดูบางส่วนของโฆษณาเป็นอย่างน้อย

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเสนอราคาแบบต้นทุนต่อการดู (CPV)


ใช้รีมาร์เก็ตติ้งวิดีโอ

การรีมาร์เก็ตติ้งวิดีโอเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพที่นำกิจกรรมของผู้ชมมายังช่อง YouTube ของคุณเพื่อสร้างรายการที่เฉพาะเจาะจงอย่างสูงเพื่อกำหนดเป้าหมายโฆษณาใหม่ หลังจากที่ลิงก์บัญชี Google กับบัญชี Google Ads คุณจะสร้างรายการเหล่านี้ได้ตามวิธีต่างๆ ที่ผู้คนโต้ตอบกับวิดีโอ เช่น ดูวิดีโอ ติดตามช่อง หรือแม้แต่กดชอบ ดูวิธีรีมาร์เก็ตไปยังผู้ชม YouTube ด้วย Google Ads

หากใช้รีมาร์เก็ตติ้งในแคมเปญในเครือข่ายดิสเพลย์อยู่แล้ว คุณจะใช้รายการรีมาร์เก็ตติ้งวิดีโอสำหรับโฆษณาแบบดิสเพลย์ได้ในแบบเดียวกับที่กำหนดเป้าหมายวิดีโอต่อผู้ที่โต้ตอบกับเว็บไซต์แล้วได้ ตัวอย่างเช่น คุณสามารถสร้างรายการชุดค่าผสมแบบไดนามิกเพื่อกำหนดเป้าหมายผู้ที่เคยดูโฆษณาวิดีโอแต่ยังไม่ได้ทำ Conversion หรือผู้ที่เคยมาที่เว็บไซต์ของคุณแต่ยังไม่ได้ติดตามช่อง


ใช้การตั้งค่าแคมเปญขั้นสูง

ลองใช้การตั้งค่าขั้นสูงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญ ใช้การตั้งค่ากำหนดการเพื่อระบุเวลาหรือวันในสัปดาห์ที่เฉพาะเจาะจงที่คุณต้องการให้โฆษณาปรากฏ และเพื่อควบคุมระยะเวลาที่แคมเปญทำงาน การดูแลเนื้อหาให้ทันสมัยเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ผู้ชมกลับมาเรื่อยๆ ดังนั้นคุณควรพิจารณาการตั้งเวลาโฆษณาในสตรีม เพื่อให้โฆษณาทำงานเป็นเวลา 1 เดือน

นอกจากนี้คุณยังกำหนดความถี่สูงสุด ซึ่งจะจำกัดจำนวนครั้งที่โฆษณาจะปรากฏต่อผู้ใช้รายหนึ่งใน YouTube หรือพาร์ทเนอร์ในเครือข่าย Display ของ Google ได้อีกด้วย การกำหนดความถี่สูงสุดจะมีประโยชน์ในกรณีที่คุณต้องการจำกัดจำนวนครั้งที่ผู้ใช้เห็นโฆษณา หรือในกรณีที่ต้องการเน้นการแสดงผลกับผู้ใช้ใหม่ๆ มากกว่า

คุณจะเลือกภาษาของเว็บไซต์และวิดีโอที่โฆษณาปรากฏได้ด้วยการเปลี่ยนภาษาเป้าหมายในการตั้งค่าแคมเปญ Google Ads เลือกตำแหน่งที่จะให้โฆษณาแสดงโดยพิจารณาจากการตั้งค่าภาษาใน Google ของผู้ใช้ หรือภาษาของคำค้นหาของผู้ใช้ หน้าเว็บที่กำลังดู หรือหน้าเว็บที่ดูล่าสุดในเครือข่าย Display ของ Google


โฆษณาวิดีโอที่เหมาะกับการดูในแนวตั้ง

เพิ่มประสิทธิภาพ App Campaign, แคมเปญ Performance Max และแคมเปญวิดีโอโดยใส่วิดีโอแนวตั้งไว้ในชิ้นงานครีเอทีฟโฆษณาตามแนวทางปฏิบัติแนะนำ ประสบการณ์การดูวิดีโอแนวตั้งแบบเต็มหน้าจอที่เหมาะกับอุปกรณ์เคลื่อนที่จะช่วยให้แคมเปญได้การมีส่วนร่วมจากผู้ดูวิดีโอบนอุปกรณ์เคลื่อนที่มากขึ้น

สําหรับ YouTube ทุกแคมเปญที่มีสิทธิ์ใช้วิดีโอล้วนรองรับวิดีโอแนวตั้ง โดยมีตำแหน่งโฆษณาที่เป็นไปได้ในฟีด ในสตรีม ใน YouTube Search และ YouTube Shorts ในบางกรณี แค่การใส่ชิ้นงานวิดีโอแนวตั้งลงในแคมเปญวิดีโอเพื่อกระตุ้นการกระทำก็สามารถเพิ่ม Conversion ได้ถึง 10-20% เมื่อเทียบกับการมีวิดีโอแนวนอนเพียงอย่างเดียวสำหรับ YouTube Shorts

โฆษณาของคุณจะทํางานในพาร์ทเนอร์วิดีโอของ Google ภายนอก YouTube ด้วยเพื่อเข้าถึงผู้คนมากขึ้น พื้นที่โฆษณาส่วนใหญ่จากพาร์ทเนอร์วิดีโอของ Google มุ่งเน้นการใช้งานในแนวตั้ง เช่น แอปเกมและวิดีโอ เพื่อใช้ประโยชน์จากชิ้นงานวิดีโอแนวตั้งและสี่เหลี่ยมจัตุรัสให้มากยิ่งขึ้น

หมายเหตุ: ระบบอาจแสดงวิดีโอแนวตั้งในฟีดต่อผู้ที่ใช้เดสก์ท็อป เนื่องจากชิ้นงานที่มีประสิทธิภาพดีที่สุดจะแสดงโดยอิงตามพฤติกรรมของผู้ใช้และสภาพแวดล้อม

หากต้องการเริ่มสร้างชิ้นงานวิดีโอแนวตั้ง ให้ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสร้างวิดีโอใน Google Ads

ลิงก์ที่เกี่ยวข้อง

ข้อมูลนี้มีประโยชน์ไหม

เราจะปรับปรุงได้อย่างไร
true
Achieve your advertising goals today!

Attend our Performance Max Masterclass, a livestream workshop session bringing together industry and Google ads PMax experts.

Register now

ค้นหา
ล้างการค้นหา
ปิดการค้นหา
เมนูหลัก
2951752199585875983
true
ค้นหาศูนย์ช่วยเหลือ
true
true
true
true
true
73067
false
false
false