วิธีตั้งค่าการผสานรวม Salesforce

หน้า "บัญชีที่ลิงก์" ในส่วนผู้ดูแลระบบ Admin Icon ได้ย้ายไปที่ "Data Manager" ในเครื่องมือ Tools Icon แล้ว Google Ads Data Manager เป็นเครื่องมือสำหรับนำเข้าและจัดการข้อมูลที่ใช้งานได้ด้วยการชี้และคลิก ซึ่งให้คุณนำข้อมูลลูกค้าจากผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่ของ Google มาเปิดใช้งานใน Google Ads ได้ ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Data Manager

การตั้งค่าการผสานรวม Salesforce ให้คุณวัดเหตุการณ์ Conversion ออฟไลน์ (ที่เกิดขึ้นหลังโอกาสในการขาย) เพื่อนําเข้าไปไว้ใน Google Ads โดยตรง ซึ่งจะช่วยให้คุณวัดผล รายงาน และเพิ่มประสิทธิภาพเหตุการณ์ออฟไลน์ รวมถึงกําหนดเวลาการนําเข้าอัตโนมัติได้ การตั้งค่านี้รองรับข้อมูลที่ได้จากผู้ใช้ (เช่น อีเมล) หรือคีย์สำหรับการรวม GCLID เพื่อให้โซลูชัน Conversion ที่ปรับปรุงแล้วสำหรับโอกาสในการขายและการนําเข้า Conversion ออฟไลน์ทำงานได้

หมายเหตุ: ข้อมูลนี้ใช้กับการผสานรวมมาตรฐานกับ Salesforce หากคุณเห็น "Salesforce" ในรายการแหล่งที่มาของการนําเข้าเมื่อสร้างการกระทําที่ถือเป็น Conversion ใหม่จากการนําเข้า แสดงว่าคุณใช้การผสานรวมเดิมกับ Salesforce คุณจะมีตัวเลือกในการอัปเกรดการผสานรวม Salesforce ในอนาคต

ในหน้านี้

วิธีตั้งค่า Conversion ที่ปรับปรุงแล้วสำหรับโอกาสในการขาย

ก่อนเริ่มต้น

  • มีข้อมูลเข้าสู่ระบบ Salesforce ที่เป็นไปตามข้อกําหนดสิทธิ์ขั้นต่ำในบัญชี Salesforce
  • สามารถทําการเปลี่ยนแปลงในบัญชี Salesforce รวมถึงเปิดใช้ API และการติดตามประวัติฟิลด์
  • กําหนดค่าแท็ก Google และใช้ Google Tag Manager เพื่อบันทึก Conversion ในเว็บไซต์และโอกาสในการขายอย่างเหมาะสม
  • ตรวจสอบว่ามีข้อมูลลูกค้าจากบุคคลที่หนึ่ง (อีเมลและ/หรือหมายเลขโทรศัพท์) ในแบบฟอร์มโอกาสในการขายบนเว็บไซต์
  • ตรวจสอบและยืนยันว่าสามารถปฏิบัติตามนโยบายข้อมูลลูกค้าใน Google Ads
  • ก่อนตั้งค่า Conversion ที่ปรับปรุงแล้วสําหรับโอกาสในการขาย คุณต้องระบุโฆษณาแบบกรอกฟอร์มบนเว็บไซต์และเลือก 1 ฟิลด์จากแบบฟอร์มซึ่งระบุโอกาสในการขายที่ไม่ซ้ำกัน รวมถึงต้องระบุตัวแปรต่อไปนี้อย่างน้อย 1 รายการเมื่อกําหนดค่า Conversion ที่ปรับปรุงแล้วสําหรับโอกาสในการขายบนเว็บไซต์และเมื่อนําเข้า Conversion ในภายหลัง
  • อีเมล (แนะนำ)
    • นําช่องว่างขึ้นต้นหรือต่อท้ายออก
    • แปลงข้อความให้เป็นตัวพิมพ์เล็ก
    • นําจุด (.) ที่อยู่ก่อนชื่อโดเมนออกทั้งหมด
  • หมายเลขโทรศัพท์
  • เราขอแนะนําให้ใช้อีเมลของผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าเนื่องจากเป็นตัวระบุที่ไม่ซ้ำกันและไม่มีแนวโน้มที่จะได้รับการจัดรูปแบบใหม่ใน CRM หากใช้หมายเลขโทรศัพท์ แท็กจะนําสัญลักษณ์และเครื่องหมายขีดออก แต่หมายเลขจะต้องมีรหัสประเทศ

วิธีตั้งค่าเพื่อนําเข้า Conversion ออฟไลน์

ก่อนเริ่มต้น

  • มีข้อมูลเข้าสู่ระบบ Salesforce ที่เป็นไปตามข้อกําหนดสิทธิ์ขั้นต่ำในบัญชี Salesforce
  • สามารถลงชื่อเข้าใช้บัญชี Sales Cloud ของ Salesforce โดยใช้การเข้าสู่ระบบที่มีสิทธิ์เพียงพอ เพื่อให้ตั้งค่าได้ง่ายที่สุด คุณควรใช้บัญชีที่มีสิทธิ์ระดับผู้ดูแลระบบ โดยที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงการตั้งค่าสิทธิ์การเข้าถึงเริ่มต้น
  • เปิดใช้การติดแท็กอัตโนมัติในบัญชี Google Ads
  • แก้ไขโค้ดในเว็บไซต์ของคุณเองได้ คุณหรือนักพัฒนาเว็บจะต้องแก้ไขโค้ดเพื่อเก็บ Google Click ID (GCLID)
  • สามารถทำการเปลี่ยนแปลงในบัญชี Salesforce ได้ รวมถึงการสร้างฟิลด์ที่กำหนดเอง และการเปิดใช้การติดตามประวัติฟิลด์
  • มีวงจรตั้งแต่คลิกไปถึง Conversion ที่น้อยกว่า 90 วัน Google Ads จะไม่นำเข้า Conversion ที่อัปโหลดเกิน 90 วันหลังจากคลิกสุดท้ายที่เกี่ยวข้องและจะไม่แสดงในสถิติ Conversion
  • ใช้ฟีเจอร์ Web-to-Lead ของ Salesforce หรือโซลูชันอื่นเพื่อส่งข้อมูลโอกาสในการขายจากเว็บไซต์ไปยัง Salesforce

วิธีการ

ทำตามขั้นตอนด้านล่างเพื่อเตรียมบัญชี Salesforce บัญชี Google Ads และเว็บไซต์ จากนั้นลิงก์บัญชี Salesforce กับ Google Ads แล้วจึงเริ่มนำเข้า Conversion

แต่ละธุรกิจมีความแตกต่างกัน ต่อไปนี้เป็นวิธีการพื้นฐานเท่านั้น คุณอาจต้องปรับแต่งการตั้งค่าตามลักษณะการใช้งาน Salesforce ของคุณ หากคุณมีคนอื่นจัดการบัญชี Salesforce ให้ คุณอาจต้องขอความช่วยเหลือจากเขาเพื่อหาโซลูชันที่ดีที่สุด

ขั้นตอนที่ 1: กำหนดค่าบัญชี Salesforce

ก่อนที่จะเริ่มต้น คุณควรตั้งค่าบัญชี Salesforce ให้มีลักษณะดังต่อไปนี้ หากธุรกิจของคุณมีคนอื่นจัดการบัญชี Salesforce ให้ พวกเขาช่วยคุณได้ในขั้นตอนนี้

  1. อัปเดตออบเจ็กต์โอกาสด้วยการเปลี่ยนแปลงต่อไปนี้
    • สร้างฟิลด์ที่กำหนดเองโดยใช้ "Field Name" เป็น GCLID (อักษรตัวพิมพ์ใหญ่ทั้งหมดและไม่มีเครื่องหมายคำพูด) และตั้งชื่อ "Field Label" เป็นอะไรก็ได้ตามต้องการ กำหนดความยาวฟิลด์เป็น 255 อักขระ กำหนดให้ฟิลด์นี้เป็นแบบอ่านอย่างเดียวเพื่อที่ผู้ใช้จะได้ไม่เผลอไปแก้ไขโดยไม่ตั้งใจ
    • เปิดใช้การติดตามประวัติฟิลด์สำหรับฟิลด์ "Stage"
  2. อัปเดตออบเจ็กต์โอกาสในการขายด้วยการเปลี่ยนแปลงต่อไปนี้

ขั้นตอนที่ 2: ปรับเปลี่ยนแบบฟอร์ม Web-to-Lead ของ Salesforce

ในการจัดเก็บ GCLID พร้อมกับข้อมูลโอกาสในการขาย คุณจะต้องแก้ไขแบบฟอร์มการส่ง Web-to-Lead เพื่อให้โอกาสในการขายใหม่ทั้งหมดมีค่า GCLID ดังกล่าว คุณอาจต้องขอความช่วยเหลือจากนักพัฒนาเว็บและผู้ดูแลระบบ Salesforce เพื่อดําเนินขั้นตอนนี้ให้เสร็จสมบูรณ์

ต่อไปนี้เราจะอธิบายวิธีเพิ่มฟิลด์ GCLID ลงในแบบฟอร์ม Web-to-Lead ที่คุณมีอยู่

  1. สร้างแบบฟอร์ม Web-to-Lead มาตรฐาน และใส่ฟิลด์ทั้งหมดที่ต้องการให้ผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าส่ง และใส่ฟิลด์ "GCLID" ของโอกาสในการขายเป็นฟิลด์ที่ "ซ่อนไว้" ตอนนี้ ผู้ดูแลระบบ Salesforce หรือนักพัฒนาเว็บของคุณจะทราบวิธีทําการเปลี่ยนแปลงนี้
  2. ผู้ดูแลเว็บต้องจดบันทึกรหัสของฟิลด์ป้อนข้อมูล GCLID ใหม่ เนื่องจากจำเป็นสำหรับขั้นตอนถัดไปซึ่งจะใช้ JavaScript ในเว็บไซต์
  3. จากนั้นนักพัฒนาเว็บจะใช้โค้ด HTML ของแบบฟอร์มใหม่นี้ และอัปเดตแบบฟอร์มที่มีอยู่ ซึ่งหมายความว่าแบบฟอร์มจะเริ่มส่งค่า GCLID ไปพร้อมกับข้อมูลของโอกาสในการขายไปยัง Sales Cloud
หมายเหตุ: คุณควรปฏิบัติตามกฎระเบียบท้องถิ่นเกี่ยวกับความยินยอมในการใช้คุกกี้ด้วย

Salesforce และหน้าเว็บพร้อมที่จะรวบรวมข้อมูลทั้งหมดแล้ว ขั้นตอนถัดไป นักพัฒนาเว็บจะอัปเดตเว็บไซต์เพื่อให้ส่งค่า GCLID ไปยังฟิลด์แบบฟอร์ม GCLID ใหม่โดยอัตโนมัติ

โปรดทราบว่าแบบฟอร์ม Web-to-Lead ต้องอยู่ในโดเมนเดียวกับหน้าเว็บที่เหลือ JavaScript จึงจะโอนค่า GCLID ไปยังแบบฟอร์มได้อย่างถูกต้อง

หมายเหตุ: วิธีการอื่นในการส่งโอกาสในการขาย

หากข้อมูลโอกาสในการขายจากแบบฟอร์มบนเว็บของคุณถูกส่งผ่านทางระบบอื่นก่อนจะไปถึง Salesforce โปรดตรวจสอบว่าระบบประมวลผลโอกาสในการขายที่เป็นตัวกลางนั้นได้ส่งต่อ GCLID มาด้วยหรือไม่ เพื่อที่ค่า GCLID จะไปถึงบัญชี Salesforce ในที่สุด ระบบที่คุณใช้น่าจะมีวิธีจัดการกับเรื่องนี้ หากไม่แน่ใจ โปรดติดต่อฝ่ายสนับสนุนของระบบตัวกลางที่คุณใช้อยู่

ขั้นตอนที่ 3: แก้ไขเว็บไซต์เพื่อรวบรวมและบันทึกรหัสคลิก

เมื่อผู้เข้าชมคลิกโฆษณา Google Ads จะเพิ่มพารามิเตอร์ "GCLID" ของ URL ต่อท้าย URL ที่นำไปยังหน้า Landing Page

เว็บไซต์จะต้องบันทึกและเก็บค่าของพารามิเตอร์นี้เพื่อดึงข้อมูลในภายหลังเมื่อผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าป้อนข้อมูลในโฆษณาแบบกรอกฟอร์ม นักพัฒนาเว็บจะให้ความช่วยเหลือคุณในการแก้ไขโค้ดของเว็บไซต์ได้หากทำงานร่วมกันอยู่แล้ว

เราขอแนะนำให้ดำเนินการนี้โดยแก้ไขและฝังโค้ด JavaScript ต่อไปนี้ แต่ก่อนที่จะฝังโค้ด อย่าลืมอัปเดตบรรทัด 'var gclidFormFields' เพื่อรวมรหัสฟิลด์ของฟิลด์ใหม่ที่เพิ่มไว้ในขั้นตอนก่อนหน้า เพราะนี่เป็นวิธีที่ JavaScript จะรู้ว่าฟิลด์ใดควรมีค่า GCLID เมื่อแก้ไขเสร็จ คุณควรฝังโค้ดนี้ไว้หน้าแท็กปิด </body> ของหน้าเว็บทุกหน้า

<script>

function getParam(p) {

var match = RegExp('[?&]' + p + '=([^&]*)').exec(window.location.search);

return match && decodeURIComponent(match[1].replace(/\+/g, ' '));

}

function getExpiryRecord(value) {

var expiryPeriod = 90 * 24 * 60 * 60 * 1000; // 90 day expiry in milliseconds

var expiryDate = new Date().getTime() + expiryPeriod;

return {

value: value,

expiryDate: expiryDate

};

}

function addGclid() {

var gclidParam = getParam('gclid');

var gclidFormFields = ['gclid_field', 'foobar']; // all possible gclid form field ids here

var gclidRecord = null;

var currGclidFormField;

var gclsrcParam = getParam('gclsrc');

var isGclsrcValid = !gclsrcParam || gclsrcParam.indexOf('aw') !== -1;

gclidFormFields.forEach(function (field) {

if (document.getElementById(field)) {

currGclidFormField = document.getElementById(field);

}

});

if (gclidParam && isGclsrcValid) {

gclidRecord = getExpiryRecord(gclidParam);

localStorage.setItem('gclid', JSON.stringify(gclidRecord));

}

var gclid = gclidRecord || JSON.parse(localStorage.getItem('gclid'));

var isGclidValid = gclid && new Date().getTime() < gclid.expiryDate;

if (currGclidFormField && isGclidValid) {

currGclidFormField.value = gclid.value;

}

}

window.addEventListener('load', addGclid);

</script>

ขอแนะนําอย่างยิ่งให้แทรกโค้ดนี้ลงในทุกหน้าของเว็บไซต์ วิธีนี้จะทำให้คุณไม่ต้องเพิ่มโค้ดทุกครั้งที่คุณสร้างโฆษณาใหม่ที่มีหน้า Landing Page ใหม่ นอกจากนี้คุณยังไม่ต้องกังวลว่า GCLID จะหายไป หากคุณเริ่มเปลี่ยนเส้นทางการเข้าชมโฆษณาไปยังหน้า Landing Page อื่น คุณอาจเพิ่มโค้ดนี้ลงในเทมเพลตหน้าเว็บ (หรือองค์ประกอบของหน้าที่ใช้ร่วมกัน เช่น ส่วนท้าย) เพื่อให้หน้าเว็บทุกหน้ารวมโค้ดนี้ไว้โดยอัตโนมัติ

ขั้นตอนที่ 4: ทดสอบว่าระบบของคุณทำงาน

  1. ไปที่เว็บไซต์ของคุณแล้วเพิ่มพารามิเตอร์ ?gclid="test" ลงใน URL
    • ตัวอย่างเช่น http://www.example.com?gclid="test"
  2. เข้าไปที่โฆษณาแบบกรอกฟอร์มแล้วส่งโอกาสในการขายทดสอบ
  3. ลงชื่อเข้าใช้ Salesforce มองหาโอกาสในการขายทดสอบรายการใหม่นี้ แล้วดูว่าฟิลด์ GCLID ที่กำหนดเองแสดงค่าเป็น "test" (ทดสอบ) หรือไม่
  4. เปลี่ยนโอกาสในการขายทดสอบให้เป็นโอกาส ฟิลด์ GCLID ที่กำหนดเองของโอกาสใหม่ควรจะแสดงค่าเป็น "test" (ทดสอบ) ด้วยเช่นกัน
  5. ทำตามขั้นตอนที่ 2 ถึง 4 สำหรับโฆษณาแบบกรอกฟอร์มทั้งหมดเพื่อให้แน่ใจว่าทุกแบบฟอร์มกำหนดค่าอย่างถูกต้อง
    • หากค่า "test" (ทดสอบ) แสดงในฟิลด์ GCLID สำหรับโอกาสในการขายและโอกาสที่มีต้นทางมาจากโฆษณาแบบกรอกฟอร์มทั้งหมด แสดงว่าคุณพร้อมที่จะลิงก์บัญชีแล้ว

ขั้นตอนที่ 5: ตั้งค่าการกระทำที่ถือเป็น Conversion

คุณสามารถแก้ไขการกระทําที่ถือเป็น Conversion ได้ตามการเปลี่ยนแปลงค่าในแหล่งข้อมูล เช่น เมื่อมีการยืนยันหรือเข้าเกณฑ์โอกาสในการขาย ในการเริ่มต้นใช้งาน ให้สร้างคําแนะนําหรือเพิ่มเหตุการณ์ที่กําหนดเอง

  1. ในบัญชี Google Ads ให้คลิกไอคอนเป้าหมาย Goals Icon
  2. คลิกเมนูแบบเลื่อนลง Conversion ในเมนู "ส่วน"
  3. คลิกสรุป
  4. คลิกการกระทําที่ถือเป็น Conversion ใหม่
  5. เลือกนําเข้าในหน้า "การกระทําที่ถือเป็น Conversion" ใหม่
  6. เลือก CRM, ไฟล์ หรือแหล่งข้อมูลอื่นๆ แล้วเลือก "ติดตาม Conversion จากการคลิก"
  7. ในส่วน "แหล่งข้อมูล" ให้เลือก "เชื่อมต่อแหล่งข้อมูลใหม่" แล้วคลิกต่อไป
  8. เลือก Salesforce จากเมนูแบบเลื่อนลง
  9. หากมีการลิงก์ Salesforce อยู่แล้ว ให้เลือกการเชื่อมต่อโดยตรง หากต้องการเชื่อมต่อแหล่งข้อมูล คุณจะต้องเข้าสู่ระบบเพื่อให้สิทธิ์บัญชีในการแชร์ข้อมูลกับ Google คุณจัดการการเชื่อมต่อได้ทุกเมื่อในแท็บผลิตภัณฑ์ที่เชื่อมต่อของ Data Manager หากไม่มี ให้เลือกการผสานรวมกับบุคคลที่สามโดย Zapier หากต้องการเชื่อมต่อโดยใช้การผสานรวมกับบุคคลที่สามโดย Zapier คุณต้องทำขั้นตอนเพิ่มเติมและ Zapier อาจเรียกเก็บค่าธรรมเนียม
  10. คลิกให้สิทธิ์เพื่อลิงก์ Salesforce กับ Google Ads
  11. ขั้นตอนการให้สิทธิ์ Salesforce จะเปิดขึ้น ระบุข้อมูลเข้าสู่ระบบ Salesforce ในบัญชี Salesforce หากคุณไม่เห็นหน้าต่างการเข้าสู่ระบบ ให้ตรวจสอบว่าได้อนุญาตป๊อปอัปสําหรับ ads.google.com แล้ว จากนั้นคลิกเข้าสู่ระบบ
  12. คลิกเสร็จสิ้น แล้วคลิกต่อไป
  13. คุณจะเห็นตารางที่มีรายการเหตุการณ์ที่แนะนําและตัวเลือกสําหรับเพิ่มเหตุการณ์ที่กําหนดเอง
  14. หากต้องการเลือกเหตุการณ์ Conversion ที่แนะนํา ให้คลิกตัวเลือกตั้งค่าที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นั้น แต่หากต้องการตั้งค่าเหตุการณ์ที่กําหนดเอง ให้กําหนดเงื่อนไขเหตุการณ์ด้านล่างแล้วคลิกตั้งค่า หากต้องการกําหนดเหตุการณ์ใหม่เอง ให้ทําตามขั้นตอนที่ระบุไว้ด้านล่าง
    1. เลือกเป้าหมาย Conversion แล้วคลิกตั้งค่า
    2. เลือกออบเจ็กต์ Salesforce ที่เหตุการณ์จะใช้
    3. ในแท็บตัวกรอง ให้กําหนดเงื่อนไขสำหรับกรณีที่เกิดเหตุการณ์
    4. คลิกต่อไป
  15. หากต้องการแมปฟิลด์ Salesforce ให้เลือกฟิลด์ที่ใช้ในแหล่งข้อมูล แล้วเพิ่มฟิลด์อื่นที่ต้องการนําเข้า ระบบจะแมปบางฟิลด์โดยอัตโนมัติโดยอิงตามแหล่งข้อมูล
    • หมายเหตุ: ในหน้าจอการแมป คุณจะเห็น "GCLID" ที่กล่าวถึงในฟิลด์ Google Ads นอกจากนี้ โปรดทราบว่าคุณไม่จําเป็นต้องแมปฟิลด์ "เวลาที่เกิด Conversion" ด้วยตนเอง ระบบจะระบุค่าโดยอัตโนมัติจากการประทับเวลาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในฟิลด์โอกาสในการขายหรือโอกาสที่เกี่ยวข้องซึ่งตรงกับเงื่อนไขของเหตุการณ์สําหรับการนําเข้า โดยดึงมาจากประวัติ
  16. คลิกต่อไป
  17. คุณสามารถแก้ไขชื่อการผสานรวมข้อมูลเริ่มต้นและการตั้งค่าการผสานรวมข้อมูลเป็นครั้งสุดท้าย แล้วคลิกเสร็จสิ้น คุณก็จะดูเหตุการณ์ที่กําหนดใหม่ได้ สําหรับการผสานรวม Salesforce เพื่อนําเข้า Conversion ออฟไลน์ คอลัมน์แหล่งที่มาของ Conversion จะแสดงเป็น "เว็บไซต์ (นําเข้าจากการคลิก)" ชื่อการกระทําที่ถือเป็น Conversion จะแสดงเงื่อนไขเหตุการณ์ที่ระบุ (เช่น "เมื่อฟิลด์โอกาส 'ขั้นตอน' เปลี่ยนเป็น 'ปิดการขายสำเร็จ'")
หมายเหตุ: คุณจะนําเข้า Conversion เพื่อ Conversion ที่ปรับปรุงแล้วสำหรับโอกาสในการขาย หรือเพื่อการนําเข้า Conversion ออฟไลน์ตาม GCLID ปกติก็ได้ หากก่อนหน้านี้คุณเลือกไม่ใช้ Conversion ที่ปรับปรุงแล้วสำหรับโอกาสในการขาย ระบบจะไม่แสดงข้อความแจ้งที่มีตัวเลือกดังกล่าวเมื่อคุณสร้างการกระทําที่ถือเป็น Conversion ครั้งถัดไป คุณเปลี่ยนแปลงตัวเลือกเพื่อเปิด Conversion ที่ปรับปรุงแล้วสำหรับโอกาสในการขายได้ทุกเมื่อในมุมมองการตั้งค่า

วิธีนำเข้ามูลค่า Conversion

ในการผสานรวม Salesforce ใหม่ มูลค่า Conversion จะกําหนดโดยการแมปฟิลด์ค่าใน Salesforce (ฟิลด์แหล่งที่มา) กับค่าในฟิลด์ปลายทางในบัญชี Google Ads หากคุณไม่ได้แมปฟิลด์ใดกับฟิลด์ค่า ลักษณะการทํางานเริ่มต้นของการกระทําที่ถือเป็น Conversion คือใช้ 1 แต่หากแมปค่า คุณจะใช้ค่าดังกล่าวแทน

วิธีแก้ไขการกระทำที่ถือเป็น Conversion ของ Salesforce

  1. ในบัญชี Google Ads ให้คลิกไอคอนเป้าหมาย Goals Icon
  2. คลิกเมนูแบบเลื่อนลง Conversion ในเมนู "ส่วน"
  3. คลิกสรุป
  4. คลิกการกระทําที่ถือเป็น Conversion ที่ต้องการแก้ไข
  5. ในส่วนการผสานรวมข้อมูล ให้คลิกจัดการทางด้านขวา
  6. หากต้องการอัปเดตลิงก์ ให้คลิกอัปเดตลิงก์ คุณจะเห็นหน้าการเข้าสู่ระบบ Salesforce ให้ระบุข้อมูลเข้าสู่ระบบแล้วอัปเดตลิงก์
  7. หากต้องการตั้งชื่ออื่นสำหรับการผสานรวมข้อมูล ให้คลิกแก้ไขชื่อ เพิ่มชื่อ แล้วคลิกบันทึก
  8. หากต้องการเปลี่ยนความถี่ วัน เวลาเริ่มต้น เขตเวลา ให้คลิกแก้ไขกําหนดการ แล้วคลิกบันทึก
  9. หากต้องการเปลี่ยนการแมปฟิลด์ ให้คลิกแก้ไขการแมป แล้วคลิกบันทึก
  10. หากต้องการอัปเดตสิ่งที่นับเป็น Conversion ให้คลิกแก้ไขที่เงื่อนไขเหตุการณ์ คุณสามารถอัปเดตเงื่อนไขเหตุการณ์ แล้วคลิกต่อไป
  11. คุณยังเพิ่มเงื่อนไขเหตุการณ์ใหม่ในการผสานรวมข้อมูลที่มีอยู่ได้โดยคลิกเพิ่มเหตุการณ์
  12. [ไม่บังคับ] คลิกเรียกใช้ตอนนี้ที่มุมขวาบนของส่วน "การเรียกใช้" เพื่อเรียกใช้งานการนําเข้าโดยไม่ต้องรอให้ถึงกําหนดเวลาครั้งถัดไป โปรดทราบว่าหลังจากสร้างการกระทําที่ถือเป็น Conversion ใหม่ คุณจะต้องรอ 4-6 ชั่วโมงก่อนที่จะอัปโหลด Conversion ของการกระทําดังกล่าว

วิธีตรวจสอบประวัติการนำเข้าของคุณ

  1. ในบัญชี Google Ads ให้คลิกไอคอนเป้าหมาย Goals Icon
  2. คลิกเมนูแบบเลื่อนลง Conversion ในหมวดหมู่เมนู
  3. คลิกการตั้งค่า
  4. คลิกดูการผสานรวมข้อมูลเพื่อดูประวัติการนําเข้า
  5. ตรวจสอบคอลัมน์ "แถวที่นําเข้า" และ "แถวที่มีข้อผิดพลาด"
  6. เราจะถือว่าการนําเข้าสำเร็จเมื่อตัวเลขในคอลัมน์ "แถวที่นําเข้า" เท่ากับหรือมากกว่า 1 ซึ่งหมายความว่านําเข้าเหตุการณ์จาก Salesforce เรียบร้อยแล้ว (ข้อมูลอยู่ในรูปแบบที่ถูกต้องและใช้งานได้) ข้อมูลที่นําเข้าอาจไม่ปรากฏเป็น Conversion หากโอกาสในการขายมาจากแคมเปญที่ไม่ใช่ของ Google
  7. เราจะถือว่าการนําเข้ามีข้อผิดพลาดเมื่อตัวเลขในคอลัมน์ "แถวที่มีข้อผิดพลาด" เท่ากับหรือมากกว่า 1 ซึ่งหมายความว่านําเข้า Conversion จาก CRM ไม่สําเร็จ เนื่องจากข้อมูลอยู่ในรูปแบบที่ไม่ถูกต้องและใช้งานไม่ได้ (เช่น ไม่มีฟิลด์)

วิธีแก้ไขข้อผิดพลาด

หากพบข้อผิดพลาดขณะอัปโหลด Conversion ของ Salesforce โปรดดูวิธีแก้ไขปัญหาการนําเข้า Conversion ของ Salesforce โดยใช้การผสานรวม Salesforce

เคล็ดลับ

  • หลังจากสร้างการกระทําที่ถือเป็น Conversion ใหม่ คุณจะต้องรอ 4-6 ชั่วโมงก่อนที่จะอัปโหลด Conversion ของการกระทําดังกล่าว คุณอาจพบข้อผิดพลาดหากเรียกใช้การผสานรวมเร็วเกินไปหลังจากสร้างการกระทําที่ถือเป็น Conversion ใหม่เป็นครั้งแรก ระบบจะพยายามนำเข้า Conversion ที่นําเข้าไม่สำเร็จเนื่องจากข้อผิดพลาดนี้อีกครั้ง เมื่อมีการเรียกใช้การผสานรวมครั้งถัดไป
  • กําหนดค่าการผสานรวมให้ทํางานตามกําหนดการประจําวัน
  • หลังจากการนําเข้า ระบบอาจใช้เวลาสูงสุด 24 ชั่วโมงจึงจะรายงานเป็น Conversion ได้
  • การนําเข้าครั้งแรกสุดจะดูเฉพาะเหตุการณ์ที่นําเข้าซึ่งย้อนกลับไป 14 วัน
  • หากนําเข้าเหตุการณ์ Salesforce ไม่สําเร็จ ระบบจะไม่พยายามนําเข้าเหตุการณ์นั้นอีกครั้งโดยอัตโนมัติ

ลิงก์ที่เกี่ยวข้อง

ข้อมูลนี้มีประโยชน์ไหม

เราจะปรับปรุงได้อย่างไร
true
Achieve your advertising goals today!

Attend our Performance Max Masterclass, a livestream workshop session bringing together industry and Google ads PMax experts.

Register now

ค้นหา
ล้างการค้นหา
ปิดการค้นหา
เมนูหลัก
14041348718632770026
true
ค้นหาศูนย์ช่วยเหลือ
true
true
true
true
true
73067
false
false
false