การโฆษณาและการระบุแหล่งที่มา

[GA4] เริ่มต้นใช้งานการระบุแหล่งที่มา

วิเคราะห์ว่าโฆษณากระตุ้นให้ผู้ใช้ดำเนินการที่มีความหมายในเว็บไซต์หรือแอปอย่างไร

ภาพรวม

ลูกค้าอาจทําการค้นหาหลายครั้งและคลิกโฆษณาของคุณหลายรายการก่อนจะซื้อหรือดำเนินการที่สําคัญอื่นๆ ในเว็บไซต์หรือแอปจนเสร็จสมบูรณ์ โดยทั่วไปแล้ว เราจะให้เครดิตทั้งหมดสำหรับการดำเนินการสําคัญ (เรียกว่าเหตุการณ์สำคัญ) แก่โฆษณาสุดท้ายที่ลูกค้าคลิก แต่เป็นเพราะโฆษณานั้นอย่างเดียวหรือที่ทําให้ลูกค้าตัดสินใจโต้ตอบกับเหตุการณ์สำคัญในเส้นทางที่ทำให้เกิดเหตุการณ์สําคัญ แล้วต้องนำโฆษณาอื่นๆ ที่ลูกค้าคลิกก่อนหน้านั้นมาพิจารณาด้วยไหม

Attribution is the act of assigning credit for important user actions to different ads, clicks, and factors along the user's path to completing the action.

An attribution model can be a rule, a set of rules, or a data-driven algorithm that determines how credit is assigned to touchpoints along a user's path to completing important actions.

รูปแบบการระบุแหล่งที่มาในรายงานการระบุแหล่งที่มาสำหรับพร็อพเพอร์ตี้ Google Analytics 4 มี 3 ประเภท ได้แก่

  • การระบุแหล่งที่มาโดยอิงตามข้อมูล
  • คลิกสุดท้ายแบบมีค่าใช้จ่ายและแบบทั่วไป
  • คลิกสุดท้ายบนแชแนลแบบมีค่าใช้จ่ายของ Google
หมายเหตุ: รูปแบบการระบุแหล่งที่มาทั้งหมดจะยกเว้นไม่ให้การเข้าชมโดยตรงได้รับเครดิตการระบุแหล่งที่มา เว้นแต่เส้นทางที่ทำให้เกิดเหตุการณ์สำคัญประกอบด้วยการเข้าชมโดยตรงทั้งหมด

Google Ads logo บรรลุเป้าหมายทางการตลาด

นำข้อมูลเชิงลึกจาก Google Analytics มาใช้ร่วมกับ Google Ads เพื่อแสดงธุรกิจของคุณต่อลูกค้าที่เหมาะสมใน Search, YouTube และอื่นๆ

เข้าถึงรายงานการระบุแหล่งที่มา

วิธีเข้าถึงรายงานการระบุแหล่งที่มา

  1. ใน Google Analytics ให้คลิกการโฆษณาทางด้านซ้าย
  2. ในส่วนการระบุแหล่งที่มา ให้คลิกรูปแบบการระบุแหล่งที่มาหรือเส้นทางการระบุแหล่งที่มา

การระบุแหล่งที่มาโดยอิงตามข้อมูล

อิงตามข้อมูล: การระบุแหล่งที่มาโดยอิงตามข้อมูลจะกระจายเครดิตสําหรับเหตุการณ์สําคัญตามข้อมูลของเหตุการณ์สำคัญแต่ละรายการ รูปแบบนี้แตกต่างจากรูปแบบอื่นๆ เนื่องจากจะใช้ข้อมูลของบัญชีในการคํานวณการมีส่วนร่วมจริงของการโต้ตอบคลิกแต่ละครั้ง

Data-driven model icon รูปแบบที่อิงตามข้อมูลแต่ละรูปแบบจะเฉพาะเจาะจงไปตามผู้ลงโฆษณาแต่ละรายและเหตุการณ์สำคัญแต่ละรายการ

วิธีการทำงานของการระบุแหล่งที่มาโดยอิงตามข้อมูล

การระบุแหล่งที่มาใช้อัลกอริทึมของแมชชีนเลิร์นนิงในการประเมินทั้งเส้นทางที่ทำให้เกิดและที่ไม่ทำให้เกิด Conversion รูปแบบที่อิงตามข้อมูลที่ได้จะเรียนรู้ว่าทัชพอยต์ต่างๆ ส่งผลต่อผลลัพธ์เหตุการณ์สำคัญอย่างไร รูปแบบนี้รวมปัจจัยต่างๆ เช่น เวลาจากเหตุการณ์สำคัญ ประเภทอุปกรณ์ จำนวนการโต้ตอบกับโฆษณา ลำดับการแสดงโฆษณา และประเภทของชิ้นงานครีเอทีฟโฆษณา รูปแบบนี้จะใช้แนวทางการพิจารณาสิ่งที่ขัดแย้งกับความจริงที่ตั้งขึ้น โดยเปรียบเทียบสิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นเพื่อดูว่าทัชพอยต์ใดมีแนวโน้มเพิ่มจำนวนเหตุการณ์สำคัญได้มากที่สุด แล้วระบุแหล่งที่มาของเครดิตจากทัชพอยต์เหล่านี้ตามความเป็นไปได้นี้

หมายเหตุ
  • รูปแบบการระบุแหล่งที่มาโดยอิงตามข้อมูลอาจใช้ประโยชน์จากข้อมูลรวมจากการตั้งค่าการแชร์ข้อมูล ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความพร้อมใช้งานของข้อมูล
  • คุณระบุแหล่งที่มาของ Conversion ใหม่ได้สูงสุด 7 วันหลังจากเกิด Conversion 

คลิกสุดท้ายแบบมีค่าใช้จ่ายและแบบทั่วไป

หมายเหตุ: รูปแบบการระบุแหล่งที่มาแบบคลิกแรก เชิงเส้น ลดลงตามเวลา และตามตำแหน่งจะใช้งานไม่ได้อีกต่อไปตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2023 ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรูปแบบที่เลิกใช้งาน

Last interaction model icon คลิกสุดท้ายแบบมีค่าใช้จ่ายและแบบทั่วไป: ไม่สนใจการเข้าชมโดยตรง และจะถือว่ามูลค่าของเหตุการณ์สำคัญทั้ง 100% มาจากแชแนลสุดท้ายที่ลูกค้าคลิกผ่าน (หรือการดูอย่างมีส่วนร่วมผ่าน YouTube) ก่อนที่จะทำ Conversion ดูตัวอย่างการจัดสรรมูลค่าของเหตุการณ์สำคัญด้านล่าง

ตัวอย่าง
  1. ดิสเพลย์ > โซเชียล > การค้นหาที่เสียค่าใช้จ่าย > การค้นหาทั่วไป → ระบุแหล่งที่มา 100% ว่ามาจากการค้นหาทั่วไป
  2. ดิสเพลย์ > โซเชียล > การค้นหาที่เสียค่าใช้จ่าย > อีเมล → ระบุแหล่งที่มา 100% ว่ามาจากอีเมล
  3. ดิสเพลย์ > โซเชียล > การค้นหาที่เสียค่าใช้จ่าย > โดยตรง → ระบุแหล่งที่มา 100% ว่ามาจากการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่าย
  4. โดยตรง → การเข้าชมโดยตรง 100%
หมายเหตุ
  • "คลิกสุดท้ายแบบมีค่าใช้จ่ายและแบบทั่วไป" และ "คลิกที่ไม่ใช่โดยตรงครั้งสุดท้าย" เป็น 2 ชื่อสําหรับรูปแบบการระบุแหล่งที่มาเดียวกัน

ระบบจะนับการดูอย่างมีส่วนร่วมในการระบุแหล่งที่มาโดยอิงตามข้อมูลเมื่อผู้ใช้ทําสิ่งต่อไปนี้

  • ดูโฆษณาเป็นเวลา 30 วินาที (หรือจะดูจนจบหากสั้นกว่า 30 วินาที)
  • คลิกการ์ดทีเซอร์
  • คลิกแบนเนอร์ที่แสดงร่วมกันหรือแผงวิดีโอ
  • คลิกวลีที่เป็นคํากระตุ้นการตัดสินใจ
  • คลิก End Screen
  • คลิกเพื่อเข้าชมเว็บไซต์ของผู้ลงโฆษณา

คลิกสุดท้ายบนแชแนลแบบมีค่าใช้จ่ายของ Google

Last interaction model icon คลิกสุดท้ายบนแชแนลแบบมีค่าใช้จ่ายของ Google: ถือว่ามูลค่าของเหตุการณ์สำคัญทั้ง 100% มาจากแชแนลของ Google Ads ล่าสุดที่ลูกค้าคลิกผ่านก่อนทำ Conversion หากไม่มีการคลิก Google Ads ในเส้นทางตามตัวอย่างที่ 6 รูปแบบการระบุแหล่งที่มาจะกลับไปที่คลิกสุดท้ายแบบมีค่าใช้จ่ายและแบบทั่วไป

ตัวอย่าง
  1. ดิสเพลย์ > โซเชียล > การค้นหาที่เสียค่าใช้จ่าย > การค้นหาทั่วไป → ระบุแหล่งที่มา 100% ว่ามาจากการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่าย
  2. ดิสเพลย์ > โซเชียล > YouTube EVC > อีเมล → ระบุแหล่งที่มา 100% ว่ามาจาก YouTube
  3. ดิสเพลย์ > โซเชียล > อีเมล > โดยตรง → ระบุแหล่งที่มา 100% ว่ามาจากอีเมล (ระบุกลับไปยังคลิกที่ไม่ใช่โดยตรงครั้งสุดท้าย)
  4. โดยตรง → การเข้าชมโดยตรง 100%

เลือกการตั้งค่าการระบุแหล่งที่มา

The Attribution settings page lets you choose how Google Analytics assigns credit to different ads, clicks, and other factors before users trigger key events and Google Ads web conversions.

To select attribution settings:

  1. Sign in to Google Analytics.
  2. ในส่วนผู้ดูแลระบบ, under Data display, click Attribution settings.
    ลิงก์ก่อนหน้าจะเปิดพร็อพเพอร์ตี้ Analytics ล่าสุดที่คุณเข้าถึง คุณเปลี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ได้โดยใช้ตัวเลือกพร็อพเพอร์ตี้
    คุณต้องเป็นนักการตลาดหรืออยู่ในระดับสูงกว่านั้น ที่ระดับพร็อพเพอร์ตี้ถึง select the attribution settings.
  3. Select these attribution settings:
  4. Click Save.

ข้อมูลนี้มีประโยชน์ไหม

เราจะปรับปรุงได้อย่างไร
true
3156641561471162647
true
ค้นหาศูนย์ช่วยเหลือ
true
true
true
true
true
69256
ค้นหา
ล้างการค้นหา
ปิดการค้นหา
เมนูหลัก
false
false
false