ตั้งแต่ช่วงสิ้นเดือนกรกฎาคม 2022 อุปกรณ์ Nest Hub Max จะได้รับการอัปเดตซอฟต์แวร์เพื่อเตรียมตัวให้ Nest Hub Max เข้ากันได้กับ Matter Matter คือมาตรฐานใหม่สำหรับสมาร์ทโฮมที่จะช่วยให้อุปกรณ์อัจฉริยะทำงานเข้ากันได้แบบเป็นสากลมากยิ่งขึ้น
การอัปเดตนี้จะทำให้ Nest x Yale Lock และ Nest Detect ไม่สามารถใช้ Nest Hub Max เป็นบริดจ์เพื่อเชื่อมต่อ Wi-Fi ในบ้านหรือเป็นตัวขยายระยะสัญญาณได้อีกต่อไป เนื่องจากเข้ากันไม่ได้กับมาตรฐานที่อัปเดต หากคุณมี Nest Connect หรือ Nest Guard อยู่ใกล้ๆ อุปกรณ์เหล่านี้สามารถทำหน้าที่เป็นบริดจ์หรือตัวขยายระยะสัญญาณให้กับ Nest x Yale Lock หรือ Nest Detect คุณจึงไม่ต้องดำเนินการใดๆ เพื่อให้อุปกรณ์ทำงานได้ตามปกติต่อไป
Nest ให้บริการ Nest Connect สำหรับลูกค้า Nest x Yale Lock ที่ไม่มี Nest Connect หรือ Nest Guard และใช้ Nest Hub Max เป็นบริดจ์เพียงอย่างเดียวเพื่อให้ล็อกเข้าถึง Wi-Fi ได้ เมื่อตั้งค่าแล้ว Nest x Yale Lock จะใช้ Nest Connect เป็นบริดจ์แทน Nest Hub Max ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Nest Connect
สำคัญ: หากไม่มีหรือไม่ได้เพิ่ม Nest Connect หรือ Nest Guard ไว้ในบ้านในแอป Nest ล็อกและ Nest Detect จะตัดการเชื่อมต่อและออฟไลน์
เตรียมล็อกหรือ Nest Detect เพื่อเชื่อมต่อก่อนการอัปเดต
หากต้องการให้ล็อกหรือ Nest Detect เชื่อมต่ออยู่ คุณจะต้องติดตั้ง Nest Connect หรือ Nest Guard ไว้ในแอป Nest และอยู่ภายในระยะสัญญาณของ Nest x Yale Lock หรือ Nest Detect ก่อนที่จะอัปเดตซอฟต์แวร์ หากเชื่อมต่อไว้แล้ว เมื่อระบบอัปเดตซอฟต์แวร์ Nest Hub Max ล็อกควรจะยังเชื่อมต่อกับ Wi-Fi และแอป Nest อยู่
หากมีบริดจ์อยู่แล้ว เช่น Nest Connect หรือ Nest Guard ให้ย้ายอุปกรณ์ชิ้นใดชิ้นหนึ่งไปไว้ใกล้ๆ ล็อกหรือ Detect โดยทั่วไปอุปกรณ์ควรอยู่ในเส้นทางที่ปราศจากสิ่งกีดขวางของล็อกหรือ Detect หากไม่มี คุณจะต้องหา Nest Connect ตัวใหม่มาและติดตั้งไว้ในแอป Nest หากตอนนี้คุณไม่มี Nest Connect หรือ Nest Guard หรือต้องการความช่วยเหลือเกี่ยวกับการอัปเดตนี้ โปรดติดต่อทีมสนับสนุนของ Nest
หมายเหตุ: คุณสามารถวาง Nest Detect ไว้ห่างจาก Nest Guard ได้สูงสุด 50 ฟุต แต่ระยะสัญญาณอาจแตกต่างกันไปตามโครงสร้างของบ้าน การรบกวนระบบไร้สาย และปัจจัยอื่นๆ หาก Detect อย่างน้อย 1 ตัวไม่สามารถเชื่อมต่อกับ Guard หลังจากการติดตั้ง แอปจะแสดงว่าอุปกรณ์ออฟไลน์ คุณเพิ่ม Nest Connect เพื่อช่วยบริดจ์ช่องว่างได้
Nest Connect จะขยายระยะสัญญาณของการเชื่อมต่อระหว่าง Guard กับ Detect วิธีนี้ช่วยให้คุณติดตั้ง Detect ไว้ห่างจาก Guard ได้มากกว่า 50 ฟุต
ติดตั้ง Nest Connect
หากมีผลิตภัณฑ์ Nest อื่นๆ ในบ้านอยู่แล้ว
|
หากคุณมีทั้ง Nest Secure และ Nest × Yale Lock ก็สามารถใช้ Nest Connect ตัวเดียวกันเพื่อขยายระยะของระบบสัญญาณและช่วยให้ล็อกเชื่อมต่อกับ Wi-Fi ได้ ในบางกรณี คุณอาจต้องใช้ Nest Connect มากกว่า 1 ตัวหากติดตั้งล็อกกับ Guard ไว้ห่างจากกัน
เชื่อมต่อล็อกหรือ Nest Detect อีกครั้งหลังการอัปเดต Thread-Matter
หาก Nest x Yale Lock หรือ Nest Detect ตัดการเชื่อมต่อ คุณตรวจสอบได้ว่าปัญหาเกี่ยวข้องกับการอัปเดตซอฟต์แวร์หรือไม่โดยดูว่า "เวอร์ชันระบบปฏิบัติการ" ของ Nest Hub Max ขึ้นต้นด้วย F7 ขึ้นไปไหม หากไม่ใช่ คุณจะต้องย้าย Nest Connect หรือ Nest Guard ที่มีไปไว้ใกล้กับล็อกหรือ Detect มากขึ้น หรือเพิ่ม Nest Connect ตัวใหม่ หากเวอร์ชันระบบปฏิบัติการของ Nest Hub Max ไม่ได้ขึ้นต้นด้วย F7 ขึ้นไป การตัดการเชื่อมต่ออาจมีสาเหตุมาจากปัญหาอื่น ดูวิธีแก้ปัญหาล็อกตัดการเชื่อมต่อ ดูวิธีแก้ปัญหา Nest Detect ตัดการเชื่อมต่อ
ย้าย Nest Connect หรือ Nest Guard ที่มีอยู่
หากใช้ Nest Hub Max เวอร์ชันอัปเดตและติดตั้ง Nest Connect หรือ Nest Guard ไว้ในแอป Nest ในบ้านหลังเดียวกันแล้ว ให้ย้ายอุปกรณ์ไปไว้ใกล้ๆ ล็อกหรือ Nest Detect มากขึ้นแล้วรอให้เชื่อมต่อ โดยทั่วไป หาก Nest Connect หรือ Nest อยู่ภายในเส้นทางที่ปราศจากสิ่งกีดขวางของล็อกหรือ Detect ก็ควรที่จะเชื่อมต่อได้ หากพบปัญหา โปรดตรวจหาแหล่งที่มาของการรบกวน
คุณสามารถวาง Nest Detect ไว้ห่างจาก Guard ได้สูงสุด 50 ฟุต แต่ระยะสัญญาณอาจแตกต่างกันไปตามโครงสร้างของบ้าน การรบกวนระบบไร้สาย และปัจจัยอื่นๆ หาก Detect อย่างน้อย 1 ตัวไม่สามารถเชื่อมต่อกับ Guard หลังจากการติดตั้ง แอปจะแสดงว่าอุปกรณ์ออฟไลน์
เพิ่ม Nest Connect ตัวใหม่สำหรับ Nest x Yale Lock
หากยังไม่มี Nest Connect หรือ Nest Guard ให้ทำตามขั้นตอนเพิ่ม Nest Connect ตัวใหม่เพื่อให้ล็อกกลับมาออนไลน์อีกครั้งดังต่อไปนี้
1. รีเซ็ต Nest x Yale Lock เป็นค่าเริ่มต้น
คุณอาจต้องรีเซ็ต Google Nest × Yale Lock เป็นค่าเริ่มต้นเพื่อแก้ไขปัญหาบางอย่าง เช่น ปุ่มกดไม่ตอบสนอง ปัญหาการเชื่อมต่อ หรือการลืมรหัสผ่านหลัก หากจะย้ายล็อกไปไว้ที่ประตูบานอื่นหรือบ้านหลังอื่น คุณจะต้องรีเซ็ตล็อกเป็นค่าเริ่มต้นเช่นกัน
เมื่อรีเซ็ตล็อกเป็นค่าเริ่มต้นแล้ว รหัสผ่านของผู้ใช้ทั้งหมดซึ่งรวมถึงรหัสผ่านหลักจะถูกลบออกและฟีเจอร์ที่ตั้งโปรแกรมไว้ทั้งหมดจะกลับไปเป็นการตั้งค่าเริ่มต้นเดิม
How to reset your Nest × Yale Lock
-
ถอดฝาแบตเตอรี่และนำแบตเตอรี่ออก
หากต้องการถอดฝาแบตเตอรี่ คุณจะต้องมีกุญแจฝาแบตเตอรี่ที่มาในกล่องของ your Nest × Yale Lock หรือหมุดเป๊ก ประแจหรือไขควง 6 เหลี่ยมขนาดเล็กก็อาจใช้ได้เช่นกัน
- เสียบกุญแจหรือหมุดเป๊กเข้าไปในรูที่ด้านบนของกล่องแบตเตอรี่และกดลงแน่นๆ
- จับฝาบริเวณด้านบนไว้และดึงออกขณะที่กดกุญแจหรือหมุดเป๊กค้างไว้
- ถอดแบตเตอรี่ออกให้หมด
- คลายสกรูกลอนประตู 2 ตัวที่ติดอยู่กับเพลตยึด
- ถอดเพลตยึดเพื่อให้เห็นปุ่มรีเซ็ต ซึ่งอยู่ด้านซ้ายของขั้วต่อสาย
- กดปุ่มรีเซ็ตไว้ขณะที่ใส่แบตเตอรี่
- กดปุ่มรีเซ็ตค้างไว้จนกว่าไฟจะเปลี่ยนเป็นสีแดงและล็อกบอกว่า "รอสักครู่ กำลังลบการตั้งค่าทั้งหมด"
- ปล่อยปุ่มรีเซ็ต
- ถอดแบตเตอรี่จากด้านซ้ายและด้านขวาของล็อกออกข้างละ 1 ก้อนเพื่อให้เห็นรูสกรู
- จับเพลตยึดทาบบนประตูและเลื่อนให้ตรงกับรูสกรู
- ขันสกรูกลอนประตู 2 ตัวที่ติดอยู่กับเพลตยึด
- ใส่แบตเตอรี่ 2 ก้อนกลับเข้าไป
- เมื่อรีเซ็ตเสร็จแล้ว Nest × Yale Lock จะพูดว่า "สวัสดี นี่คือ Yale และ Nest"
-
เปลี่ยนฝาแบตเตอรี่
หากต้องการเปลี่ยนฝาครอบ ให้เสียบแท็บ 2 แท็บที่ด้านล่างของฝาเข้าไปในรูของล็อก จากนั้นดันฝาจนกว่าแท็บที่ด้านบนจะล็อกไว้
หมายเหตุ: หลังจากรีเซ็ตล็อก คุณต้องตั้งรหัสผ่านหลักในล็อกก่อนที่จะตั้งค่ากับแอป Nest
การตั้งค่าเริ่มต้นเมื่อไม่ได้เชื่อมต่อกับแอป Nest
ฟีเจอร์ |
การตั้งค่าเริ่มต้น |
การตั้งค่าที่พร้อมใช้งาน |
รหัสผ่านหลัก |
จำเป็น |
ไม่มี |
ล็อกอัตโนมัติ |
ปิดอยู่ |
เปิดใช้, ปิดใช้ |
ล็อกประตูอัตโนมัติเมื่อเวลาผ่านไป |
30 วินาที |
ไม่มี |
ล็อกด้วยการแตะเพียงครั้งเดียว |
เปิดอยู่ |
เปิดใช้, ปิดใช้ |
การตั้งค่าระดับเสียง |
เบา |
ไม่ส่งเสียง, เบา, ดัง |
ขีดจำกัดของการป้อนรหัสไม่ถูกต้อง |
5 ครั้ง |
ไม่มี |
เวลาปิด |
90 วินาที |
ไม่มี |
การตั้งค่าเริ่มต้นเมื่อเชื่อมต่อกับแอป Nest
ฟีเจอร์ |
การตั้งค่าเริ่มต้น |
การตั้งค่าที่พร้อมใช้งาน |
รหัสผ่านหลัก |
ไม่มี |
ไม่มี |
ล็อกอัตโนมัติ |
ปิดอยู่ |
ตัวช่วยเปลี่ยนโหมดอยู่บ้าน/ไม่อยู่บ้าน: เปิด, ปิด |
ล็อกประตูอัตโนมัติเมื่อเวลาผ่านไป |
1 นาที |
10 วินาที, 1 นาที, |
ล็อกด้วยการแตะเพียงครั้งเดียว |
เปิดอยู่ |
เปิดใช้, ปิดใช้ |
การตั้งค่าระดับเสียง |
เบา |
ไม่ส่งเสียง, เบา, ดัง |
ขีดจำกัดของการป้อนรหัสไม่ถูกต้อง |
5 ครั้ง |
ไม่มี |
เวลาปิด |
90 วินาที |
ไม่มี |
ฉันจะยืนยันได้อย่างไรว่าล็อกถูกนำออกจากแอป Nest แล้วหลังจากการรีเซ็ตล็อก
ในล็อก ให้กดปุ่มไฟบอกสถานะสีขาวในบ้าน หากไฟสว่างวาบเป็นสีฟ้าและล็อกบอกว่า "พร้อมแล้ว ให้ใช้แอป Nest เพื่อเพิ่มล็อกลงในบัญชี" แสดงว่าล็อกถูกนำออกจากบัญชีแล้ว หากล็อกพูดว่า "โหมดความเป็นส่วนตัวเปิดอยู่" หรือ "โหมดความเป็นส่วนตัวปิดอยู่" แสดงว่าล็อกยังคงจับคู่อยู่กับบัญชีของคุณ
หากต้องการนำล็อกออกจากบัญชี ในหน้าจอหลักของแอป Nest ให้เลือกล็อก แตะการตั้งค่า นำล็อกออก
2. ติดตั้ง Nest Connect ด้วยแอป Nest
หากมีผลิตภัณฑ์ Nest อื่นๆ ในบ้านอยู่แล้ว
|
หากคุณมีทั้ง Nest Secure และ Nest × Yale Lock ก็สามารถใช้ Nest Connect ตัวเดียวกันเพื่อขยายระยะของระบบสัญญาณและช่วยให้ล็อกเชื่อมต่อกับ Wi-Fi ได้ ในบางกรณี คุณอาจต้องใช้ Nest Connect มากกว่า 1 ตัวหากติดตั้งล็อกกับ Guard ไว้ห่างจากกัน
3. เชื่อมต่อล็อกกับแอป Nest
1. ลงชื่อเข้าใช้บัญชี
หากเพิ่งเคยใช้ Nest ให้ไปที่ Apple App Store หรือ Google Play เพื่อดาวน์โหลดแอป Nest และสร้างบัญชี
หากมีผลิตภัณฑ์ Nest อยู่แล้ว ให้ลงชื่อเข้าใช้บัญชีในแอป หากยังไม่ได้ทำ
หมายเหตุ: หากในบัญชีมีบ้านมากกว่า 1 หลัง ให้ตรวจสอบก่อนว่าคุณได้เลือกบ้าน Nest ที่ต้องการติดตั้งกล้องไว้ แตะเมนู ที่ด้านซ้ายบนของหน้าจอหลักเพื่อเปลี่ยนบ้าน2. ตั้งค่า Nest Connect
Nest × Yale Lock ไม่เชื่อมต่อ Wi-Fi โดยตรง หากต้องการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตและเพิ่มอุปกรณ์ลงในแอป Nest ให้ตั้งค่า Nest Connectก่อน จากนั้นให้ตั้งค่าล็อกต่อ
3. สแกนคิวอาร์โค้ด
ก่อนอื่น ให้เปิดแอป Nest แตะการตั้งค่า เลือกเพิ่มผลิตภัณฑ์
-
แอปจะขอให้คุณสแกนคิวอาร์โค้ดบนผลิตภัณฑ์เพื่อให้ทราบว่าคุณกำลังจะติดตั้งอุปกรณ์รุ่นใด คิวอาร์โค้ดของ Nest × Yale Lock จะอยู่ในกล่องแบตเตอรี่
-
เริ่มจากถือโทรศัพท์ไว้ห่างประมาณ 1 ฟุตแล้วค่อยๆ เลื่อนเข้าไปใกล้คิวอาร์โค้ด ไม่จำเป็นต้องเห็นโค้ดเต็มช่องในแอปก็สแกนได้
เคล็ดลับ: ขณะสแกนโค้ด ให้ตรวจสอบว่ามีแสงสว่างเพียงพอและไม่มีเงาบดบังโค้ด
-
หากยังสแกนโค้ดไม่ได้ ให้แตะดำเนินการต่อโดยไม่ต้องสแกน แล้วพิมพ์หมายเลขที่ด้านบนของคิวอาร์โค้ดลงไป
-
เมื่อทราบแล้วว่าคุณกำลังจะติดตั้งอุปกรณ์รุ่นใด แอปจะแนะนำคุณในขั้นตอนทั้งหมด
4. เชื่อมต่อล็อกกับแอป
-
บอกแอปว่าคุณติดตั้งล็อกไว้ตรงไหน แอปจะใช้ตำแหน่งนี้เมื่อส่งการแจ้งเตือนให้คุณ ดังนั้นโปรดเลือกตำแหน่งที่เหมาะสม
-
แอปจะเริ่มมองหาอุปกรณ์ Nest Connect
-
เมื่อพบแล้ว ให้กดปุ่มสีขาวเหนือตัวล็อกแบบใช้นิ้วบิดของล็อกค้างไว้เพื่อเชื่อมต่อล็อกและ Nest Connect
5. ตั้งรหัสผ่าน Nest
ตั้งรหัสผ่าน Nest ด้วยแอป รหัสผ่านนี้จะแทนที่รหัสผ่านหลักที่คุณตั้งไว้ในล็อก
แอปจะถามว่าคุณต้องการตั้งรหัสผ่านสำหรับผู้อื่นที่แชร์การเข้าถึงบ้าน Nest ของคุณด้วยหรือไม่ คุณยังเชิญบุคคลอื่นๆ เพื่อแชร์การเข้าถึงได้ด้วย และสามารถกำหนดเวลาที่จำกัดว่าบุคคลหนึ่งสามารถเข้าบ้านของคุณได้เมื่อใด
เมื่อติดตั้งและตั้งค่าล็อกเรียบร้อยแล้ว คุณก็สามารถเริ่มต้นใช้งาน Nest × Yale Lock
เพิ่ม Nest Connect ตัวใหม่สำหรับ Nest Detect
หาก Nest Detect ออฟไลน์หลังจากการอัปเดต Nest Hub Max และคุณไม่สามารถย้าย Nest Guard หรือ Nest Connect เข้าไปใกล้ขึ้น คุณสามารถติดตั้ง Nest Connect ตัวใหม่ด้วยแอป Nest ในบ้านหลังเดียวกับ Nest Detect และ Nest Guard
ติดตั้ง Nest Connect
หากมีผลิตภัณฑ์ Nest อื่นๆ ในบ้านอยู่แล้ว
|
หากคุณมีทั้ง Nest Secure และ Nest × Yale Lock ก็สามารถใช้ Nest Connect ตัวเดียวกันเพื่อขยายระยะของระบบสัญญาณและช่วยให้ล็อกเชื่อมต่อกับ Wi-Fi ได้ ในบางกรณี คุณอาจต้องใช้ Nest Connect มากกว่า 1 ตัวหากติดตั้งล็อกกับ Guard ไว้ห่างจากกัน
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดูวิธีแก้ปัญหา Nest Detect ตัดการเชื่อมต่อ