[GA4] เกี่ยวกับการระบุแหล่งที่มาและรูปแบบการระบุแหล่งที่มา

บทความนี้มีไว้สําหรับผู้ที่ต้องการทราบว่าโฆษณาทํางานร่วมกันอย่างไรในเส้นทางที่ทำให้เกิด Conversion

การระบุแหล่งที่มาในพร็อพเพอร์ตี้ Google Analytics 4 ประกอบด้วยฟีเจอร์การระบุแหล่งที่มาที่ปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น เช่น รายงานเส้นทาง Conversion ที่ปรับปรุงใหม่ รวมถึงฟีเจอร์การระบุแหล่งที่มาใหม่ เช่น รูปแบบการระบุแหล่งที่มาระดับพร็อพเพอร์ตี้ ซึ่งจะให้ข้อมูลเชิงลึกที่ละเอียดยิ่งขึ้นและความสามารถในการดําเนินการได้มากกว่าที่เคย

บทความนี้ประกอบด้วย

ภาพรวมของรูปแบบการระบุแหล่งที่มา

ลูกค้าอาจทําการค้นหาหลายครั้งและคลิกโฆษณาหลายรายการของคุณก่อนที่จะทําการซื้อ หรือดำเนินการอื่นที่มีคุณค่าบนเว็บไซต์จนเสร็จสิ้น โดยทั่วไปแล้ว เราจะให้เครดิตทั้งหมดสำหรับ Conversion แก่โฆษณาสุดท้ายที่ลูกค้าคลิก แต่เป็นเพราะโฆษณานั้นอย่างเดียวหรือที่ทําให้ลูกค้าตัดสินใจที่จะทำ Conversion แล้วต้องนำโฆษณาอื่นๆ ที่ลูกค้าคลิกก่อนหน้านั้นมาพิจารณาด้วยไหม

การระบุแหล่งที่มาคือการดำเนินการในการกำหนดเครดิตสำหรับ Conversion ให้กับโฆษณา การคลิก และปัจจัยต่างๆ ตามเส้นทางของผู้ใช้ในการทำ Conversion จนเสร็จสมบูรณ์ รูปแบบการระบุแหล่งที่มาอาจเป็นกฎ ชุดของกฎ หรืออัลกอริทึมที่อิงตามข้อมูลซึ่งกำหนดวิธีการให้เครดิตสำหรับ Conversion แก่ทัชพอยต์ในเส้นทาง Conversion

รูปแบบการระบุแหล่งที่มาที่มีอยู่ในรายงานการระบุแหล่งที่มาในพร็อพเพอร์ตี้ Google Analytics 4 มีอยู่ 3 รูปแบบด้วยกัน ได้แก่ การระบุแหล่งที่มาโดยอิงตามข้อมูล คลิกสุดท้ายแบบมีค่าใช้จ่ายและแบบทั่วไป และคลิกสุดท้ายบนแชแนลแบบมีค่าใช้จ่ายของ Google

หากต้องการดูรายงานการระบุแหล่งที่มา ให้คลิกการโฆษณาทางด้านซ้าย แล้วคลิกการเปรียบเทียบรูปแบบหรือเส้นทาง Conversion ในส่วนการระบุแหล่งที่มา

หมายเหตุ

รูปแบบการระบุแหล่งที่มาทั้งหมดไม่รวมการเข้าชมโดยตรงจากการได้รับเครดิตการระบุแหล่งที่มา เว้นแต่เส้นทางที่ทำให้เกิด Conversion ประกอบด้วยการเข้าชมโดยตรงทั้งหมด

การระบุแหล่งที่มาโดยอิงตามข้อมูล

จากข้อมูล: การระบุแหล่งที่มาโดยอิงตามข้อมูลจะกระจายเครดิตสําหรับ Conversion ตามข้อมูลของเหตุการณ์ Conversion แต่ละรายการ รูปแบบนี้แตกต่างจากรูปแบบอื่นๆ เนื่องจากจะใช้ข้อมูลของบัญชีในการคํานวณการมีส่วนร่วมจริงของการโต้ตอบคลิกแต่ละครั้ง

Data-driven model icon รูปแบบที่อิงตามข้อมูลแต่ละรูปแบบจะเฉพาะเจาะจงไปตามผู้ลงโฆษณาแต่ละรายและเหตุการณ์ Conversion แต่ละรายการ

วิธีการทำงานของการระบุแหล่งที่มาโดยอิงตามข้อมูล

การระบุแหล่งที่มาใช้อัลกอริทึมของแมชชีนเลิร์นนิงในการประเมินทั้งเส้นทางที่ทำให้เกิดและที่ไม่ทำให้เกิด Conversion รูปแบบที่มาจากข้อมูลที่ได้จะเรียนรู้ว่าทัชพอยต์ต่างๆ ส่งผลต่อผลลัพธ์ Conversion อย่างไร รูปแบบนี้รวมปัจจัยต่างๆ เช่น เวลาจาก Conversion ประเภทอุปกรณ์ จำนวนการโต้ตอบกับโฆษณา ลำดับการแสดงโฆษณา และประเภทของชิ้นงานครีเอทีฟโฆษณา รูปแบบจะใช้แนวทางการพิจารณาสิ่งที่ขัดแย้งกับความจริงที่ตั้งขึ้น โดยเปรียบเทียบสิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นเพื่อดูว่าช่องทางติดต่อลูกค้าใดเพิ่มจำนวน Conversion ได้มากที่สุด โดยจะระบุแหล่งที่มาของเครดิต Conversion จากทัชพอยต์เหล่านี้ตามความเป็นไปได้นี้

หมายเหตุ: รูปแบบการระบุแหล่งที่มาโดยอิงตามข้อมูลอาจใช้ประโยชน์จากข้อมูลรวมจากการตั้งค่าการแชร์ข้อมูล ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความพร้อมใช้งานของข้อมูล

วิธีการที่อยู่เบื้องหลังการระบุแหล่งที่มาโดยอิงตามข้อมูล (ขั้นสูง)

วิธีการระบุแหล่งที่มาโดยอิงตามข้อมูลประกอบด้วย 2 ส่วนหลักๆ ดังนี้

  • การวิเคราะห์ข้อมูลเส้นทางที่มีอยู่เพื่อพัฒนารูปแบบอัตรา Conversion สําหรับเหตุการณ์ Conversion แต่ละรายการ
  • การใช้การคาดการณ์รูปแบบอัตรา Conversion เป็นอินพุตสำหรับอัลกอริทึมซึ่งระบุแหล่งที่มาของเครดิต Conversion จากการโต้ตอบกับโฆษณา

พัฒนารูปแบบความน่าจะเป็นของ Conversion จากข้อมูลเส้นทางที่มีอยู่

การระบุแหล่งที่มาโดยอิงตามข้อมูลจะใช้ข้อมูลเส้นทาง รวมถึงข้อมูลจากทั้งผู้ใช้ที่ทําและที่ไม่ทํา Conversion เพื่อให้เข้าใจว่าการมีอยู่และช่วงเวลาของทัชพอยต์ทางการตลาดหนึ่งๆ อาจส่งผลต่อความน่าจะเป็นที่ผู้ใช้จะทำ Conversion อย่างไร โดยรูปแบบที่ได้จะประเมินว่าผู้ใช้มีแนวโน้มที่จะทำให้เกิด Conversion ที่จุดใดจุดหนึ่งในเส้นทางอย่างไร โดยพิจารณาจากการแสดงการโต้ตอบกับโฆษณาหนึ่งๆ

รูปแบบนี้จะเปรียบเทียบความน่าจะเป็นในการเกิด Conversion ของผู้ใช้ที่ดูโฆษณากับความน่าจะเป็นในการเกิด Conversion ของผู้ใช้ที่คล้ายกันในกลุ่มยกเว้น (อธิบายในแง่คำศัพท์ในเชิงเทคนิคก็คือ รูปแบบนี้จะคํานวณผลลัพธ์ที่ขัดแย้งกับความจริงในการแสดงโฆษณา Google โดยการฝึกข้อมูลจากการทดลองที่มีการควบคุมแบบสุ่ม)

กำหนดเครดิต Conversion ส่วนย่อยตามหลักอัลกอริทึมให้กับทัชพอยต์ทางการตลาด

รูปแบบการระบุแหล่งที่มาโดยอิงตามข้อมูลจะกำหนดเครดิตโดยพิจารณาความน่าจะเป็นในการเกิด Conversion โดยประมาณที่เปลี่ยนไปเมื่อมีการเพิ่มการโต้ตอบกับโฆษณาแต่ละรายการลงในเส้นทาง อัลกอริทึมการระบุแหล่งที่มาโดยอิงตามข้อมูลจะใช้ฟีเจอร์ต่างๆ ซึ่งรวมถึงเวลาระหว่างที่มีการโต้ตอบกับโฆษณาและ Conversion, ประเภทรูปแบบ และสัญญาณการค้นหาอื่นๆ เพื่อคํานวณเครดิตนี้

ตัวอย่าง
ในภาพประกอบคร่าวๆ ต่อไปนี้ การผสมผสานระหว่างการแสดงโฆษณา #1 (การค้นหาที่เสียค่าใช้จ่าย) การแสดงโฆษณา #2 (โซเชียล) การแสดงโฆษณา #3 (แอฟฟิลิเอต) และการแสดงโฆษณา #4 (การค้นหา) ก่อให้เกิดความน่าจะเป็นในการเกิด Conversion 3% เมื่อไม่มีการแสดงโฆษณา #4 ความน่าจะเป็นจะลดลงเหลือ 2% เราจึงทราบได้ว่าการแสดงโฆษณา #4 จะช่วยเพิ่มความน่าจะเป็นในการเกิด Conversion ได้ +50% เราดำเนินการเช่นนี้ซ้ำสําหรับการโต้ตอบกับโฆษณาแต่ละครั้ง และใช้การมีส่วนร่วมที่เรียนรู้นั้นเป็นน้ำหนักการระบุแหล่งที่มา

คลิกสุดท้ายแบบมีค่าใช้จ่ายและแบบทั่วไป

หมายเหตุ: รูปแบบการระบุแหล่งที่มาแบบคลิกแรก เชิงเส้น ลดลงตามเวลา และตามตำแหน่งจะใช้งานไม่ได้อีกต่อไปตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2023 ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรูปแบบที่เลิกใช้งาน

Last interaction model icon คลิกสุดท้ายแบบมีค่าใช้จ่ายและแบบทั่วไป: ไม่สนใจการเข้าชมโดยตรง และจะถือว่ามูลค่า Conversion ทั้ง 100% มาจากแชแนลสุดท้ายที่ลูกค้าคลิกผ่าน (หรือการดูอย่างมีส่วนร่วมผ่าน YouTube) ก่อนที่จะทำ Conversion ดูตัวอย่างการจัดสรรมูลค่า Conversion ด้านล่าง

ตัวอย่าง
  1. ดิสเพลย์ > โซเชียล > การค้นหาที่เสียค่าใช้จ่าย > การค้นหาทั่วไป → ระบุแหล่งที่มา 100% ว่ามาจากการค้นหาทั่วไป
  2. ดิสเพลย์ > โซเชียล > การค้นหาที่เสียค่าใช้จ่าย > อีเมล → ระบุแหล่งที่มา 100% ว่ามาจากอีเมล
  3. Display > โซเชียล > การค้นหาที่เสียค่าใช้จ่าย > โดยตรง → ระบุแหล่งที่มา 100% ว่ามาจากการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่าย
หมายเหตุ
  • "คลิกสุดท้ายแบบมีค่าใช้จ่ายและแบบทั่วไป" และ "คลิกที่ไม่ใช่โดยตรงครั้งสุดท้าย" เป็น 2 ชื่อสําหรับรูปแบบการระบุแหล่งที่มาเดียวกัน

ระบบจะนับการดูอย่างมีส่วนร่วมในการระบุแหล่งที่มาโดยอิงตามข้อมูลเมื่อผู้ใช้ทําสิ่งต่อไปนี้

  • ดูโฆษณาเป็นเวลา 30 วินาที (หรือจะดูจนจบหากสั้นกว่า 30 วินาที)
  • คลิกการ์ดทีเซอร์
  • คลิกแบนเนอร์ที่แสดงร่วมกันหรือแผงวิดีโอ
  • คลิกวลีที่เป็นคํากระตุ้นการตัดสินใจ
  • คลิก End Screen
  • คลิกเพื่อเข้าชมเว็บไซต์ของผู้ลงโฆษณา

คลิกสุดท้ายบนแชแนลแบบมีค่าใช้จ่ายของ Google

Last interaction model icon คลิกสุดท้ายบนแชแนลแบบมีค่าใช้จ่ายของ Google: ถือว่ามูลค่า Conversion ทั้ง 100% มาจากแชแนลของ Google Ads ล่าสุดที่ลูกค้าคลิกผ่านก่อนทำ Conversion หากไม่มีการคลิก Google Ads ในเส้นทางตามตัวอย่างที่ 6 รูปแบบการระบุแหล่งที่มาจะกลับไปที่คลิกสุดท้ายแบบมีค่าใช้จ่ายและแบบทั่วไป

ตัวอย่าง
  1. ดิสเพลย์ > โซเชียล > การค้นหาที่เสียค่าใช้จ่าย > การค้นหาทั่วไป → ระบุแหล่งที่มา 100% ว่ามาจากการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่าย
  2. ดิสเพลย์ > โซเชียล > YouTube EVC > อีเมล → ระบุแหล่งที่มา 100% ว่ามาจาก YouTube
  3. ดิสเพลย์ > โซเชียล > อีเมล > โดยตรง → ระบุแหล่งที่มา 100% ว่ามาจากอีเมล (ระบุกลับไปยังคลิกที่ไม่ใช่โดยตรงครั้งสุดท้าย)

เลือกการตั้งค่าการระบุแหล่งที่มา

หากต้องการเลือกรูปแบบการระบุแหล่งที่มาและกรอบเวลา Conversion สําหรับพร็อพเพอร์ตี้ Google Analytics 4 คุณต้องมีบทบาทผู้แก้ไขหรือผู้ดูแลระบบในพร็อพเพอร์ตี้นั้น

  1. ในส่วนผู้ดูแลระบบ ภายในการแสดงข้อมูล ให้คลิกการตั้งค่าการระบุแหล่งที่มา
  2. ในส่วนรูปแบบการระบุแหล่งที่มาของการรายงาน ให้เลือกรูปแบบการระบุแหล่งที่มาจากเมนูแบบเลื่อนลง ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรูปแบบการระบุแหล่งที่มาของรายงาน
  3. ในส่วนกรอบเวลา Conversion ให้เลือกกรอบเวลา Conversion สำหรับเหตุการณ์ Conversion การได้ผู้ใช้ใหม่ และเหตุการณ์ Conversion อื่นๆ ทั้งหมด ตัวเลือกเหตุการณ์ Conversion อื่นๆ ทั้งหมดจะควบคุมการตั้งค่าการระบุแหล่งที่มาของเซสชันด้วย
  4. คลิกบันทึก

การตั้งค่าการระบุแหล่งที่มาเหล่านี้ไม่ส่งผลต่อรูปแบบการระบุแหล่งที่มาที่เลือกในรายงานในส่วนการโฆษณา ทุกคนสามารถเลือกรูปแบบการระบุแหล่งที่มาสําหรับการใช้งานส่วนบุคคลได้ภายในรายงานที่อยู่ในส่วนการโฆษณา การเลือกรูปแบบการระบุแหล่งที่มาในส่วนการโฆษณาจะไม่ส่งผลต่อลักษณะข้อมูลที่ผู้ใช้คนอื่นเห็น หรือวิธีคํานวณข้อมูลในรายงานที่อยู่นอกส่วนการโฆษณา

ข้อมูลนี้มีประโยชน์ไหม

เราจะปรับปรุงได้อย่างไร
false
ค้นหา
ล้างการค้นหา
ปิดการค้นหา
เมนูหลัก
358970738909284356
true
ค้นหาศูนย์ช่วยเหลือ
true
true
true
true
true
69256
false
false