รับความช่วยเหลือในกรณีฉุกเฉินโดยใช้โทรศัพท์ Pixel

ใช้แอปความปลอดภัยส่วนบุคคลเพื่อบันทึกและแชร์ข้อมูลสำหรับกรณีฉุกเฉิน โทรศัพท์สามารถติดต่อบริการช่วยเหลือฉุกเฉินโดยอัตโนมัติในบางประเทศและเมื่อใช้ผู้ให้บริการบางราย

สำคัญ

เตรียมพร้อมสำหรับกรณีฉุกเฉิน

สำคัญ: ผู้ที่หยิบโทรศัพท์ของคุณไปจะดูข้อความบนหน้าจอล็อกและข้อมูลสำหรับกรณีฉุกเฉินได้แม้ว่าโทรศัพท์จะล็อกอยู่ คุณปิดการตั้งค่านี้ได้ในแอปความปลอดภัยส่วนบุคคล

ใช้แอปความปลอดภัยส่วนบุคคล
แอปความปลอดภัยส่วนบุคคลพร้อมใช้งานในโทรศัพท์ Pixel ทุกรุ่น โทรศัพท์ Pixel 4 และรุ่นใหม่กว่าจะดาวน์โหลดแอปโดยอัตโนมัติ 
เคล็ดลับ: หากต้องการนำแอปความปลอดภัยส่วนบุคคลออกจากรายการแอป คุณปิดใช้แอปได้ ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีปิดใช้แอปที่มาพร้อมกับโทรศัพท์ Pixel

เพิ่มแอปความปลอดภัยส่วนบุคคลใน Pixel 3a หรือรุ่นก่อนหน้า

  1. ตรวจสอบว่าคุณมีซอฟต์แวร์ Android เวอร์ชันล่าสุด ดูวิธีตรวจสอบเวอร์ชัน Android
  2. ไปที่การตั้งค่า การตั้งค่า จากนั้น เกี่ยวกับโทรศัพท์
  3. แตะข้อมูลสำหรับกรณีฉุกเฉิน
  4. ในแบนเนอร์ที่ด้านบนของหน้าจอ ให้แตะอัปเดต

หากไม่เห็นแบนเนอร์ ให้ตรวจสอบว่ามีแอปความปลอดภัยส่วนบุคคล แอปความปลอดภัย อยู่ในโทรศัพท์แล้ว และดูว่าแอปได้รับการอัปเดตเป็นเวอร์ชันล่าสุดใน Play Store

สิ่งที่คุณทำได้

  • ใน Pixel 3a และรุ่นก่อนหน้า แม้ว่าจะไม่ได้เพิ่มแอปลงในโทรศัพท์ คุณก็ลงชื่อเข้าใช้ด้วยบัญชี Google, เพิ่มผู้ติดต่อกรณีฉุกเฉิน และแสดงข้อมูลทางการแพทย์ได้
  • เมื่อติดตั้งแอปแล้ว คุณจะใช้ SOS ฉุกเฉิน การแชร์ข้อมูลในกรณีฉุกเฉิน การตรวจสอบความปลอดภัย การแจ้งเตือนภาวะวิกฤต และการตรวจจับการชนได้ การตรวจจับการชนมีให้บริการใน Pixel 4a ขึ้นไป รวมถึง Fold

สิ่งที่ต้องมี

คุณต้องเปิดใช้บริการตำแหน่งและสิทธิ์เข้าถึงตำแหน่งจึงจะใช้แอปความปลอดภัยส่วนบุคคลได้ การแชร์ตำแหน่งจะทำได้ในบางประเทศและสำหรับผู้ใช้บางประเภทเท่านั้น ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการแชร์ตำแหน่ง

คุณแชร์ตำแหน่งแบบเรียลไทม์กับผู้อื่นจากอุปกรณ์ได้ผ่านการแชร์ตำแหน่ง เมื่อแชร์ตำแหน่งกับผู้อื่น บุคคลนั้นจะดูชื่อ รูปภาพ และตำแหน่งแบบเรียลไทม์ของคุณในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของ Google ซึ่งรวมถึง Google Maps ได้ ข้อมูลตำแหน่งที่แชร์อาจรวมถึงข้อมูลต่อไปนี้

  • ตำแหน่งของคุณในปัจจุบันหรือก่อนหน้า
  • กิจกรรมในปัจจุบัน เช่น การขับรถหรือการเดิน
  • ข้อมูลเฉพาะของอุปกรณ์ เช่น อายุการใช้งานแบตเตอรี่หรือการเชื่อมต่อ GPS
  • สถานะการโทร เช่น "เริ่มการโทรแล้ว" หรือ "โทรหาหมายเลขฉุกเฉินในท้องถิ่นแล้ว"
  • สถานที่ต่างๆ เช่น บ้าน ที่ทำงาน หรือจุดหมายปลายทาง
ป้อนข้อมูลกรณีฉุกเฉินลงในแอปความปลอดภัยส่วนบุคคล

คุณเพิ่มข้อมูลส่วนบุคคลสำหรับกรณีฉุกเฉินลงในหน้าจอล็อกของโทรศัพท์ได้ เช่น กรุ๊ปเลือด การแพ้ และยาของคุณ

  1. เปิดแอปความปลอดภัยส่วนบุคคล แอปความปลอดภัย ในโทรศัพท์
  2. หากระบบถาม ให้ลงชื่อเข้าใช้บัญชี Google
  3. แตะข้อมูลของคุณ
  4. เพิ่มข้อมูลสำหรับกรณีฉุกเฉิน
    • สำหรับข้อมูลทางการแพทย์
      • แตะข้อมูลทางการแพทย์
      • หากต้องการเพิ่มข้อมูลอย่างอาการแพ้หรือยา ให้แตะข้อมูลในรายการที่ต้องการอัปเดต
    • สำหรับผู้ติดต่อกรณีฉุกเฉิน
      • แตะผู้ติดต่อกรณีฉุกเฉิน จากนั้น เพิ่มผู้ติดต่อ จากนั้น ผู้ติดต่อที่มีอยู่ที่ต้องการเพิ่ม
ดูวิธีเพิ่มข้อมูลสำหรับกรณีฉุกเฉินด้วยบทแนะนำแบบทีละขั้นตอน

เคล็ดลับ

  • หากต้องการแสดงข้อมูลสำหรับกรณีฉุกเฉินเมื่อหน้าจอล็อกอยู่ ให้แตะอนุญาตให้เข้าถึงข้อมูลสำหรับกรณีฉุกเฉิน แล้ว แสดงเมื่อล็อกอยู่ 
  • ตั้งค่าซิมการ์ดหรือ eSIM ด้วยโทรศัพท์ มิเช่นนั้น โทรศัพท์จะส่งข้อความหาผู้ติดต่อกรณีฉุกเฉินไม่ได้ในภายหลัง ดูวิธีใส่ซิมการ์ด
  • หากไม่มีแอปความปลอดภัยส่วนบุคคลในโทรศัพท์ ให้ดูวิธีเพิ่มแอป
เปิดการตรวจจับการชน

หากตรวจพบว่าคุณประสบอุบัติเหตุรถชนอย่างรุนแรง โทรศัพท์จะโทรหาบริการช่วยเหลือฉุกเฉินให้โดยอัตโนมัติ เช่น โทรหา 911 ในสหรัฐอเมริกา และแชร์ตำแหน่งของคุณ

สำคัญ: โทรศัพท์ของคุณต้องมีซิมเพื่อให้การตรวจจับการชนทำงานได้ ดูวิธีใส่ซิม

  1. เปิดแอปความปลอดภัยส่วนบุคคล แอปความปลอดภัย ในโทรศัพท์
  2. แตะฟีเจอร์
  3. เลื่อนไปที่ "การตรวจจับการชน"
  4. แตะตั้งค่า
    • เมื่อระบบขอให้แชร์ตำแหน่งของคุณ ให้แตะอนุญาตขณะใช้งานแอป
    • เมื่อระบบขอให้แชร์ไมโครโฟนและการเคลื่อนไหวร่างกาย ให้แตะอนุญาต

วิธีการทำงานของการตรวจจับการชน

โทรศัพท์ Pixel 4a ขึ้นไป รวมถึง Fold สามารถใช้ข้อมูล เช่น ตำแหน่งของโทรศัพท์ เซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว และเสียงบริเวณใกล้เคียง เพื่อตรวจหาอุบัติเหตุรถชนรุนแรงที่อาจเกิดขึ้น การตรวจจับการชนต้องใช้ตำแหน่ง การเคลื่อนไหวร่างกาย และสิทธิ์เข้าถึงไมโครโฟนเพื่อทำงาน หากตรวจพบการชน โทรศัพท์จะโทรหาบริการช่วยเหลือฉุกเฉินให้คุณ การโทรนี้ใช้บริการตำแหน่งกรณีฉุกเฉินของ Android และอาจส่งข้อมูลเกี่ยวกับตำแหน่งที่คุณอยู่และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ดูวิธีจัดการสิทธิ์ของโทรศัพท์ Pixel

บางครั้งโทรศัพท์อาจตรวจจับการชนไม่ได้ แต่ในทางกลับกัน กิจกรรมที่มีแรงกระแทกสูงก็อาจทำให้อุปกรณ์ตรวจจับการชนได้ ในบางกรณี โทรศัพท์ Pixel อาจไม่สามารถโทรหาบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน เช่น โทรศัพท์อาจเชื่อมต่ออยู่กับเครือข่ายมือถือที่มีสัญญาณอ่อน หรือกำลังใช้สายอยู่

ความพร้อมในการให้บริการของการตรวจจับการชน

ใน Pixel 4a ขึ้นไป รวมถึง Fold การตรวจจับการชนจะพร้อมให้บริการเป็นภาษาต่อไปนี้

  • เดนมาร์ก
  • ดัตช์
  • อังกฤษ
  • ฝรั่งเศส
  • ฝรั่งเศส (แคนาดา)
  • อิตาลี
  • ญี่ปุ่น
  • จีนกลาง
  • นอร์เวย์
  • สเปน
  • สวีเดน

สำหรับประเทศหรือภูมิภาคต่อไปนี้

  • ออสเตรเลีย
  • ออสเตรีย
  • เบลเยียม
  • แคนาดา
  • เดนมาร์ก
  • ฝรั่งเศส
  • อินเดีย
  • ไอร์แลนด์
  • อิตาลี
  • ญี่ปุ่น
  • นอร์เวย์
  • เนเธอร์แลนด์
  • โปรตุเกส
  • สิงคโปร์
  • สเปน
  • สวีเดน
  • สวิตเซอร์แลนด์
  • ไต้หวัน
  • สหราชอาณาจักร
  • สหรัฐอเมริกา

ตั้งค่าและเปิดหรือปิด SOS ฉุกเฉิน

หากอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน คุณสามารถใช้โทรศัพท์เพื่อเริ่มการดำเนินการฉุกเฉิน เช่น โทรขอความช่วยเหลือ แชร์ตำแหน่งกับผู้ติดต่อกรณีฉุกเฉิน และบันทึกวิดีโอ

สำคัญ

  • โทรศัพท์ของคุณต้องมีซิมเพื่อให้การตรวจจับการชนทำงานได้ ดูวิธีใส่ซิม
  • SOS ฉุกเฉินจะใช้งานไม่ได้ในโหมดบนเครื่องบินหรือเมื่อโหมดประหยัดแบตเตอรี่เปิดอยู่
  • SOS ฉุกเฉินมีให้บริการใน Pixel 4a ขึ้นไป รวมถึง Fold

ตั้งค่าและเปิด SOS ฉุกเฉิน

  1. เปิดแอปการตั้งค่าในโทรศัพท์
  2. แตะความปลอดภัยและเหตุฉุกเฉิน จากนั้น SOS ฉุกเฉิน
  3. แตะเริ่มการตั้งค่าที่ด้านล่าง
  4. หากต้องการความช่วยเหลือ โทรศัพท์จะเริ่มการดำเนินการฉุกเฉินได้
    1. แตะเริ่มเพื่อตั้งค่าหมายเลขบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน
      1. หากต้องการเปลี่ยนหมายเลขฉุกเฉินในท้องถิ่น ให้แตะเปลี่ยนหมายเลข
      2. เมื่อป้อนหมายเลขที่ถูกต้องของท้องถิ่นแล้ว ให้แตะถัดไป
    2. คุณสามารถเปิดระบบช่วยโทรเพื่อให้โทรศัพท์แชร์ตำแหน่งของคุณกับบริการช่วยเหลือฉุกเฉินได้ในกรณีที่คุณไม่สามารถโต้ตอบได้
      1. หากต้องการใช้ระบบช่วยโทร ให้แตะเปิด
        เคล็ดลับ: ความพร้อมให้บริการของระบบช่วยโทรจะขึ้นอยู่กับตำแหน่ง
    3. หากต้องการแชร์ข้อมูลตำแหน่งและส่งรายละเอียดอัปเดตให้ผู้ติดต่อกรณีฉุกเฉิน ให้แตะเริ่มการตั้งค่า จากนั้น ตั้งค่า
      1. แตะเพิ่มรายชื่อติดต่อ จากนั้นเลือกรายชื่อติดต่อที่จะแชร์ข้อมูลด้วยเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน
      2. เลือกข้อมูลที่ต้องการให้ฟีเจอร์ SOS ฉุกเฉินแชร์กับผู้ติดต่อกรณีฉุกเฉิน
      3. แตะถัดไป
    4. หากต้องการแชร์ตำแหน่งเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน คุณต้องอนุญาตให้แอปความปลอดภัยส่วนบุคคลเข้าถึงตำแหน่งของคุณขณะใช้แอป
      1. แตะถัดไป จากนั้น ขณะใช้แอป
    5. หากต้องการให้ฟีเจอร์ SOS ฉุกเฉินเริ่มการบันทึกวิดีโอในกรณีฉุกเฉินขณะที่ยังใช้ฟีเจอร์อื่นๆ ของโทรศัพท์อยู่ ให้เลื่อนลงและแตะเริ่มการตั้งค่า
      • หากต้องการบันทึกวิดีโอในกรณีฉุกเฉิน ให้แตะเปิด จากนั้น ขณะใช้แอป
      • คุณเลือกที่จะแชร์วิดีโอโดยอัตโนมัติกับผู้ติดต่อกรณีฉุกเฉินได้หลังจากสำรองข้อมูลไปยังอุปกรณ์แล้ว เลือกแชร์โดยอัตโนมัติหลังจากสำรองข้อมูล จากนั้น ถัดไป
    6. หากต้องการเริ่มการดำเนินการของ SOS ฉุกเฉิน ให้เลือกตัวเลือกใดตัวเลือกหนึ่งต่อไปนี้
      • เลือกใช้การแตะค้างไว้เพื่อเริ่มการดำเนินการ
      • เลือกเริ่มการดำเนินการทันทีหลังจากนับถอยหลัง หากต้องการให้ระบบส่งเสียงดังเมื่อตัวเลือกนี้เริ่มทำงาน ให้เปิดเล่นเสียงสัญญาณเตือน
  5. แตะเสร็จสิ้น

เลือกวิธีเริ่มใช้ฟีเจอร์ SOS ฉุกเฉิน

คุณสามารถตั้งค่าฟีเจอร์ SOS ฉุกเฉินเพื่อให้การดำเนินการฉุกเฉินเริ่มทำงานโดยอัตโนมัติ หรือจะกำหนดให้มีขั้นตอนการยืนยันก่อนที่การดำเนินการจะเริ่มขึ้นก็ได้

  1. เปิดแอปการตั้งค่าในโทรศัพท์
  2. แตะความปลอดภัยและเหตุฉุกเฉิน จากนั้น SOS ฉุกเฉิน
  3. ในส่วน "วิธีการทำงาน" ให้แตะการตั้งค่า การตั้งค่า
  4. คุณตั้งค่า SOS ฉุกเฉินได้ 2 วิธีดังนี้
    • หากต้องการเพิ่มขั้นตอนการยืนยันก่อนที่การดำเนินการฉุกเฉินจะเริ่มขึ้น ให้แตะแตะค้างไว้เพื่อเริ่มการดำเนินการ
    • หากต้องการเริ่มการดำเนินการฉุกเฉินโดยอัตโนมัติหลังจากนับถอยหลัง 5 วินาที ให้แตะเริ่มการดำเนินการโดยอัตโนมัติ
ปิด SOS ฉุกเฉิน
  1. เปิดแอปการตั้งค่าในโทรศัพท์
  2. แตะความปลอดภัยและเหตุฉุกเฉิน จากนั้น SOS ฉุกเฉิน
  3. ในส่วน "วิธีการทำงาน" ให้แตะการตั้งค่า การตั้งค่า
  4. แตะปิด SOS ฉุกเฉิน
ดูวิธีใช้ฟีเจอร์ SOS ฉุกเฉินด้วยบทแนะนำแบบทีละขั้นตอน
ใส่ข้อความบนหน้าจอล็อก
  1. เปิดแอปการตั้งค่าในโทรศัพท์
  2. แตะหน้าจอ แล้ว หน้าจอล็อก แล้ว เพิ่มข้อความในหน้าจอล็อก
  3. ป้อนข้อความ เช่น ข้อมูลที่จะช่วยให้ผู้อื่นคืนโทรศัพท์ให้คุณได้หากทำหาย
  4. แตะบันทึก
ควบคุมการแจ้งเตือนการส่งข้อมูลเตือนภัยฉุกเฉิน
คุณใช้การตั้งค่านี้เพื่อจัดการข้อความฉุกเฉินบางกรณีได้ เช่น คำเตือนภัยพิบัติ การแจ้งเตือนภัยคุกคาม และการแจ้งเตือนเด็กหาย Amber Alert

คุณเปิดหรือปิดประเภทการแจ้งเตือน ดูการแจ้งเตือนที่ผ่านมา รวมทั้งควบคุมเสียงและการสั่นได้

  1. เปิดแอปการตั้งค่าในโทรศัพท์
  2. แตะการแจ้งเตือน จากนั้น การแจ้งเหตุฉุกเฉินแบบไร้สาย
  3. เลือกความถี่ที่ต้องการรับการแจ้งเตือนและการตั้งค่าที่ต้องการเปิด

รับความช่วยเหลือเมื่อมีเหตุฉุกเฉิน

รับความช่วยเหลือหลังเกิดอุบัติเหตุรถชน (Pixel 3 และรุ่นที่ใหม่กว่า รวมถึง Pixel Fold)

สำคัญ: การตรวจจับการชนใช้งานไม่ได้ในโหมดบนเครื่องบิน หรือเมื่อโหมดประหยัดแบตเตอรี่เปิดอยู่ การตรวจจับการชนจะทำงานในประเทศของซิมโทรศัพท์ของคุณเท่านั้น และจะไม่ทำงานเมื่อโรมมิ่ง

เมื่อเปิดการตรวจจับการชนไว้ โทรศัพท์จะรู้ได้ว่าคุณประสบอุบัติเหตุรถชนรุนแรงหรือไม่ โทรศัพท์จะสั่น ส่งเสียงเตือน และถามว่าคุณต้องการความช่วยเหลือหรือไม่ โดยจะถามทั้งแบบออกเสียงและถามบนหน้าจอโทรศัพท์

หากคุณตอบกลับภายใน 60 วินาทีก็จะสามารถเลือกโทรหาบริการช่วยเหลือฉุกเฉินหรือจะยกเลิกการโทรก็ได้

โทรหาบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน

  • หากการแชร์ข้อมูลในกรณีฉุกเฉินเปิดอยู่ ให้พูดว่า "ฉุกเฉิน" หรือลากแถบเลื่อนไปที่โทรหา 911 และแจ้งเตือนรายชื่อติดต่อ
  • โทรศัพท์จะเปิดลำโพงโดยอัตโนมัติ

ยกเลิกการโทร

  • พูดว่า "ยกเลิก" หรือแตะฉันไม่เป็นไร
  • โทรศัพท์ของคุณจะไม่โทรฉุกเฉิน

หากคุณไม่ตอบกลับภายใน 60 วินาที

  • โทรศัพท์จะเปิดลำโพงโดยอัตโนมัติ พยายามโทรหาบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน บอกว่าเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ และแชร์ตำแหน่งโดยประมาณของอุปกรณ์
  • ข้อความจะปรากฏซ้ำ แต่คุณพูดทับข้อความได้ หากต้องการหยุดข้อความและใช้การโทรต่อไป ให้แตะยกเลิก

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการโทรฉุกเฉิน

ดูวิธีรับความช่วยเหลือหลังเกิดอุบัติเหตุรถชนด้วยบทแนะนำแบบทีละขั้นตอน
ใช้ SOS ฉุกเฉินเพื่อโทรขอความช่วยเหลือ แจ้งเตือนผู้ติดต่อ และอัดวิดีโอ

สำคัญ: SOS ฉุกเฉินจะใช้งานไม่ได้ในโหมดบนเครื่องบิน หรือเมื่อโหมดประหยัดแบตเตอรี่เปิดอยู่

หากอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน คุณสามารถใช้โทรศัพท์เพื่อเริ่มการดำเนินการฉุกเฉิน เช่น โทรขอความช่วยเหลือ แชร์ตำแหน่งกับผู้ติดต่อกรณีฉุกเฉิน และบันทึกวิดีโอ

  1. กดปุ่มเปิด/ปิด 5 ครั้งขึ้นไปบนโทรศัพท์
  2. แตะด้านในวงกลมสีแดงค้างไว้ 3 วินาทีหรือรอการนับถอยหลังอัตโนมัติเพื่อเริ่มการโทรฉุกเฉิน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการตั้งค่าของคุณ
  3. หลังจากเริ่มโทรหาหมายเลขฉุกเฉินแล้ว ระบบจะเริ่มการดำเนินการฉุกเฉินอื่นๆ ตามการตั้งค่าของคุณ

สำคัญ: หากเปิดการแชร์ข้อมูลและการบันทึกวิดีโอในกรณีฉุกเฉินไว้ การดำเนินการเหล่านี้จะเริ่มขึ้นในระหว่างที่คุณโทรหาบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีบันทึกวิดีโอในกรณีฉุกเฉิน

วิธีปฏิบัติเมื่อโทรหาหมายเลขฉุกเฉินโดยไม่ตั้งใจ

Accidental calls

If you place a call to emergency services by mistake, do not hang up. Tell the emergency operator that the call was accidental and that you do not need assistance.
อัดวิดีโอในกรณีฉุกเฉิน

สำคัญ: การอัดวิดีโอออกแบบมาเพื่อให้คุณบันทึกวิดีโอสถานการณ์ฉุกเฉินและเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้คุณมีความปลอดภัยเพิ่มขึ้น นอกเหนือจากนโยบายความเป็นส่วนตัวแล้ว เมื่อคุณใช้ฟีเจอร์ของผลิตภัณฑ์ของเราเพื่ออัด อัปโหลด และ/หรือแชร์เนื้อหาวิดีโอและเสียง เช่น การบันทึกวิดีโอสถานการณ์ฉุกเฉิน เราอาจบันทึกการใช้แอปพลิเคชัน การแชร์กับผู้ติดต่อกรณีฉุกเฉิน และการดู/ดาวน์โหลดลิงก์วิดีโอด้วย ไฟล์วิดีโอของเหตุการณ์ฉุกเฉินอาจรบกวนจิตใจของผู้ติดต่อกรณีฉุกเฉิน รวมทั้งอาจทำให้เกิดความโศกเศร้า โปรดใช้ฟีเจอร์การแชร์วิดีโออย่างระมัดระวัง คุณมีหน้าที่รับผิดชอบในการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดเมื่อใช้ฟีเจอร์นี้ ซึ่งรวมถึงกฎหมายว่าด้วยการอัดวิดีโอหรือการดักฟังที่เกี่ยวข้องของรัฐและรัฐบาลกลาง การใช้ฟีเจอร์นี้แสดงว่าคุณรับทราบและยอมรับข้อความข้างต้น ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อกำหนดและเงื่อนไขของเรา

วิธีการทำงานของการอัดวิดีโอฉุกเฉิน

ขณะอัดวิดีโอฉุกเฉิน คุณจะยังใช้โทรศัพท์เพื่อทำงานอื่นๆ ได้ เช่น แชร์ตำแหน่งกับผู้ติดต่อกรณีฉุกเฉินและขอความช่วยเหลือจากบริการช่วยเหลือฉุกเฉินในท้องถิ่น

หมายเหตุ: หากคุณเปิดแอปอื่นที่ใช้กล้อง การบันทึกวิดีโอในกรณีฉุกเฉินจะหยุดชั่วคราว เมื่อการบันทึกวิดีโอในกรณีฉุกเฉินหยุดชั่วคราว วิดีโอที่บันทึกจะแสดงหน้าจอสีเทา หากต้องการบันทึกวิดีโอในกรณีฉุกเฉินต่อ ให้เปิดแอปความปลอดภัยส่วนบุคคลอีกครั้ง หรือแตะการแจ้งเตือนที่ด้านบนของหน้าจอ

การอัดวิดีโอฉุกเฉินจะอัดและบันทึกวิดีโอได้สูงสุด 45 นาที คุณภาพของวิดีโอจะอยู่ที่ประมาณ 10 MB ต่อนาที

วิธีการทำงานของการแชร์อัตโนมัติ

หากคุณเปิดการแชร์อัตโนมัติ ระบบจะแชร์ลิงก์ไปยังวิดีโอกับผู้ติดต่อกรณีฉุกเฉินทุกรายโดยอัตโนมัติหลังการบันทึกวิดีโอแต่ละครั้ง หากไม่ได้ตั้งค่าผู้ติดต่อกรณีฉุกเฉินไว้ ระบบจะไม่แชร์วิดีโอกับใครเลย หากเลือกที่จะไม่แชร์วิดีโอ คุณมีเวลา 15 วินาทีในการยกเลิกการแชร์หลังการบันทึก หลังจากบันทึกเสร็จแล้ว เวลาที่ใช้ในการอัปโหลดและแชร์วิดีโอจะขึ้นอยู่กับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตของคุณ ผู้ติดต่อกรณีฉุกเฉินที่คุณแชร์ด้วยจะดาวน์โหลดสำเนาวิดีโอได้

วิดีโอหนึ่งๆ จะมีลิงก์การแชร์ที่ใช้งานได้เพียงลิงก์เดียวเท่านั้นในช่วงเวลาที่กำหนด แต่ละลิงก์ที่สร้างขึ้นมีอายุ 7 วันและมีตัวจับเวลาการหมดอายุเพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวของคุณ โดยคุณจะปิดใช้งานลิงก์ได้ทุกเมื่อ หากต้องการรีเฟรชตัวจับเวลาการหมดอายุ ให้ปิดใช้งานลิงก์เดิมแล้วสร้างลิงก์ใหม่ วิธีปิดใช้งานลิงก์สำหรับแชร์

  1. เปิดแอปความปลอดภัยส่วนบุคคล แอปความปลอดภัย ในโทรศัพท์
  2. แตะข้อมูลของคุณ จากนั้น วิดีโอของคุณ
  3. ข้างวิดีโอ ให้แตะเพิ่มเติม เพิ่มเติม จากนั้น ลบ จากนั้น ลบ

การบันทึกวิดีโอในกรณีฉุกเฉินมีไว้เพื่อการใช้งานส่วนบุคคลในสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อช่วยให้คุณปลอดภัย Google จะปิดลิงก์สำหรับแชร์ที่มีการใช้งานอยู่โดยอัตโนมัติหากมีการแชร์มากเกินไป โดยการแชร์มากเกินไปหมายถึงมีการเข้าชมลิงก์สำหรับแชร์เหตุการณ์หนึ่งๆ มากกว่า 120 ครั้ง

วิธีการทำงานของการสำรองข้อมูลอัตโนมัติ

ระบบจะอัปโหลดไฟล์วิดีโอฉุกเฉินไปยังระบบคลาวด์โดยอัตโนมัติ การดำเนินการนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้ข้อมูลหายไป หากโทรศัพท์ของคุณสูญหายหรือเสียหายในสถานการณ์ฉุกเฉิน การอัปโหลดไปยังระบบคลาวด์ต้องใช้การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต และอาจมีค่าใช้จ่ายหากคุณใช้เครือข่ายแบบจำกัดปริมาณ คุณสามารถจัดการไฟล์วิดีโอฉุกเฉินที่อัปโหลดไว้ได้ทุกเมื่อโดยใช้การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต วิธีจัดการวิดีโอ

  1. เปิดแอปความปลอดภัยส่วนบุคคล แอปความปลอดภัย ในโทรศัพท์
  2. แตะข้อมูลของคุณ จากนั้น วิดีโอของคุณ
  3. ข้างวิดีโอ ให้แตะเพิ่มเติม เพิ่มเติม จากนั้น แชร์หรือลบ

เคล็ดลับ: หากคุณลบไฟล์ ระบบจะลบไฟล์นั้นออกจากบัญชี Google อย่างถาวรและการดำเนินการนี้จะเลิกทำไม่ได้

ค้นหาข้อมูลสำหรับกรณีฉุกเฉิน
  1. บนหน้าจอล็อก ให้ปัดขึ้น
  2. แตะกรณีฉุกเฉิน แล้ว ดูข้อมูลสำหรับกรณีฉุกเฉิน
ส่งตำแหน่งของคุณโดยอัตโนมัติ

ระบบจะส่งตำแหน่งของโทรศัพท์เมื่อมีการโทรหาหรือส่ง SMS ถึงหมายเลขฉุกเฉิน เช่น เมื่อโทรหา 911 ในสหรัฐอเมริกาหรือ 112 ในยุโรป เพื่อช่วยให้หน่วยปฏิบัติการฉุกเฉินพบคุณได้อย่างรวดเร็ว

หากบริการตำแหน่งกรณีฉุกเฉิน (ELS) ของ Android ใช้ได้ในประเทศหรือภูมิภาคและเครือข่ายมือถือของคุณ และหากไม่ได้ปิด ELS ไว้ โทรศัพท์จะส่งตำแหน่งไปยังหน่วยปฏิบัติการฉุกเฉินโดยอัตโนมัติผ่าน ELS หากปิด ELS ผู้ให้บริการเครือข่ายมือถืออาจยังส่งตำแหน่งของอุปกรณ์ได้ระหว่างที่โทรหรือส่ง SMS หาหมายเลขฉุกเฉิน

เปิดหรือปิดบริการตำแหน่งกรณีฉุกเฉิน

  1. เปิดแอปการตั้งค่าในโทรศัพท์
  2. แตะตำแหน่ง จากนั้น บริการตำแหน่ง จากนั้น บริการตำแหน่งกรณีฉุกเฉินหรือบริการตำแหน่งกรณีฉุกเฉินของ Google
  3. เปิดหรือปิดบริการตำแหน่งกรณีฉุกเฉินหรือบริการตำแหน่งกรณีฉุกเฉินของ Google

วิธีการทำงานของบริการตำแหน่งกรณีฉุกเฉิน

โทรศัพท์จะใช้บริการตำแหน่งกรณีฉุกเฉิน (ELS) เฉพาะเมื่อคุณโทรหรือส่ง SMS หาหมายเลขฉุกเฉินเท่านั้น 

หากเปิด ELS ไว้ก็อาจมีการใช้บริการตำแหน่งของ Google และข้อมูลอื่นๆ เพื่อระบุตำแหน่งที่แม่นยำที่สุดของโทรศัพท์ในระหว่างการโทรหาหมายเลขฉุกเฉิน นอกจากนี้ ELS อาจส่งข้อมูลเพิ่มเติม เช่น ภาษาที่ตั้งค่าไว้ในอุปกรณ์ด้วย

โทรศัพท์จะเตรียมข้อมูลนี้ให้พร้อมใช้งานสำหรับบริการช่วยเหลือฉุกเฉินที่ได้รับอนุญาตเพื่อค้นหาและช่วยเหลือคุณได้ บริการช่วยเหลือฉุกเฉินจะรับข้อมูลนี้จากโทรศัพท์โดยตรง ไม่ใช่รับผ่าน Google

หลังจากโทรหรือส่ง SMS เสร็จเรียบร้อยในขณะที่ ELS ทำงานอยู่ โทรศัพท์จะส่งข้อมูลการใช้งาน ข้อมูลวิเคราะห์ และข้อมูลการวินิจฉัยให้ Google ผ่านบริการ Google Play โดย Google จะใช้ข้อมูลนี้เพื่อวิเคราะห์ว่า ELS ทำงานได้ดีเพียงใด แต่จะไม่ได้รับข้อมูลที่ระบุตัวตนได้ ซึ่งรวมถึงตำแหน่งของคุณ

กระบวนการส่งตำแหน่งโดยใช้ ELS จะต่างจากการแชร์ตำแหน่งด้วย Google Maps ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการแชร์ตำแหน่งด้วย Google Maps

แชร์ตำแหน่งของคุณกับผู้ติดต่อกรณีฉุกเฉิน

คุณอนุญาตให้ผู้ติดต่อกรณีฉุกเฉินดูตำแหน่งและรับข้อมูลอัปเดตเกี่ยวกับสถานที่ที่คุณอยู่รวมถึงเปอร์เซ็นต์แบตเตอรี่ได้ คุณต้องให้สิทธิ์เข้าถึงตำแหน่งแก่แอปความปลอดภัยส่วนบุคคล

หากต้องการใช้การแชร์ข้อมูลในกรณีฉุกเฉิน คุณต้องดำเนินการต่อไปนี้

  • มีผู้ติดต่อกรณีฉุกเฉินอย่างน้อย 1 ราย
  • ให้สิทธิ์เข้าถึงตำแหน่ง "ขณะใช้งาน" แก่แอปความปลอดภัยส่วนบุคคล
    • เคล็ดลับ: หากการแชร์ตำแหน่งไม่พร้อมใช้งานในประเทศของคุณก็จะมีข้อความปรากฏในแอปความปลอดภัยส่วนบุคคล
  • เปิดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและบริการตำแหน่ง
  • เปิดการแชร์สถานะการโทรฉุกเฉิน

เริ่มแชร์ข้อมูลในกรณีฉุกเฉิน

  1. เปิดแอปความปลอดภัยส่วนบุคคล แอปความปลอดภัย ในโทรศัพท์
  2. แตะการแชร์ข้อมูลในกรณีฉุกเฉิน
  3. เลือกคนที่ต้องการแชร์ตำแหน่งแบบเรียลไทม์ด้วย
    • คุณเพิ่มข้อความได้ (ไม่บังคับ)
  4. แตะแชร์
  5. แตะแบนเนอร์การแจ้งเตือนเพื่อดูรายละเอียดการแชร์ข้อมูลในกรณีฉุกเฉิน

หยุดแชร์ข้อมูลในกรณีฉุกเฉิน

  1. เปิดแอปความปลอดภัยส่วนบุคคล แอปความปลอดภัย ในโทรศัพท์
  2. แตะข้อมูลสำหรับแชร์ในกรณีฉุกเฉิน
  3. แตะหยุด
    • คุณใส่หมายเหตุเพื่ออธิบายเหตุผลที่หยุดแชร์ข้อมูลในกรณีฉุกเฉินได้

เคล็ดลับ: การแชร์ข้อมูลในกรณีฉุกเฉินจะสิ้นสุดโดยอัตโนมัติหลังจากผ่านไป 24 ชั่วโมง

การแชร์ข้อมูลในกรณีฉุกเฉินด้วยการตรวจจับการชน

หากเปิดการตรวจจับการชนไว้ คุณสามารถตั้งค่าให้โทรศัพท์เริ่มแชร์ข้อมูลในกรณีฉุกเฉินได้หากเกิดอุบัติเหตุรถชน

เปิดการแชร์ข้อมูลในกรณีฉุกเฉินด้วยการตรวจจับการชน

  1. เปิดแอปความปลอดภัยส่วนบุคคล แอปความปลอดภัย ในโทรศัพท์
  2. แตะฟีเจอร์ที่ด้านล่าง
  3. แตะการตรวจจับการชน
  4. เลือกการตอบสนองในกรณีฉุกเฉินของโทรศัพท์หากตรวจพบอุบัติเหตุรถชน
    • หากต้องการส่งข้อความบอกตำแหน่งและข้อมูลอัปเดตไปยังผู้ติดต่อกรณีฉุกเฉิน ให้แตะการแชร์ข้อมูลในกรณีฉุกเฉิน

หากเปิดการตรวจจับการชนไว้ ระบบจะโทรหาบริการช่วยเหลือฉุกเฉินโดยอัตโนมัติ

  • หากระบบตรวจพบอุบัติเหตุรถชนและคุณตอบกลับภายใน 60 วินาที คุณจะทำสิ่งต่อไปนี้ได้
    • แตะฉันไม่เป็นไรเพื่อยกเลิกการโทร
    • แตะโทรหา 911 และแจ้งเตือนรายชื่อติดต่อ

เคล็ดลับ: คุณขอให้ Google Assistant เริ่มแชร์ข้อมูลในกรณีฉุกเฉินได้โดยพูดว่า "Ok Google เริ่มการแชร์ข้อมูลในกรณีฉุกเฉิน"

ใช้ Google Assistant สำหรับการตรวจสอบความปลอดภัยและการแชร์ข้อมูลในกรณีฉุกเฉิน

คุณสามารถใช้เสียงเพื่อแชร์ตำแหน่งกับผู้ติดต่อกรณีฉุกเฉินหรือกำหนดเวลาการตรวจสอบความปลอดภัยด้วย Google Assistant ได้ แต่จะมีข้อแตกต่างบางอย่างจากกรณีที่ใช้แอปความปลอดภัยส่วนบุคคล ดังนี้

  • เมื่อเริ่มการตรวจสอบความปลอดภัยด้วย Assistant แอปความปลอดภัยส่วนบุคคลจะไม่ส่ง SMS ไปให้ผู้ติดต่อกรณีฉุกเฉิน
  • เมื่อเริ่มการแชร์ข้อมูลในกรณีฉุกเฉินด้วย Assistant คุณจะเลือกรายชื่อติดต่อไม่ได้ โดยที่การแชร์ข้อมูลในกรณีฉุกเฉินจะส่งข้อมูลไปยังผู้ติดต่อกรณีฉุกเฉินทั้งหมด

หากต้องการเริ่มหรือหยุดการตรวจสอบความปลอดภัย ให้บอก Google Assistant ดังนี้

  • "Ok Google เริ่มการตรวจสอบความปลอดภัย"
  • "Ok Google เริ่มการตรวจสอบความปลอดภัยเป็นเวลา [ระยะเวลา]"

เคล็ดลับ: การตรวจสอบความปลอดภัยอาจใช้เวลาตั้งแต่ 1 นาทีถึง 24 ชั่วโมง

  • "Ok Google หยุดการตรวจสอบความปลอดภัย"

หากต้องการเริ่มหรือหยุดการแชร์ข้อมูลในกรณีฉุกเฉิน ให้บอก Google Assistant ดังนี้

  • "Ok Google เริ่มการแชร์ข้อมูลในกรณีฉุกเฉิน"
  • "Ok Google หยุดการแชร์ข้อมูลในกรณีฉุกเฉิน"
ตั้งเวลาการตรวจสอบความปลอดภัย

หากต้องการให้โทรศัพท์ตรวจสอบความปลอดภัยให้คุณและแจ้งให้ผู้ติดต่อกรณีฉุกเฉินทราบในกรณีที่มีเหตุผิดปกติ คุณตั้งเวลาเริ่มทำงานให้การตรวจสอบความปลอดภัยได้ เช่น คุณอาจใช้การตรวจสอบความปลอดภัยเมื่อเดินอยู่ในบริเวณที่ไม่คุ้นเคยหรือเวลาไปงานปาร์ตี้ คุณต้องให้สิทธิ์เข้าถึงตำแหน่ง "ขณะใช้งาน" แก่แอปความปลอดภัยส่วนบุคคล

  1. เปิดแอปความปลอดภัยส่วนบุคคล แอปความปลอดภัย ในโทรศัพท์
  2. แตะการตรวจสอบความปลอดภัย
  3. เลือกเหตุผลและระยะเวลา คุณตั้งค่าระยะเวลาที่ใช้ในการตรวจสอบได้ตั้งแต่ 15 นาทีถึง 8 ชั่วโมง
  4. จากนั้น แตะถัดไป
  5. เลือกผู้ติดต่อ
  6. แตะเริ่ม

หากคุณเปิดการแจ้งเตือนสำหรับผู้ติดต่อกรณีฉุกเฉิน ผู้ติดต่อจะได้รับ SMS ที่มีข้อมูลต่อไปนี้

  • ชื่อของคุณ
  • ระยะเวลาในการตรวจสอบความปลอดภัย
  • สาเหตุ (หากคุณระบุไว้)

อาจมีการจำกัดจำนวนข้อความ

ทำเครื่องหมายว่าตัวเองปลอดภัย

เมื่อถึงเวลาเช็คอิน คุณจะได้รับการแจ้งเตือนเป็นเวลา 60 วินาทีก่อนที่การแชร์ข้อมูลในกรณีฉุกเฉินจะเริ่มขึ้น หากคุณทำเครื่องหมายว่าตัวเองปลอดภัย ระบบจะยกเลิกการแชร์ข้อมูลในกรณีฉุกเฉิน คุณหยุดการตรวจสอบความปลอดภัยได้ทุกเมื่อผ่านทางการแจ้งเตือน หากไม่เลือกตัวเลือกใดตัวเลือกหนึ่งภายใน 60 วินาที การแชร์ข้อมูลในกรณีฉุกเฉินจะเริ่มขึ้น

  1. เมื่อได้รับการแจ้งเตือน ให้เลือกตัวเลือกใดตัวเลือกหนึ่งต่อไปนี้
    • ฉันไม่เป็นไร ไม่ต้องแชร์
    • เริ่มแชร์เลย การดำเนินการนี้จะทำให้การตรวจสอบความปลอดภัยในอนาคตยุติลง
    • โทร 191
  2. คุณอาจต้องปลดล็อกโทรศัพท์หากล็อกอยู่

การตรวจสอบความปลอดภัยจะยังคงทำงานต่อไปแม้ว่าโทรศัพท์จะปิดอยู่หรือไม่มีสัญญาณก็ตาม โดยการตรวจสอบจะเริ่มแชร์ข้อมูลในกรณีฉุกเฉินโดยใช้ตำแหน่งสุดท้ายที่ทราบ ณ เวลาเช็คอินที่กำหนดไว้

ดูวิธีกำหนดเวลาการตรวจสอบความปลอดภัยด้วยบทแนะนำแบบทีละขั้นตอน
การแจ้งผู้ติดต่อกรณีฉุกเฉิน

เมื่อการแชร์ข้อมูลในกรณีฉุกเฉินเริ่มขึ้น Google จะส่ง SMS ไปให้ผู้ติดต่อกรณีฉุกเฉินพร้อมข้อมูลต่อไปนี้

  • ชื่อของคุณ
  • ลิงก์เพื่อดูตำแหน่งแบบเรียลไทม์ของคุณใน Google Maps
  • เปอร์เซ็นต์แบตเตอรี่ที่เหลือ
  • ข้อความ (หากคุณระบุไว้)

คุณสามารถหยุดแชร์ข้อมูลในกรณีฉุกเฉินและหยุดการตรวจสอบความปลอดภัยด้วยตนเอง หรือทำเครื่องหมายว่าตัวเองปลอดภัยได้ เมื่อหยุดใช้แล้ว Google จะส่ง SMS อีกรายการไปยังผู้ติดต่อกรณีฉุกเฉินเพื่อแจ้งให้ทราบว่าการตรวจสอบความปลอดภัยของคุณสิ้นสุดแล้ว

อาจมีการจำกัดจำนวนข้อความ

รับการแจ้งเตือนภาวะวิกฤต
เมื่อเลือกรับการแจ้งเตือนภาวะวิกฤต คุณจะได้รับการแจ้งเตือนในแอปความปลอดภัยส่วนบุคคลเกี่ยวกับเหตุฉุกเฉินสาธารณะหรือภาวะวิกฤตในท้องถิ่น เช่น ภัยพิบัติทางธรรมชาติ การแจ้งเตือนภาวะวิกฤตมีลิงก์ไปยังหน้าแรกของแอปความปลอดภัยส่วนบุคคล ซึ่งคุณจะดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวได้

การแจ้งเตือนภาวะวิกฤตมีให้บริการในทุกประเทศและทุกภาษา หากโทรศัพท์ตั้งค่าเป็นภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาท้องถิ่น การแจ้งเตือนอาจแสดงเป็นภาษาทางการของตำแหน่งปัจจุบันของคุณแทนภาษาที่ตั้งไว้

เปิดหรือปิดการแจ้งเตือนภาวะวิกฤต

  1. เปิดแอปความปลอดภัยส่วนบุคคล แอปความปลอดภัย ในโทรศัพท์
  2. แตะฟีเจอร์ จากนั้น การแจ้งเตือนภาวะวิกฤต
  3. เปิดหรือปิดการแจ้งเตือนภาวะวิกฤต
ดูวิธีเปิดการแจ้งเตือนภาวะวิกฤตด้วยบทแนะนำแบบทีละขั้นตอน

วิธีที่ Google ส่งการแจ้งเตือนภาวะวิกฤต

Google จัดการข้อมูลภาวะวิกฤตจากแหล่งข้อมูลอย่างเป็นทางการของท้องถิ่น หากมีการโพสต์เกี่ยวกับภาวะวิกฤตที่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ของคุณ แอปความปลอดภัยส่วนบุคคลจะแจ้งให้คุณทราบ Google โพสต์การแจ้งเตือนภาวะวิกฤตโดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ ข้อมูลอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลและหน่วยงานอื่นๆ ตลอดจนผลกระทบที่เกิดขึ้นจริง โดยทั่วไปการแจ้งเตือนจะแสดงเป็นภาษาหลักของพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบและภาษาอังกฤษ ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการแจ้งเตือนภาวะวิกฤต

ใช้แป้นโทรศัพท์ฉุกเฉินด่วนเพื่อติดต่อบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน

คุณโทรหาบริการช่วยเหลือฉุกเฉินได้อย่างรวดเร็วขณะใช้โทรศัพท์ แม้ว่าโทรศัพท์จะล็อกอยู่ก็ตาม

ตั้งค่าแป้นโทรฉุกเฉิน

เลือกตัวเลือกการเชื่อมต่อกับบริการช่วยเหลือฉุกเฉินในแอปความปลอดภัยส่วนบุคคล แอปความปลอดภัย

  • แป้นโทรศัพท์ฉุกเฉินด่วน (FED) ให้คุณโทรขอความช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็วด้วยการปัดบนแถบเลื่อน หมายเลขฉุกเฉินในพื้นที่จะปรากฏขึ้นโดยอัตโนมัติ
  • แป้นโทรศัพท์ฉุกเฉินดั้งเดิม (TED) แสดงแป้นหมายเลขให้กดหมายเลขฉุกเฉิน

โทรศัพท์ Pixel ตั้งค่าให้ใช้ FED โดยอัตโนมัติหากพร้อมให้บริการ ดูข้อมูลเกี่ยวกับความพร้อมใช้งานของ FED

ฟีเจอร์แป้นโทรศัพท์ฉุกเฉินด่วน

  • การเข้าถึงด่วน: ใช้แถบเลื่อนเพื่อโทรหาหมายเลขฉุกเฉินด้วยการดําเนินการ 1 อย่าง
  • หมายเลขฉุกเฉินแบบอัตโนมัติ: โทรศัพท์จะค้นหาหมายเลขฉุกเฉินโดยอัตโนมัติ แม้ว่าคุณกำลังเดินทาง
  • หมายเลขฉุกเฉินหลายรายการ: โทรศัพท์จะค้นหาหมายเลขที่ใช้ได้ในพื้นที่ เช่น ตํารวจ อัคคีภัย หรือบริการทางการแพทย์ ใช้แถบเลื่อนสําหรับบริการช่วยเหลือฉุกเฉินที่ต้องการ

วิธีใช้แป้นโทรศัพท์ฉุกเฉินด่วน

เมื่อใช้การกดปุ่มเปิด/ปิด (Android 11 และรุ่นก่อนหน้า รวมถึง Android 12 ใน Pixel 5 และรุ่นก่อนหน้า) ให้ทำดังนี้

  1. กดปุ่มเปิด/ปิดค้างไว้ 5 วินาที
  2. แตะกรณีฉุกเฉิน
  3. ใช้แถบเลื่อนในเมนูฉุกเฉิน

ในกรณีที่ใช้ปุ่มเปิด/ปิดและปุ่มปรับระดับเสียง (ค่าเริ่มต้นของ Android 12 และ Pixel 6 ขึ้นไป) ให้ทําดังนี้

  1. กดปุ่มเปิด/ปิดและปุ่มเพิ่มระดับเสียงพร้อมกัน
  2. แตะกรณีฉุกเฉิน
  3. ใช้แถบเลื่อนในเมนูฉุกเฉิน

เคล็ดลับ: ดูวิธีตรวจสอบเวอร์ชัน Android

ความพร้อมให้บริการแป้นโทรศัพท์ฉุกเฉินด่วน

สําคัญ: FED อาจไม่มีให้บริการในบางภูมิภาคหรือบางพื้นที่ ผู้ให้บริการและสถานการณ์อื่นๆ อาจจํากัด FED และความพร้อมใช้งานแม้จะอยู่ในพื้นที่ที่ครอบคลุม

เมื่อ FED ไม่พร้อมใช้งาน โทรศัพท์จะใช้ TED โดยอัตโนมัติ ซึ่งจะแสดงแป้นหมายเลขที่ใช้โทรหาหมายเลขฉุกเฉินได้ และการตั้งค่าแป้นโทรศัพท์ฉุกเฉินจะไม่เปลี่ยนแปลง

ใช้ระบบช่วยโทรหมายเลขฉุกเฉิน 

เมื่อโทรหาหมายเลขฉุกเฉินด้วยโทรศัพท์ Pixel (เช่น 911 ในสหรัฐฯ) คุณจะเห็นหน้าจอ "หมายเลขฉุกเฉิน" พร้อมข้อมูลและฟีเจอร์สำหรับช่วยเหลือในกรณีฉุกเฉิน

  • ผู้ให้บริการฉุกเฉินส่วนใหญ่ทราบถึงฟีเจอร์เหล่านี้ (คุณเปลี่ยนกลับไปใช้การโทรปกติได้)
  • ไม่ต้องต่ออินเทอร์เน็ต
  • ไม่ต้องมีการติดตั้ง
ตรวจหาตำแหน่งระหว่างเกิดเหตุฉุกเฉิน

คุณอ่านตำแหน่งของคุณจากหน้าจอให้กับโอเปอเรเตอร์ฉุกเฉินได้ โดยคุณจะพบข้อมูลต่อไปนี้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่โทรศัพท์ตรวจจับได้

  • ที่อยู่แบบเต็ม
  • Plus Code (เช่น "CWC8+JH")
    • Plus Code เป็นวิธีบอกลองจิจูดและละติจูดแบบง่าย
    • โอเปอเรเตอร์ฉุกเฉินจะรู้จักโค้ดนี้
  • ลองจิจูดและละติจูด (เช่น "37.4216105,-122.0857449")
  • แผนที่
แจ้งเตือนโอเปอเรเตอร์โดยไม่ใช้เสียง (บางตำแหน่ง)

สําคัญ: ฟีเจอร์นี้มีให้บริการเฉพาะในออสเตรเลีย แคนาดา เดนมาร์ก ฝรั่งเศส ไอร์แลนด์ อิตาลี ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ เปอร์โตริโก สิงคโปร์ สเปน สวีเดน ไต้หวัน สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา

หากต้องการแจ้งเตือนโอเปอเรเตอร์ฉุกเฉินโดยไม่ต้องพูด ให้แตะการแพทย์ อัคคีภัย หรือตำรวจ
โทรศัพท์จะไม่ส่งเสียง แต่โอเปอเรเตอร์ฉุกเฉินจะได้ยินข้อมูลต่อไปนี้

  • เสียงที่บอกว่านี่คือบริการข้อความเสียงอัตโนมัติ
  • ประเภทความช่วยเหลือที่คุณต้องการ
  • ตําแหน่งของคุณ (เฉพาะออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา)
  • ชื่อของคุณ (หากมีอยู่ในข้อมูลที่ระบุไว้สำหรับกรณีฉุกเฉินหรือแหล่งข้อมูลอื่นในอุปกรณ์)

ดูวิธีใส่ข้อมูลสำหรับกรณีฉุกเฉินในหน้าจอล็อก

ดูข้อมูลเกี่ยวกับแผ่นดินไหวในพื้นที่

โทรศัพท์ของคุณตรวจจับการเกิดแผ่นดินไหวในพื้นที่ได้ หากต้องการดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแผ่นดินไหวในบริเวณใกล้เคียง ให้เปิด Google Search แล้วค้นหา "แผ่นดินไหวใน [ชื่อเมืองหรือภูมิภาคของคุณ]"

หากไม่ต้องการใช้โทรศัพท์ในการตรวจจับแผ่นดินไหว ให้ปิดความแม่นยำของตำแหน่งของ Google

รับการแจ้งเตือนเหตุแผ่นดินไหวในบริเวณใกล้เคียง

แคลิฟอร์เนีย ออริกอน และวอชิงตัน

โทรศัพท์สามารถใช้ตําแหน่งโดยประมาณของคุณเพื่อส่งการแจ้งเตือนเกี่ยวกับแผ่นดินไหวขนาด 4.5 ขึ้นไปที่เกิดขึ้นในบริเวณใกล้เคียง การแจ้งเตือนแผ่นดินไหวเหล่านี้อิงตามข้อมูลจาก ShakeAlert

กรีซและนิวซีแลนด์

โทรศัพท์สามารถใช้ตําแหน่งโดยประมาณของคุณเพื่อส่งการแจ้งเตือนเกี่ยวกับแผ่นดินไหวขนาด 4.5 ขึ้นไปที่เกิดขึ้นในบริเวณใกล้เคียง การแจ้งเตือนแผ่นดินไหวเหล่านี้อิงตามระบบการแจ้งเตือนแผ่นดินไหวของ Android

เปิดหรือปิดการแจ้งเตือนแผ่นดินไหว

สําคัญ: คุณต้องเปิด Wi-Fi หรืออินเทอร์เน็ตเพื่อรับการแจ้งเตือน
  1. เปิดแอปการตั้งค่าในโทรศัพท์
  2. แตะความปลอดภัยและเหตุฉุกเฉิน แล้ว การแจ้งเตือนแผ่นดินไหว
  3. เปิดหรือปิดการแจ้งเตือนแผ่นดินไหว
การแจ้งเตือนแผ่นดินไหวจะเปิดอยู่โดยค่าเริ่มต้น คุณอาจไม่ได้รับการแจ้งเตือนเกี่ยวกับแผ่นดินไหวทั้งหมดในพื้นที่ อีกทั้งจะได้รับการแจ้งเตือนในประเทศที่รองรับเท่านั้น และบางครั้งอาจได้รับการแจ้งเตือน แต่ไม่รู้สึกถึงแผ่นดินไหวในตำแหน่งที่คุณอยู่

แหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

ค้นหา
ล้างการค้นหา
ปิดการค้นหา
เมนูหลัก
16940424616958553961
true
ค้นหาศูนย์ช่วยเหลือ
true
true
true
true
true
1634144
false
false