การแจ้งเตือน

ตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายน 2024 คุณจะเข้าถึง VPN โดย Google One ไม่ได้อีกต่อไป ดูข้อมูลเกี่ยวกับการเลิกใช้งาน VPN โดย Google One

เพิ่มความปลอดภัยบนโลกออนไลน์ด้วย VPN โดย Google One

หากต้องการปกป้องตัวเองจากแฮ็กเกอร์หรือการติดตามออนไลน์ให้รัดกุมยิ่งขึ้น คุณสามารถเพิ่มความปลอดภัยให้กับการเชื่อมต่อโดยใช้เครือข่ายส่วนตัวเสมือน (VPN) โดย Google One ด้วยการเปิดใช้ VPN โดย Google One ในแอป Google One เพื่อเข้ารหัสกิจกรรมออนไลน์ซึ่งเป็นการปกป้องอีกระดับเมื่อใดก็ตามที่คุณเชื่อมต่อ

คุณจะทำสิ่งต่อไปนี้ได้เมื่อเปิดใช้ VPN

  • ช่วยปกป้องตัวเองจากแฮ็กเกอร์ในเครือข่ายที่ไม่ปลอดภัย เช่น Wi-Fi สาธารณะ
  • ซ่อนที่อยู่ IP เพื่อไม่ให้ผู้อื่นนำที่อยู่ IP ไปใช้ในการติดตามตำแหน่งของคุณ

ประเทศที่ VPN โดย Google One มีให้บริการ

VPN โดย Google One มีให้บริการในบางประเทศหรือภูมิภาค และเป็นบริการที่มอบให้แก่สมาชิก Google One ที่มีสิทธิ์ ฟีเจอร์นี้มีให้บริการในประเทศเหล่านี้

  • ออสเตรีย
  • ออสเตรเลีย
  • เบลเยียม
  • แคนาดา
  • เดนมาร์ก
  • ฟินแลนด์
  • ฝรั่งเศส
  • เยอรมนี
  • ไอซ์แลนด์
  • ไอร์แลนด์
  • อิตาลี
  • ญี่ปุ่น
  • เม็กซิโก
  • เนเธอร์แลนด์
  • นอร์เวย์
  • เกาหลีใต้
  • สเปน
  • สวีเดน
  • สวิตเซอร์แลนด์
  • ไต้หวัน
  • สหราชอาณาจักร
  • สหรัฐอเมริกา

หากคุณเปิดใช้ VPN โดย Google One และพำนักอาศัยอยู่ในประเทศหรือภูมิภาคในรายชื่อข้างต้น คุณจะยังคงใช้งาน VPN โดย Google One ได้เมื่อเดินทางไปยังประเทศหรือภูมิภาคอื่นๆ

ผู้ที่มีสิทธิ์ใช้ VPN โดย Google One
สมาชิก Google One มีสิทธิ์เข้าถึง VPN โดย Google One ได้ในอุปกรณ์หลายเครื่อง ซึ่งรวมถึงใน Android, iOS และคอมพิวเตอร์ที่มีสิทธิ์ในประเทศที่ระบุไว้ข้างต้น
พื้นที่ที่ VPN โดย Google One มีให้บริการเมื่อเดินทาง

หากคุณเปิดใช้ VPN โดย Google One และพำนักอาศัยอยู่ในประเทศหรือภูมิภาคในรายชื่อข้างต้น คุณจะยังคงใช้งาน VPN โดย Google One ได้เมื่อเดินทางไปยังประเทศหรือภูมิภาคอื่นๆ ที่ระบุไว้ด้านล่าง หากเดินทางไปยังประเทศหรือภูมิภาคที่ไม่อยู่ในรายชื่อด้านล่าง คุณจะใช้งาน VPN โดย Google One ไม่ได้

เคล็ดลับ: ประเทศหรือภูมิภาคทั้งหมดในส่วน "พื้นที่ที่ VPN โดย Google One มีให้บริการ" ข้างต้นรองรับฟังก์ชันการเดินทางด้วย

  • หมู่เกาะโอลันด์
  • แอลเบเนีย
  • แอลจีเรีย
  • อเมริกันซามัว
  • อันดอร์รา
  • แองกวิลลา
  • แอนตาร์กติกา
  • แอนติกาและบาร์บูดา
  • อารูบา
  • บาฮามาส
  • บาร์เบโดส
  • เบลีซ
  • เบนิน
  • เบอร์มิวดา
  • โบแนร์ ซินต์เอิสตาซียึส และซาบา
  • บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา
  • เกาะบูเว
  • บริติชอินเดียนโอเชียนเทร์ริทอรี
  • บัลแกเรีย
  • บูร์กินาฟาโซ
  • กาบูเวร์ดี
  • แคเมอรูน
  • หมู่เกาะเคย์แมน
  • ชาด
  • เกาะคริสต์มาส
  • หมู่เกาะโคโคส (คีลิง)
  • โคลอมเบีย
  • หมู่เกาะคุก
  • คอสตาริกา
  • โกตดิวัวร์
  • โครเอเชีย
  • กูราเซา
  • ไซปรัส
  • เช็กเกีย
  • ดอมินีกา
  • สาธารณรัฐโดมินิกัน
  • เอกวาดอร์
  • เอลซัลวาดอร์
  • อิเควทอเรียลกินี
  • เอริเทรีย
  • เอสโตเนีย
  • เอธิโอเปีย
  • หมู่เกาะฟอล์กแลนด์ (หมู่เกาะมัลวีนัส)
  • หมู่เกาะแฟโร
  • ฟิจิ
  • เฟรนช์พอลินีเชีย
  • เฟรนช์เซาเทิร์นเทร์ริทอรีส์
  • กาบอง
  • แกมเบีย
  • กานา
  • ยิบรอลตาร์
  • กรีซ
  • กัวเดอลุป
  • กัวเตมาลา
  • เกิร์นซีย์
  • กินี
  • กินี-บิสเซา
  • เฮติ
  • เกาะเฮิร์ดและหมู่เกาะแมกดอนัลด์
  • ฮอลีซี
  • ฮอนดูรัส
  • ฮังการี
  • ไอล์ออฟแมน
  • อิสราเอล
  • จาเมกา
  • เจอร์ซีย์
  • จอร์แดน
  • คาซัคสถาน
  • คิริบาส
  • คีร์กีซสถาน
  • ลัตเวีย
  • ไลบีเรีย
  • ลิกเตนสไตน์
  • ลิทัวเนีย
  • ลักเซมเบิร์ก
  • มอลตา
  • มาร์ตีนีก
  • มอริเตเนีย
  • ไมโครนีเชีย
  • มอลโดวา
  • โมนาโก
  • มอนเตเนโกร
  • มอนต์เซอร์รัต
  • โมร็อกโก
  • นาอูรู
  • นิวแคลิโดเนีย
  • นิวซีแลนด์
  • นิการากัว
  • นีวเว
  • เกาะนอร์ฟอล์ก
  • ปานามา
  • พิตแคร์น
  • โปแลนด์
  • โปรตุเกส
  • เปอร์โตรีโก
  • สาธารณรัฐมาซิโดเนียเหนือ
  • โรมาเนีย
  • เซนต์บาร์เธเลมี
  • เซนต์เฮเลนา แอสเซนชัน และตริสตันดากูนยา
  • เซนต์มาร์ติน (ฝรั่งเศส)
  • แซ็งปีแยร์และมีเกอลง
  • เซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์
  • ซานมารีโน
  • เซาตูเมและปรินซิปี
  • ซาอุดีอาระเบีย
  • เซเนกัล
  • เซอร์เบีย
  • เซียร์ราลีโอน
  • ซินต์มาร์เติน (ดัตช์)
  • สโลวาเกีย
  • สโลวีเนีย
  • หมู่เกาะโซโลมอน
  • เซาท์จอร์เจียและหมู่เกาะเซาท์แซนด์วิช
  • สฟาลบาร์ดและยานมาเยน
  • ทาจิกิสถาน
  • โตโก
  • โตเกเลา
  • ตรินิแดดและโตเบโก
  • ตูนิเซีย
  • ตุรกี
  • เติร์กเมนิสถาน
  • หมู่เกาะเติกส์และเคคอส
  • หมู่เกาะรอบนอกของสหรัฐอเมริกา
  • อุซเบกิสถาน
  • วานูอาตู
  • หมู่เกาะเวอร์จิน (สหราชอาณาจักร)
  • หมู่เกาะเวอร์จิน (สหรัฐอเมริกา)
  • วอลิสและฟูตูนา
  • ซาฮาราตะวันตก
วิธีการทำงานของ VPN โดย Google One

VPN จะเพิ่มการเข้ารหัสอีกระดับให้การจราจรของข้อมูลในเครือข่าย ซึ่งจะช่วยให้บุคคลต่อไปนี้ "ไม่สามารถระบุข้อมูล" ของคุณได้

  • ผู้ให้บริการเครือข่าย
    • ผู้ให้บริการเครือข่ายอาจรวมถึงผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตหรือผู้ให้บริการ Wi-Fi สาธารณะ
  • ผู้สังเกตการณ์อื่นๆ ในเครือข่าย เช่น ผู้ที่อาจเป็นแฮ็กเกอร์

VPN ยังปกปิดที่อยู่ IP ของคุณจากเว็บไซต์และแอปที่คุณเข้าชมด้วย หากไม่มีการปกปิดนี้ เว็บไซต์และแอปต่างๆ อาจใช้ที่อยู่ IP ในการติดตามกิจกรรมของคุณเมื่อเวลาผ่านไปหรือใช้ค้นหาตำแหน่งที่อยู่จริงของคุณ

เมื่อเปิด VPN การจราจรของข้อมูลในเครือข่ายจะได้รับการเข้ารหัสและเปลี่ยนเส้นทางไปยังพร็อกซีเซิร์ฟเวอร์ VPN วิธีนี้ช่วยให้มั่นใจได้ว่าการจราจรของข้อมูลในเครือข่ายจะเป็นส่วนตัว และทำให้เครื่องมือติดตาม เว็บไซต์ และแอปต่างๆ ติดตามคุณได้ยากขึ้น ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่ VPN โดย Google One ปกป้องและรักษาความเป็นส่วนตัวของคุณได้ที่ g.co/vpn/howitworks

VPN โดย Google One จะกำหนดที่อยู่ IP ตามภูมิภาคปัจจุบันของคุณเพื่อให้เว็บไซต์แสดงเนื้อหาที่เหมาะสมกับภูมิภาคที่คุณอยู่ แต่เว็บไซต์จะไม่สามารถใช้ที่อยู่ IP นี้เพื่อระบุตำแหน่งที่แน่นอนของคุณ และคุณจะไม่มีตัวเลือกในการเปลี่ยนภูมิภาคของที่อยู่ IP

สิ่งที่ทำให้ VPN โดย Google One แตกต่างจาก VPN อื่นๆ

ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยเป็นหัวใจสำคัญของผลิตภัณฑ์และบริการที่เราสร้างขึ้น VPN มอบความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยอีกระดับที่สำคัญสำหรับกิจกรรมออนไลน์ แต่การใช้ VPN ต้องได้รับประกันความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพ

VPN โดย Google One ใช้ประโยชน์จากเทคนิคการเข้ารหัสขั้นสูงเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครเชื่อมโยงการจราจรของข้อมูลในเครือข่ายกับบัญชีหรือตัวตนของคุณได้ แม้แต่ Google เอง นอกจากนี้ ระบบจะไม่บันทึกการจราจรของข้อมูลในเครือข่ายและที่อยู่ IP และ Google จะไม่ใช้การเชื่อมต่อ VPN เพื่อติดตาม บันทึก หรือขายกิจกรรมออนไลน์ของคุณเป็นอันขาด

เรารวบรวมเมตริกที่ลบการระบุตัวตนทั้งหมดแล้ว เช่น อัตราการส่งข้อมูลของเครือข่าย ระยะเวลาทำงาน หรือเวลาในการตอบสนองโดยรวม เพื่อให้การเชื่อมต่อ VPN มีคุณภาพและประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ อาจมีการเก็บข้อมูลต่อไปนี้ของผู้ใช้เพื่อนำไปปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานโดยรวม แก้ไขข้อบกพร่องของบริการ และป้องกันการประพฤติมิชอบโดยไม่ส่งผลกระทบต่อความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้

  • การใช้บริการในช่วง 28 วันที่ผ่านมา เมตริกนี้จะเก็บข้อมูลความถี่ในการใช้บริการในช่วง 28 วันที่ผ่านมา แต่จะไม่ติดตามจำนวนครั้งที่ผู้ใช้ใช้บริการอย่างเจาะจง ระยะเวลาที่ใช้ หรือปริมาณข้อมูลที่ใช้
  • จำนวนครั้งที่ผู้ใช้พยายามสร้างเซสชัน VPN เมื่อเร็วๆ นี้ เพื่อตรวจสอบว่าผู้ใช้ไม่ได้เปิดเซสชันพร้อมกันเกินจำนวนสูงสุดที่กำหนด รหัสผู้ใช้จะได้รับการเข้ารหัส จึงทำให้ไม่สามารถระบุตัวตนด้วยการตรวจสอบเซสชันที่เกิดขึ้นพร้อมกัน
  • บันทึกข้อผิดพลาดเกี่ยวกับเซิร์ฟเวอร์โดยไม่มีข้อมูลคำขอหรือการตอบกลับ

สุดท้าย สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการแชร์ความคิดเห็นหรือข้อผิดพลาดกับ Google แอปพลิเคชัน Google One ก็มีตัวเลือกให้ผู้ใช้ส่งบันทึกจากอุปกรณ์ที่มีข้อมูลส่วนบุคคลที่ระบุตัวบุคคลนั้นได้ (เช่น อีเมล) และใช้เพื่อแก้ไขข้อบกพร่อง ความสามารถนี้เป็นตัวเลือกที่ไม่บังคับและกำหนดให้ผู้ใช้ส่งรายงานทุกครั้งที่มีการส่งข้อมูล

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้งานทางเทคนิคและวิธีจัดการข้อมูล

ใช้อุปกรณ์หลายเครื่องและแชร์กับกลุ่มครอบครัว

หากใช้แพ็กเกจ Google One ที่มีสิทธิ์ คุณจะใช้ VPN ในอุปกรณ์ได้สูงสุด 6 เครื่องต่อแพ็กเกจ โดยแต่ละเครื่องจะต้องติดตั้งแอป Google One

หากคุณแชร์แพ็กเกจ Google One กับกลุ่มครอบครัว สมาชิกในกลุ่มก็จะใช้ VPN ได้เช่นกัน โดยสมาชิกในกลุ่มครอบครัวจะต้องดาวน์โหลดแอป Google One ในอุปกรณ์ของตน แล้วจึงเปิดใช้ VPN อย่างไรก็ตาม บัญชีของบุตรหลานที่อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลจะไม่มีสิทธิ์ใช้งาน ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีแชร์แพ็กเกจกับกลุ่มครอบครัวของคุณ

ตั้งค่า VPN โดย Google One

เปิดใช้ VPN โดย Google One

สำคัญ: เมื่อใช้ฮอตสปอตเคลื่อนที่ของอุปกรณ์ คุณจะไม่ได้รับการปกป้องโดย VPN เนื่องจากฮอตสปอตใช้การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตของอุปกรณ์โดยตรง

  1. ตรวจสอบว่าคุณเข้าสู่ระบบบัญชี Google แล้ว
  2. เปิดแอป Google One Google One ในอุปกรณ์ Android
  3. แตะสิทธิประโยชน์ที่ด้านล่าง
  4. ค้นหาสิทธิประโยชน์จาก VPN แล้วแตะดูรายละเอียด
  5. เปิดใช้ VPN

เปิดใช้ VPN

ดูรายละเอียด VPN โดย Google One

  1. ตรวจสอบว่าคุณลงชื่อเข้าใช้บัญชี Google ของคุณแล้ว
  2. เปิดแอป Google One Google One ในอุปกรณ์ Android
  3. แตะสิทธิประโยชน์ที่ด้านล่าง
  4. มองหาสิทธิประโยชน์ในการใช้ VPN
  5. แตะดูรายละเอียด
  6. ในส่วน "ข้อมูลเครือข่ายของคุณ" คุณจะเห็นสถานะและรายละเอียด VPN ดังต่อไปนี้
    • สถานะ VPN: เชื่อมต่ออยู่หรือไม่ได้เชื่อมต่อ
    • เมื่อไม่ได้เปิดใช้ VPN: ที่อยู่ IP และเครือข่ายของคุณ
    • เมื่อเปิดใช้ VPN: "ซ่อนอยู่"

รักษาความปลอดภัยเมื่อ VPN ตัดการเชื่อมต่อ

คุณสามารถตั้งค่าโทรศัพท์ให้ใช้อินเทอร์เน็ตเฉพาะเมื่อ VPN เปิดอยู่เพื่อความปลอดภัยยิ่งขึ้น หากไม่ได้เชื่อมต่อ VPN โทรศัพท์จะบล็อกการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตจนกว่าจะเชื่อมต่อ VPN อีกครั้ง

  1. เปิดแอป Google One ในอุปกรณ์ Android
  2. แตะสิทธิประโยชน์ที่ด้านล่าง
  3. ค้นหาสิทธิประโยชน์จาก VPN แล้วแตะดูรายละเอียด
  4. แตะจัดการการตั้งค่า VPN
  5. เปิดบล็อกอินเทอร์เน็ตเมื่อ VPN ตัดการเชื่อมต่อ

เมื่อรีสตาร์ทอุปกรณ์ VPN จะพยายามเชื่อมต่อใหม่โดยอัตโนมัติ โดยจะไม่มีการบล็อกหรือปกป้องการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตก่อนที่จะเชื่อมต่อใหม่ เมื่อ VPN กลับมาเชื่อมต่ออีกครั้ง จะมีรูปกุญแจปรากฏที่ด้านบนขวาของหน้าจอ

คุณปิดการตั้งค่านี้ได้ทุกเมื่อในการตั้งค่า VPN แต่การตั้งค่านี้อาจยังไม่พร้อมใช้งานในอุปกรณ์บางรุ่น

เปิดใช้ VPN

ปิดใช้ VPN โดย Google One

  1. หาการแจ้งเตือน VPN ในหน้าจอล็อก
    • หรือจะหาในถาดการแจ้งเตือนก็ได้
  2. แตะปิดใช้ VPN

วิธีอื่นๆ ในการปิด VPN

  • แตะ VPN โดย Google One ในส่วน "การตั้งค่าด่วน"
  • ปิดในแอป Google One Google One

ใช้ภูมิภาคที่อยู่ IP ที่กว้างขึ้น

สำคัญ: เปิดใช้ภูมิภาคที่กว้างขึ้น เช่น ประเทศ แทนที่จะใช้ภูมิภาคท้องถิ่นเพื่อให้มีความเป็นส่วนตัวมากยิ่งขึ้น การดำเนินการนี้อาจส่งผลกระทบต่อประสบการณ์การใช้งานที่อิงตามสถานที่ตั้งในแอปและเว็บไซต์ที่คุณเข้าชม

  1. เปิดแอป Google One Google One ในอุปกรณ์ Android
  2. แตะสิทธิประโยชน์ที่ด้านล่าง
  3. ค้นหาสิทธิประโยชน์จาก VPN แล้วแตะดูรายละเอียด
  4. แตะดูการตั้งค่า
  5. เปิดหรือปิดใช้ภูมิภาคที่อยู่ IP ที่กว้างขึ้น

เคล็ดลับ

  • หากเชื่อมต่อ VPN อยู่แล้ว ระบบจะตัดการเชื่อมต่อและเชื่อมต่อใหม่โดยอัตโนมัติเพื่อให้การตั้งค่าใหม่มีผล
  • หากไม่ได้เชื่อมต่อ VPN อยู่ การเปลี่ยนแปลงจะมีผลเมื่อคุณเชื่อมต่อ VPN การตั้งค่าดังกล่าวจะไม่เริ่มการเชื่อมต่อ VPN ใหม่

เพิ่มหรือนําออกจากการตั้งค่าด่วน

คุณอาจเพิ่ม VPN โดย Google One ไปยังการตั้งค่าด่วนเพื่อให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น และจะนำออกจากเมนูนี้ได้ทุกเมื่อที่ต้องการ

  1. เลื่อนลงจากด้านบนของหน้าจอ 2 ครั้ง
  2. แตะแก้ไข edit ที่ด้านซ้ายล่าง
  3. เลื่อนลงจนกว่าจะเห็น VPN โดย Google One Google One
  4. แตะ VPN โดย Google One ค้างไว้ จากนั้นให้ลากการตั้งค่าไปยังตําแหน่งที่ต้องการ
    • หากต้องการเพิ่มการตั้งค่า ให้ลากขึ้นมาจาก "กดค้างแล้วลากเพื่อเพิ่มการ์ด"
    • หากต้องการนำการตั้งค่าออก ให้ลากลงไปที่ "ลากมาที่นี่เพื่อนำออก"

หยุด VPN ชั่วคราว

คุณสามารถปิด VPN โดย Google One ชั่วคราวได้โดยใช้ฟีเจอร์หยุดชั่วคราว โดยทำดังนี้

  1. จากหน้าจอ VPN โดย Google One ให้แตะหยุดชั่วคราว 5 นาที
    • ฟีเจอร์หยุดชั่วคราวมีการตั้งค่าเริ่มต้นให้มีผลเป็นเวลา 5 นาที คุณจะขยายเวลาได้ทีละ 5 นาที
  2. VPN โดย Google One จะกลับมาทำงานโดยอัตโนมัติเมื่อสิ้นสุดการหยุดชั่วคราว
    • หากต้องการเชื่อมต่อ VPN อีกครั้ง ให้แตะสิ้นสุดการหยุดชั่วคราว

อนุญาตให้แอปข้าม VPN

ขณะเชื่อมต่อกับ VPN คุณยังคงอนุญาตให้การรับส่งข้อมูลจากแอปบนอุปกรณ์เคลื่อนที่บางแอปเดินทางผ่านการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตปกติแทนที่จะใช้ช่องทางที่เข้ารหัสของ VPN ได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับสถานการณ์บางอย่าง เช่น

  • หากคุณต้องการใช้เว็บไซต์และบริการที่บล็อกการใช้งาน VPN
  • หากแอปจำเป็นต้องใช้เครือข่ายผู้ให้บริการมือถือของคุณเพื่อค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับบัญชี (เช่น เพื่อดูว่าคุณเป็นลูกค้าหรือไม่)
  • หากคุณไม่สามารถใช้อุปกรณ์ที่อยู่ในเครือข่ายภายในขณะที่เชื่อมต่อกับ VPN
  • หากต้องการสตรีมเนื้อหาและคุณไม่กังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว

สําคัญ: เราไม่แนะนําให้ข้าม VPN ในแอปต่อไปนี้

  • แอปที่คุณต้องการเข้ารหัสกิจกรรมการท่องเว็บ (เช่น เว็บเบราว์เซอร์อย่าง Google Chrome และ Safari)
  • แอปที่คุณไม่เชื่อถือซึ่งอาจทำให้ข้อมูลเสี่ยงต่อการถูกดักฟังหรือรั่วไหล
  1. เปิดแอป Google One Google One ในอุปกรณ์
  2. แตะสิทธิประโยชน์ที่ด้านล่าง
  3. ค้นหาสิทธิประโยชน์จาก VPN แล้วแตะดูรายละเอียด
  4. แตะดูการตั้งค่า จากนั้น อนุญาตให้แอปข้าม VPN
  5. เลือกแอปที่ต้องการข้ามแล้วแตะ "เพิ่ม"
    • หากต้องการนําแอปออกจากรายการที่ข้าม ให้แตะ "นําออก"
  6. แตะบันทึกที่ด้านบน

เคล็ดลับ: หากคุณไม่แตะบันทึกเพื่อรีสตาร์ท VPN โดย Google One ระบบจะไม่บันทึกการเปลี่ยนแปลง หากไม่ได้เชื่อมต่อ VPN อยู่ การเปลี่ยนแปลงจะมีผลในครั้งถัดไปที่มีการเชื่อมต่อ VPN

VPN โดย Google One ใน Pixel 7 และ Pixel 7 Pro

ผู้ใช้ Pixel 7 และ Pixel 7 Pro จะใช้ VPN โดย Google One ในอุปกรณ์ดังกล่าวได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายผ่านแอป Google One แม้ไม่ได้เป็นสมาชิก Google One ก็ตาม ทั้งนี้ สิทธิประโยชน์อื่นๆ ของการเป็นสมาชิก Google One จะขายแยกกัน หากต้องการใช้ VPN โดย Google One ในอุปกรณ์ Pixel รุ่นเก่า คุณจะต้องสมัครเป็นสมาชิก Google One

สมาชิกปัจจุบันของ Google One สามารถใช้ VPN โดย Google One ในอุปกรณ์หลายเครื่องได้ ซึ่งข้อเสนอ VPN นี้จะไม่ส่งผลต่อราคาหรือสิทธิประโยชน์จากการเป็นสมาชิก Google One

หากอัปเดตความปลอดภัยในอุปกรณ์อย่างต่อเนื่อง คุณก็จะสามารถใช้ VPN โดย Google One ในบัญชี Google ที่มีสิทธิ์

บัญชี Workspace และบัญชีที่มีการควบคุมดูแลบางบัญชี เช่น บัญชีของเด็ก จะไม่มีสิทธิ์ใช้งาน อุปกรณ์ Pixel 7 และ Pixel 7 Pro ในอินเดียและสิงคโปร์ไม่มีสิทธิ์ใช้งาน VPN โดย Google One

สำคัญ: Pixel 7 หรือ Pixel 7 Pro ต้องมีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กำหนดจึงจะใช้ VPN โดย Google One ได้ VPN โดย Google One อาจไม่ทำงานในกรณีต่อไปนี้

  • อุปกรณ์มีการรูท
  • อุปกรณ์ไม่มีการอัปเดตความปลอดภัยล่าสุด
  • มีการปลดล็อก Bootloader
  • คุณใช้ Android รุ่นเบต้าหรือเวอร์ชันอื่นๆ ที่ไม่เป็นทางการ

วิธีเปิดใช้ VPN โดย Google One ใน Pixel 7 หรือ Pixel 7 Pro 

  1. ลงชื่อเข้าใช้บัญชี Google ในอุปกรณ์
  2. เปิดแอป Google One Google One
  3. แตะสิทธิประโยชน์ที่ด้านล่าง
  4. ในส่วนสิทธิประโยชน์ "การปกป้องด้วย VPN สำหรับอุปกรณ์หลายเครื่อง" ให้แตะดูรายละเอียด
  5. เปิดใช้ VPN

คำถามที่พบบ่อย

ฟีเจอร์นี้จะช่วยให้ Google หรือผู้อื่นบันทึกประวัติการเข้าชมของฉันไม่ได้ใช่ไหม

ไม่ เว็บไซต์และแอปของบุคคลที่สามอาจยังคงบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเว็บหรือปรับแต่งประสบการณ์การใช้งานในแบบของคุณด้วยวิธีอื่นๆ ได้ เช่น ด้วยการใช้คุกกี้หรือเทคโนโลยีอื่นๆ หรือตอนที่คุณเข้าสู่ระบบบัญชีในเว็บไซต์ของบริษัทอื่น

นอกจากนี้แม้ว่า VPN โดย Google One จะรักษาความปลอดภัยให้กับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ของคุณ แต่จะไม่ส่งผลต่อวิธีที่ Google เก็บข้อมูลขณะที่คุณใช้ผลิตภัณฑ์และบริการอื่นๆ ของเรา ตัวอย่างเช่น Chrome จะยังคงเก็บประวัติการท่องเว็บด้วยเบราว์เซอร์ Chrome ไว้ในบัญชี Google ของคุณ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการตั้งค่าการซิงค์ หากคุณต้องการจัดการประเภทข้อมูลที่บันทึกไว้ในบัญชี ให้ตรวจสอบการควบคุมความเป็นส่วนตัวของบัญชี Google

ผู้อื่นจะใช้ที่อยู่ IP ของฉันได้อย่างไรเมื่อ VPN ปิดอยู่

เมื่อ VPN และเครื่องมืออื่นๆ ที่มาสก์ที่อยู่ IP ปิดอยู่ ผู้อื่นจะสามารถใช้ที่อยู่ IP ของคุณเพื่อดำเนินการต่อไปนี้

  • ติดตามกิจกรรมออนไลน์เพื่อส่งสแปมและโฆษณาที่ปรับตามโปรไฟล์ของผู้ใช้ให้คุณ ธุรกิจจะรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับวิธีที่คุณโต้ตอบกับโฆษณา บทความ และเว็บไซต์ได้ด้วยโปรแกรมการติดตามที่ฝังไว้ซึ่งสามารถบันทึกที่อยู่ IP เพื่อส่งสแปมให้คุณ รวมถึงแสดงโฆษณาที่ปรับตามโปรไฟล์ของผู้ใช้ซึ่งคุณอาจไม่อยากเห็น
  • ระบุตำแหน่งของคุณ ผู้อื่นอาจป้อนที่อยู่ IP ของคุณในเว็บไซต์ต่างๆ เพื่อระบุตำแหน่งคร่าวๆ ของคุณ เช่น เมือง รัฐ และประเทศ โดยที่อยู่ IP ที่เชื่อมโยงกับฮอตสปอต Wi-Fi จะให้ข้อมูลตำแหน่งที่แม่นยำกว่ามาก ธุรกิจสามารถใช้การสแกนหาฮอตสปอตและพาร์ทเนอร์ของแอปเพื่อสร้างฐานข้อมูลขนาดใหญ่สำหรับเชื่อมโยงที่อยู่ IP เข้ากับตำแหน่งของฮอตสปอต บริษัทต่างๆ จะใช้บริการเหล่านี้เพื่อระบุตำแหน่งของคุณได้
  • เก็บข้อมูลส่วนบุคคลของคุณ อาจมีการใช้ที่อยู่ IP เพื่อติดตามผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) หากมีคนทราบ ISP ของคุณ บุคคลนั้นอาจแอบอ้างเป็นคุณและหลอกล่อให้ ISP เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่เก็บไว้ในฐานข้อมูลได้ เช่น หมายเลขประกันสังคม หมายเลขบัญชีธนาคาร หมายเลขโทรศัพท์ หรือวันเกิด
  • ขายที่อยู่ IP และข้อมูลอื่นๆ ที่ละเอียดอ่อน อาจมีการขโมยและขายที่อยู่ IP ของคุณ

เคล็ดลับ: ฮอตสปอต Wi-Fi คือจุดเข้าใช้งานแบบไร้สายที่ช่วยให้คุณเชื่อมต่อโทรศัพท์ แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อื่นๆ กับอินเทอร์เน็ตได้ทุกที่ทุกเวลา จุดเข้าใช้งานนี้มีอยู่ในสมาร์ทโฟนส่วนใหญ่ แต่คุณก็หาซื้ออุปกรณ์ฮอตสปอตเคลื่อนที่โดยเฉพาะได้ นอกจากนี้ คุณยังค้นหาฮอตสปอต Wi-Fi สาธารณะได้ตามร้านอาหารและอาคารสาธารณะมากมาย

ฉันจะมาสก์ที่อยู่ IP ได้อย่างไร

หากต้องการมาสก์ที่อยู่ IP ให้เปิด VPN

เครือข่ายส่วนตัวเสมือน (VPN) จะช่วยรักษากิจกรรมออนไลน์ของคุณให้เป็นส่วนตัวและปลอดภัยด้วยการเพิ่มการเข้ารหัสอีกระดับ เช่น หากคุณลงชื่อเข้าสู่ระบบบัญชีธนาคารจาก Wi-Fi สาธารณะที่คาเฟ่ VPN จะทำงานเงียบๆ อยู่เบื้องหลังเพื่อช่วยปกป้องข้อมูลทางการเงินของคุณจากผู้ที่คอยแอบดูกิจกรรม

คุณใช้ VPN โดย Google One เพื่อช่วยดำเนินการต่อไปนี้ได้

  • ปกป้องกิจกรรมออนไลน์จากแฮ็กเกอร์ ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ผู้ให้บริการโทรศัพท์ และผู้ให้บริการ Wi-Fi สาธารณะ
  • ป้องกันไม่ให้ผู้อื่นทราบที่อยู่ IP จากเว็บไซต์และแอปที่คุณเข้าชม
  • ปกป้องการเชื่อมต่อออนไลน์ในทุกอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ หรือแท็บเล็ต
ฉันจะดูได้อย่างไรว่า VPN โดย Google One ทำงานอยู่หรือไม่

คุณจะได้รับการแจ้งเตือนว่า "เชื่อมต่อ VPN แล้ว" ในหน้าจอล็อกของโทรศัพท์ และเมื่อปลดล็อกโทรศัพท์ คุณจะเห็นโลโก้ Google One ในถาดการแจ้งเตือน หากต้องการตรวจสอบสถานะการเชื่อมต่อ VPN ให้ดึงถาดการแจ้งเตือนลง

คุณจะเห็นรูปกุญแจขนาดเล็กที่มุมขวาบนของหน้าจอด้วย ซึ่งแสดงว่า VPN เชื่อมต่ออยู่และเครือข่ายของคุณปลอดภัย

ฟีเจอร์นี้จะส่งกระทบต่อแบตเตอรี่และปริมาณการใช้อินเทอร์เน็ตอย่างไร

เนื่องจากมีขั้นตอนการเข้ารหัสข้อมูลเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวเพิ่มเข้ามา VPN จึงใช้แบตเตอรี่มากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และการเข้ารหัสเพิ่มเติมนี้ยังใช้อินเทอร์เน็ตมากขึ้นอีกประมาณ 5-10% คุณจึงอาจสังเกตเห็นว่าแบตเตอรี่หมดเร็วขึ้นและปริมาณการใช้อินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นเล็กน้อยขณะที่ VPN ทำงานและคุณใช้อินเทอร์เน็ตอยู่

หากผู้ให้บริการของคุณให้สิทธิ์ใช้งานบางแอปหรือบางบริการได้แบบไม่เสียค่าอินเทอร์เน็ต แพ็กเกจอินเทอร์เน็ตหรือเน็ตมือถือของคุณอาจส่งผลต่อการนับปริมาณการใช้อินเทอร์เน็ต

ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตหรือเน็ตมือถือจะไม่สามารถตรวจจับการเข้าชมของคุณขณะเปิดใช้งาน VPN เนื่องจาก VPN ปิดบังการเข้าชมของคุณจากผู้ให้บริการเหล่านั้น

  • หากต้องการยกเว้นแอปที่แพ็กเกจอินเทอร์เน็ตหรือเน็ตมือถือให้สิทธิ์ใช้งานได้แบบไม่เสียค่าอินเทอร์เน็ต ให้ปิดใช้ VPN หรือใช้ฟีเจอร์บายพาสแอป

การใช้ VPN อาจส่งผลดังต่อไปนี้

  • เพิ่มค่าอินเทอร์เน็ตโดยขึ้นอยู่กับแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตนั้นๆ
  • ลดความเร็วอินเทอร์เน็ต
  • เพิ่มเวลาในการตอบสนองของการเชื่อมต่อ
  • ลดอายุการใช้งานแบตเตอรี่
เหตุใดฉันจึงปิดการแจ้งเตือนไม่ได้

การแจ้งเตือนแบบถาวรช่วยให้มั่นใจได้ว่า Android 12 หรือต่ำกว่าจะเปิดใช้งาน VPN ตลอดเวลาเพื่อรักษาความปลอดภัยให้เครือข่ายของคุณ และจะช่วยให้คุณทราบว่า VPN กำลังทำงานอยู่หรือไม่อีกด้วย

คุณจะไม่สามารถปัดการแจ้งเตือนออกจากถาดการแจ้งเตือนหรือแอป Google One เว้นแต่จะปิด VPN

คุณปิดการแจ้งเตือนนี้ได้ใน Android 13 ขึ้นไป

ตรวจสอบว่าคุณต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเพื่อใช้ VPN หรือไม่ในกรณีที่เป็นสมาชิก Google One

หากคุณเป็นสมาชิก Google One ที่ใช้แพ็กเกจ 100 GB, 200 GB หรือ Premium เราจะรวม VPN ให้ในแพ็กเกจโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ดูวิธีตรวจสอบพื้นที่เก็บข้อมูลของคุณหรือเปลี่ยนแพ็กเกจ

หากสนใจอัปเกรดการเป็นสมาชิก Google One คุณก็สามารถอัปเกรดแพ็กเกจได้

ผู้ใช้ Pixel 7 และ Pixel 7 Pro จะใช้ VPN โดย Google One ในอุปกรณ์ดังกล่าวได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายผ่านแอป Google One แม้ไม่ได้เป็นสมาชิก Google One ก็ตาม

ตรวจสอบปัญหาเกี่ยวกับ VPN โดย Google One

VPN โดย Google One อาจไม่ทำงานในกรณีต่อไปนี้

  • อุปกรณ์ของคุณไม่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต โปรดตรวจสอบการตั้งค่าเครือข่ายและแก้ปัญหาการเชื่อมต่อ
  • คุณอยู่ในประเทศหรือภูมิภาคที่เราไม่รองรับ โปรดตรวจสอบพื้นที่ที่ VPN โดย Google One มีให้บริการ
  • บัญชี Google ของคุณไม่มีสิทธิ์ใช้ VPN โดย Google One โดยบัญชี Workspace และบัญชีที่มีการควบคุมดูแลบางบัญชี เช่น บัญชีของเด็ก จะไม่มีสิทธิ์ใช้งาน
  • แอป Google One หรือแอป VPN โดย Google One ไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด หากต้องการใช้เวอร์ชันล่าสุด ให้อัปเดตแอป
  • อุปกรณ์มีการรูทหรือไม่มีการอัปเดตความปลอดภัยล่าสุด
  • มีการปลดล็อก Bootloader
  • คุณใช้ Android 8.1 หรือต่ำกว่า
  • คุณใช้ Android รุ่นเบต้าหรือเวอร์ชันอื่นๆ ที่ไม่เป็นทางการ
ค้นหา
ล้างการค้นหา
ปิดการค้นหา
เมนูหลัก
1672779635116168411
true
ค้นหาศูนย์ช่วยเหลือ
true
true
true
true
true
5044059
false
false