หากต้องการปกป้องตัวเองจากแฮ็กเกอร์หรือการติดตามออนไลน์ให้รัดกุมยิ่งขึ้น คุณสามารถเพิ่มความปลอดภัยให้กับการเชื่อมต่อโดยใช้เครือข่ายส่วนตัวเสมือน (VPN) โดย Google One ด้วยการเปิดใช้ VPN โดย Google One ในแอป Google One เพื่อเข้ารหัสกิจกรรมออนไลน์ซึ่งเป็นการปกป้องอีกระดับเมื่อใดก็ตามที่คุณเชื่อมต่อ
คุณจะทำสิ่งต่อไปนี้ได้เมื่อเปิดใช้ VPN
- ช่วยปกป้องตัวเองจากแฮ็กเกอร์ในเครือข่ายที่ไม่ปลอดภัย เช่น Wi-Fi สาธารณะ
- ซ่อนที่อยู่ IP เพื่อไม่ให้ผู้อื่นนำที่อยู่ IP ไปใช้ในการติดตามตำแหน่งของคุณ
เกิดอะไรขึ้นกับ VPN โดย Google One
- ตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน 2024 เป็นต้นไป VPN โดย Google One จะใช้งานไม่ได้อีกต่อไป
- สมาชิกจะได้รับการแจ้งเตือนล่วงหน้า 30 วันก่อนที่จะมีการปิดใช้งาน VPN โดย Google One
- ฟังก์ชันการทำงานของ VPN จะยังคงมีให้บริการแก่สมาชิก Google One ในอุปกรณ์ Pixel 7, 7 Pro, 7a และ Fold ผ่าน VPN โดย Google โดย VPN ในตัวนี้จะพร้อมใช้งานในวันที่ 3 มิถุนายน 2024
ประเทศที่ VPN โดย Google One มีให้บริการ
VPN โดย Google One มีให้บริการในบางประเทศหรือภูมิภาค และเป็นบริการที่มอบให้แก่สมาชิก Google One ที่มีสิทธิ์ ฟีเจอร์นี้มีให้บริการในประเทศเหล่านี้
- ออสเตรีย
- ออสเตรเลีย
- เบลเยียม
- แคนาดา
- เดนมาร์ก
- ฟินแลนด์
- ฝรั่งเศส
- เยอรมนี
- ไอซ์แลนด์
- ไอร์แลนด์
- อิตาลี
- ญี่ปุ่น
- เม็กซิโก
- เนเธอร์แลนด์
- นอร์เวย์
- เกาหลีใต้
- สเปน
- สวีเดน
- สวิตเซอร์แลนด์
- ไต้หวัน
- สหราชอาณาจักร
- สหรัฐอเมริกา
หากคุณเปิดใช้ VPN โดย Google One และพำนักอาศัยอยู่ในประเทศหรือภูมิภาคในรายชื่อข้างต้น คุณจะยังคงใช้งาน VPN โดย Google One ได้เมื่อเดินทางไปยังประเทศหรือภูมิภาคอื่นๆ
หากคุณเปิดใช้ VPN โดย Google One และพำนักอาศัยอยู่ในประเทศหรือภูมิภาคในรายชื่อข้างต้น คุณจะยังคงใช้งาน VPN โดย Google One ได้เมื่อเดินทางไปยังประเทศหรือภูมิภาคอื่นๆ ที่ระบุไว้ด้านล่าง หากเดินทางไปยังประเทศหรือภูมิภาคที่ไม่อยู่ในรายชื่อด้านล่าง คุณจะใช้งาน VPN โดย Google One ไม่ได้
เคล็ดลับ: ประเทศหรือภูมิภาคทั้งหมดในส่วน "พื้นที่ที่ VPN โดย Google One มีให้บริการ" ข้างต้นรองรับฟังก์ชันการเดินทางด้วย
- หมู่เกาะโอลันด์
- แอลเบเนีย
- แอลจีเรีย
- อเมริกันซามัว
- อันดอร์รา
- แองกวิลลา
- แอนตาร์กติกา
- แอนติกาและบาร์บูดา
- อารูบา
- บาฮามาส
- บาร์เบโดส
- เบลีซ
- เบนิน
- เบอร์มิวดา
- โบแนร์ ซินต์เอิสตาซียึส และซาบา
- บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา
- เกาะบูเว
- บริติชอินเดียนโอเชียนเทร์ริทอรี
- บัลแกเรีย
- บูร์กินาฟาโซ
- กาบูเวร์ดี
- แคเมอรูน
- หมู่เกาะเคย์แมน
- ชาด
- เกาะคริสต์มาส
- หมู่เกาะโคโคส (คีลิง)
- โคลอมเบีย
- หมู่เกาะคุก
- คอสตาริกา
- โกตดิวัวร์
- โครเอเชีย
- กูราเซา
- ไซปรัส
- เช็กเกีย
- ดอมินีกา
- สาธารณรัฐโดมินิกัน
- เอกวาดอร์
- เอลซัลวาดอร์
- อิเควทอเรียลกินี
- เอริเทรีย
- เอสโตเนีย
- เอธิโอเปีย
- หมู่เกาะฟอล์กแลนด์ (หมู่เกาะมัลวีนัส)
- หมู่เกาะแฟโร
- ฟิจิ
- เฟรนช์พอลินีเชีย
- เฟรนช์เซาเทิร์นเทร์ริทอรีส์
- กาบอง
- แกมเบีย
- กานา
- ยิบรอลตาร์
- กรีซ
- กัวเดอลุป
- กัวเตมาลา
- เกิร์นซีย์
- กินี
- กินี-บิสเซา
- เฮติ
- เกาะเฮิร์ดและหมู่เกาะแมกดอนัลด์
- ฮอลีซี
- ฮอนดูรัส
- ฮังการี
- ไอล์ออฟแมน
- อิสราเอล
- จาเมกา
- เจอร์ซีย์
- จอร์แดน
- คาซัคสถาน
- คิริบาส
- คีร์กีซสถาน
- ลัตเวีย
- ไลบีเรีย
- ลิกเตนสไตน์
- ลิทัวเนีย
- ลักเซมเบิร์ก
- มอลตา
- มาร์ตีนีก
- มอริเตเนีย
- ไมโครนีเชีย
- มอลโดวา
- โมนาโก
- มอนเตเนโกร
- มอนต์เซอร์รัต
- โมร็อกโก
- นาอูรู
- นิวแคลิโดเนีย
- นิวซีแลนด์
- นิการากัว
- นีวเว
- เกาะนอร์ฟอล์ก
- ปานามา
- พิตแคร์น
- โปแลนด์
- โปรตุเกส
- เปอร์โตรีโก
- สาธารณรัฐมาซิโดเนียเหนือ
- โรมาเนีย
- เซนต์บาร์เธเลมี
- เซนต์เฮเลนา แอสเซนชัน และตริสตันดากูนยา
- เซนต์มาร์ติน (ฝรั่งเศส)
- แซ็งปีแยร์และมีเกอลง
- เซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์
- ซานมารีโน
- เซาตูเมและปรินซิปี
- ซาอุดีอาระเบีย
- เซเนกัล
- เซอร์เบีย
- เซียร์ราลีโอน
- ซินต์มาร์เติน (ดัตช์)
- สโลวาเกีย
- สโลวีเนีย
- หมู่เกาะโซโลมอน
- เซาท์จอร์เจียและหมู่เกาะเซาท์แซนด์วิช
- สฟาลบาร์ดและยานมาเยน
- ทาจิกิสถาน
- โตโก
- โตเกเลา
- ตรินิแดดและโตเบโก
- ตูนิเซีย
- ตุรกี
- เติร์กเมนิสถาน
- หมู่เกาะเติกส์และเคคอส
- หมู่เกาะรอบนอกของสหรัฐอเมริกา
- อุซเบกิสถาน
- วานูอาตู
- หมู่เกาะเวอร์จิน (สหราชอาณาจักร)
- หมู่เกาะเวอร์จิน (สหรัฐอเมริกา)
- วอลิสและฟูตูนา
- ซาฮาราตะวันตก
VPN จะเพิ่มการเข้ารหัสอีกระดับให้การจราจรของข้อมูลในเครือข่าย ซึ่งจะช่วยให้บุคคลต่อไปนี้ "ไม่สามารถระบุข้อมูล" ของคุณได้
- ผู้ให้บริการเครือข่าย
- ผู้ให้บริการเครือข่ายอาจรวมถึงผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตหรือผู้ให้บริการ Wi-Fi สาธารณะ
- ผู้สังเกตการณ์อื่นๆ ในเครือข่าย เช่น ผู้ที่อาจเป็นแฮ็กเกอร์
VPN ยังปกปิดที่อยู่ IP ของคุณจากเว็บไซต์และแอปที่คุณเข้าชมด้วย หากไม่มีการปกปิดนี้ เว็บไซต์และแอปต่างๆ อาจใช้ที่อยู่ IP ในการติดตามกิจกรรมของคุณเมื่อเวลาผ่านไปหรือใช้ค้นหาตำแหน่งที่อยู่จริงของคุณ
เมื่อเปิด VPN การจราจรของข้อมูลในเครือข่ายจะได้รับการเข้ารหัสและเปลี่ยนเส้นทางไปยังพร็อกซีเซิร์ฟเวอร์ VPN วิธีนี้ช่วยให้มั่นใจได้ว่าการจราจรของข้อมูลในเครือข่ายจะเป็นส่วนตัว และทำให้เครื่องมือติดตาม เว็บไซต์ และแอปต่างๆ ติดตามคุณได้ยากขึ้น ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่ VPN โดย Google One ปกป้องและรักษาความเป็นส่วนตัวของคุณได้ที่ g.co/vpn/howitworks
VPN โดย Google One จะกำหนดที่อยู่ IP ตามภูมิภาคปัจจุบันของคุณเพื่อให้เว็บไซต์แสดงเนื้อหาที่เหมาะสมกับภูมิภาคที่คุณอยู่ แต่เว็บไซต์จะไม่สามารถใช้ที่อยู่ IP นี้เพื่อระบุตำแหน่งที่แน่นอนของคุณ และคุณจะไม่มีตัวเลือกในการเปลี่ยนภูมิภาคของที่อยู่ IP
สิ่งที่ทำให้ VPN โดย Google One แตกต่างจาก VPN อื่นๆ
ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยเป็นหัวใจสำคัญของผลิตภัณฑ์และบริการที่เราสร้างขึ้น VPN มอบความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยอีกระดับที่สำคัญสำหรับกิจกรรมออนไลน์ แต่การใช้ VPN ต้องได้รับประกันความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพ
VPN โดย Google One ใช้ประโยชน์จากเทคนิคการเข้ารหัสขั้นสูงเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครเชื่อมโยงการจราจรของข้อมูลในเครือข่ายกับบัญชีหรือตัวตนของคุณได้ แม้แต่ Google เอง นอกจากนี้ ระบบจะไม่บันทึกการจราจรของข้อมูลในเครือข่ายและที่อยู่ IP และ Google จะไม่ใช้การเชื่อมต่อ VPN เพื่อติดตาม บันทึก หรือขายกิจกรรมออนไลน์ของคุณเป็นอันขาด
เรารวบรวมเมตริกที่ลบการระบุตัวตนทั้งหมดแล้ว เช่น อัตราการส่งข้อมูลของเครือข่าย ระยะเวลาทำงาน หรือเวลาในการตอบสนองโดยรวม เพื่อให้การเชื่อมต่อ VPN มีคุณภาพและประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ อาจมีการเก็บข้อมูลต่อไปนี้ของผู้ใช้เพื่อนำไปปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานโดยรวม แก้ไขข้อบกพร่องของบริการ และป้องกันการประพฤติมิชอบโดยไม่ส่งผลกระทบต่อความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้
- การใช้บริการในช่วง 28 วันที่ผ่านมา เมตริกนี้จะเก็บข้อมูลความถี่ในการใช้บริการในช่วง 28 วันที่ผ่านมา แต่จะไม่ติดตามจำนวนครั้งที่ผู้ใช้ใช้บริการอย่างเจาะจง ระยะเวลาที่ใช้ หรือปริมาณข้อมูลที่ใช้
- จำนวนครั้งที่ผู้ใช้พยายามสร้างเซสชัน VPN เมื่อเร็วๆ นี้ เพื่อตรวจสอบว่าผู้ใช้ไม่ได้เปิดเซสชันพร้อมกันเกินจำนวนสูงสุดที่กำหนด รหัสผู้ใช้จะได้รับการเข้ารหัส จึงทำให้ไม่สามารถระบุตัวตนด้วยการตรวจสอบเซสชันที่เกิดขึ้นพร้อมกัน
- บันทึกข้อผิดพลาดเกี่ยวกับเซิร์ฟเวอร์โดยไม่มีข้อมูลคำขอหรือการตอบกลับ
สุดท้าย สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการแชร์ความคิดเห็นหรือข้อผิดพลาดกับ Google แอปพลิเคชัน Google One ก็มีตัวเลือกให้ผู้ใช้ส่งบันทึกจากอุปกรณ์ที่มีข้อมูลส่วนบุคคลที่ระบุตัวบุคคลนั้นได้ (เช่น อีเมล) และใช้เพื่อแก้ไขข้อบกพร่อง ความสามารถนี้เป็นตัวเลือกที่ไม่บังคับและกำหนดให้ผู้ใช้ส่งรายงานทุกครั้งที่มีการส่งข้อมูล
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้งานทางเทคนิคและวิธีจัดการข้อมูล
หากใช้แพ็กเกจ Google One ที่มีสิทธิ์ คุณจะใช้ VPN ในอุปกรณ์ได้สูงสุด 6 เครื่องต่อแพ็กเกจ โดยแต่ละเครื่องจะต้องติดตั้งแอป Google One
หากคุณแชร์แพ็กเกจ Google One กับกลุ่มครอบครัว สมาชิกในกลุ่มก็จะใช้ VPN ได้เช่นกัน โดยสมาชิกในกลุ่มครอบครัวจะต้องดาวน์โหลดแอป Google One ในอุปกรณ์ของตน แล้วจึงเปิดใช้ VPN อย่างไรก็ตาม บัญชีของบุตรหลานที่อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลจะไม่มีสิทธิ์ใช้งาน ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีแชร์แพ็กเกจกับกลุ่มครอบครัวของคุณ
เริ่มต้นใช้งาน VPN โดย Google One
เมื่อใช้ VPN โดย Google One คุณจะเข้ารหัสกิจกรรมออนไลน์เพื่อเพิ่มการปกป้องได้อีกระดับในทุกแพลตฟอร์มที่คุณเชื่อมต่อ
Windows
ข้อกำหนดของระบบ- ระบบปฏิบัติการ: Windows 10 ขึ้นไป
- CPU: รองรับ 64 บิต (ไม่รองรับ 32 บิตหรือ ARM)
- ไปที่ Google One ในคอมพิวเตอร์ Windows
- คลิกสิทธิประโยชน์
- ในส่วน "การปกป้องด้วย VPN สำหรับอุปกรณ์หลายเครื่อง" ให้คลิกดูรายละเอียด
- คลิกดาวน์โหลดแอป
- ยืนยันการดาวน์โหลด
- ในคอมพิวเตอร์ ให้เปิดไฟล์ "VPNbyGoogleOneSetup.exe"
- ทำตามวิธีการบนหน้าจอเพื่อติดตั้ง VPN โดย Google One
โปรดทำตามขั้นตอนด้านล่างนี้หากคุณจำเป็นต้องถอนการติดตั้ง VPN โดย Google One ในคอมพิวเตอร์ Windows
- เปิดเมนูเริ่ม
การตั้งค่า
- คลิกแอป
- ในส่วน "แอปและฟีเจอร์" ให้ค้นหา
VPN โดย Google One
- คลิก VPN โดย Google One
ถอนการติดตั้ง
- ยืนยันข้อความแจ้งให้ถอนการติดตั้ง
ใช้ VPN โดย Google One ใน Windows
ลงชื่อเข้าใช้บัญชี Googleหากต้องการเปิด VPN โดย Google One คุณต้องลงชื่อเข้าใช้บัญชี Google หรือหากมีบัญชี Google หลายบัญชี ให้ลงชื่อเข้าใช้บัญชีที่เป็นสมาชิก Google One
- เปิด VPN โดย Google One
- คลิกเริ่มต้นใช้งาน
- ลงชื่อเข้าใช้ด้วยบัญชี Google
- ระบบจะเปิดหน้าใหม่ขึ้นมาให้ลงชื่อเข้าใช้ต่อ
- คุณต้องอนุญาตให้ VPN โดย Google One เข้าถึงบัญชีได้ คลิกยืนยันเพื่อลงชื่อเข้าใช้ต่อ
- แม้ว่าจะปิดหน้าเว็บแล้ว ระบบจะยังคงลงชื่อเข้าใช้ด้วยบัญชีของคุณอยู่
- เปิด VPN โดย Google One ในอุปกรณ์
- เปิดหรือปิดใช้ VPN
- ไอคอน VPN โดย Google One ในพื้นที่การแจ้งเตือนบนแถบงานจะอัปเดตตามสถานะการเชื่อมต่อ
วิธีออกจากแอปพลิเคชัน VPN โดย Google One
- เปิด VPN โดย Google One
- คลิกดูการตั้งค่า
- คลิกออกจาก VPN
หากระบบตรวจไม่พบการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต คุณจะได้รับข้อความแสดงข้อผิดพลาดว่า "ไม่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต VPN จะเชื่อมต่ออีกครั้งเมื่อคุณกลับมาออนไลน์"
VPN โดย Google One จะเชื่อมต่ออีกครั้งโดยอัตโนมัติเมื่ออุปกรณ์กลับมาออนไลน์
เว็บไซต์ที่ใช้ WebRTC เพื่อขอสิทธิ์เข้าถึงสื่อ เช่น ไมโครโฟนหรือกล้อง สามารถใช้สิทธิ์นี้เพื่อเข้าถึงที่อยู่ IP เดิมที่กำหนดโดยผู้ให้บริการเครือข่ายได้ แม้จะเชื่อมต่อ VPN อยู่ก็ตาม โปรดตรวจสอบว่าได้ให้เข้าถึงสิทธิ์สื่อแก่เว็บไซต์ที่คุณเชื่อถือเท่านั้น หรือปิด WebRTC ในเบราว์เซอร์
- ในคอมพิวเตอร์ที่ใช้ร่วมกัน ให้ลงชื่อเข้าใช้บัญชี Windows ที่ใช้แอป VPN บัญชีแรก
- ออกจากระบบหรือปิดแอป VPN
- ลงชื่อเข้าใช้บัญชี Windows อื่นที่คุณต้องการใช้
- ลงชื่อเข้าใช้แอป VPN
เชื่อมต่อแล้ว
เลิกเชื่อมต่อแล้ว
ข้อผิดพลาด
macOS
ข้อกำหนดของระบบ- ระบบปฏิบัติการ: macOS 11 ขึ้นไป
- CPU: รองรับชิปเซ็ต ARM สำหรับ Apple ซีรีส์ M และ Intel x86
- ไปที่ Google One ในคอมพิวเตอร์ macOS
- คลิกการ์ดสิทธิประโยชน์
- ในส่วน "การปกป้องด้วย VPN สำหรับอุปกรณ์หลายเครื่อง" ให้คลิกดูรายละเอียด
- คลิกดาวน์โหลดแอป
- ยืนยันการดาวน์โหลด
- ในคอมพิวเตอร์ ให้เปิดไฟล์ "VpnByGoogleOne.dmg"
- ทำตามวิธีการบนหน้าจอเพื่อติดตั้ง VPN โดย Google One
เคล็ดลับ: หากใช้ปุ่มในแอปไม่ได้ ให้ตรวจสอบว่า "Reduce Transparency" เปิดอยู่หรือไม่ หากต้องการปิด ให้ไปที่ System Preferences Accessibility แล้วคลิกปิดใช้ในส่วน "Reduce Transparency"
โปรดทำตามขั้นตอนด้านล่างนี้หากคุณจำเป็นต้องถอนการติดตั้ง VPN โดย Google One ในคอมพิวเตอร์ macOS
- เปิด Finder
- คลิกแอปพลิเคชันในแถบด้านข้าง
- คุณยังใช้สปอตไลท์เพื่อค้นหา
VPN โดย Google One
ได้อีกด้วย
- คุณยังใช้สปอตไลท์เพื่อค้นหา
- ลาก "VPN โดย Google One" ไปที่ถังขยะ
- หรือจะคลิกขวาที่ "VPN โดย Google One" แล้วเลือกย้ายไปที่ถังขยะก็ได้เช่นกัน
- หากระบบขอให้ระบุชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน ให้ป้อนชื่อและรหัสผ่านของบัญชีผู้ดูแลระบบบน Mac ซึ่งอาจเป็นชื่อและรหัสผ่านที่คุณใช้เข้าสู่ระบบ Mac
ใช้ VPN โดย Google One ใน macOS
ลงชื่อเข้าใช้บัญชี Googleหากต้องการเปิด VPN โดย Google One คุณต้องลงชื่อเข้าใช้บัญชี Google หรือหากมีบัญชี Google หลายบัญชี ให้ลงชื่อเข้าใช้บัญชีที่เป็นสมาชิก Google One
- เปิด VPN โดย Google One
- คลิกเริ่มต้นใช้งาน
- ลงชื่อเข้าใช้ด้วยบัญชี Google
- ระบบจะเปิดหน้าใหม่ขึ้นมาให้ลงชื่อเข้าใช้ต่อ
- คุณต้องอนุญาตให้ VPN โดย Google One เข้าถึงบัญชีได้ คลิกยืนยันเพื่อลงชื่อเข้าใช้ต่อ
- แม้ว่าจะปิดหน้าเว็บแล้ว ระบบจะยังคงลงชื่อเข้าใช้ด้วยบัญชีของคุณอยู่
- เปิด VPN โดย Google One ในอุปกรณ์
- สำหรับการตั้งค่าครั้งแรก ให้ทำดังนี้
- สำหรับ macOS 11 และ 12
- ใน "System Extension Blocked" ให้เลือก Open System Preferences
Security & Privacy
- หรือไปที่ "Security & Privacy" ในส่วน "System Preferences" ก็ได้เช่นกัน
- หากต้องการปลดล็อกและทำการเปลี่ยนแปลง ให้เลือกกุญแจ
Allow
- หากต้องการเพิ่มการกำหนดค่า VPN ให้เลือก Allow
- ใน "System Extension Blocked" ให้เลือก Open System Preferences
- สำหรับ macOS 13
- ใน "System Extension Blocked" ให้เลือก Open System Preferences
Privacy & Security
- หรือไปที่ "Privacy & Security" ในส่วน "System Preferences" ก็ได้เช่นกัน
- เลื่อนไปที่ "Security"
- คลิก Allow ซึ่งอยู่ถัดจาก “VPN by Google One"
- ใน "System Extension Blocked" ให้เลือก Open System Preferences
- สำหรับ macOS 11 และ 12
- สำหรับการตั้งค่าครั้งแรก ให้ทำดังนี้
- เปิดหรือปิดใช้ VPN
- ไอคอน VPN โดย Google One ในแถบเมนูจะอัปเดตโดยอัตโนมัติตามสถานะการเชื่อมต่อ
วิธีออกจากแอปพลิเคชัน VPN โดย Google One
- เปิด VPN โดย Google One
- คลิกดูการตั้งค่า
- คลิกออกจาก VPN
หากระบบตรวจไม่พบการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต คุณจะได้รับข้อความแสดงข้อผิดพลาดว่า "ไม่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต VPN จะเชื่อมต่ออีกครั้งเมื่อคุณกลับมาออนไลน์"
VPN โดย Google One จะเชื่อมต่ออีกครั้งโดยอัตโนมัติเมื่ออุปกรณ์กลับมาออนไลน์
- ในคอมพิวเตอร์ที่ใช้ร่วมกัน ให้ลงชื่อเข้าใช้บัญชี macOS ที่ใช้แอป VPN บัญชีแรก
- ออกจากระบบหรือปิดแอป VPN
- ลงชื่อเข้าใช้บัญชี macOS อื่นที่คุณต้องการใช้
- ลงชื่อเข้าใช้แอป VPN
เชื่อมต่อแล้ว
เลิกเชื่อมต่อแล้ว
ข้อผิดพลาด
เปลี่ยนการตั้งค่า VPN โดย Google One
ทำให้ VPN โดย Google One เริ่มทำงานโดยอัตโนมัติคุณสามารถตั้งค่า VPN โดย Google One ให้เริ่มทำงานและเชื่อมต่อเมื่อเปิดคอมพิวเตอร์ โดยทำดังนี้
- เปิด VPN โดย Google One
- คลิกดูการตั้งค่า
- เปิดเปิดใช้งานแอปหลังจากคอมพิวเตอร์เริ่มทำงาน
หากต้องการลงชื่อเข้าใช้บัญชี Google อื่น ให้ทำดังนี้
- เปิด VPN โดย Google One
- คลิกดูการตั้งค่า
- คลิกออกจากระบบ
- หากต้องการลงชื่อเข้าใช้ด้วยบัญชี Google อื่น ให้คลิกเริ่มต้นใช้งาน
สำคัญ: เปิดใช้ภูมิภาคที่กว้างขึ้น เช่น ประเทศ แทนที่จะใช้ภูมิภาคท้องถิ่นเพื่อให้มีความเป็นส่วนตัวมากยิ่งขึ้น การดำเนินการนี้อาจส่งผลกระทบต่อประสบการณ์การใช้งานที่อิงตามสถานที่ตั้งในแอปและเว็บไซต์ที่คุณเข้าชม
- เปิด VPN โดย Google One ในคอมพิวเตอร์ Windows หรือ macOS
- คลิกดูการตั้งค่า
- เปิดหรือปิดใช้ภูมิภาคที่อยู่ IP ที่กว้างขึ้น
เคล็ดลับ
- หากเชื่อมต่อ VPN อยู่แล้ว ระบบจะตัดการเชื่อมต่อและเชื่อมต่อใหม่โดยอัตโนมัติเพื่อให้การตั้งค่าใหม่มีผล
- หากไม่ได้เชื่อมต่อ VPN อยู่ การเปลี่ยนแปลงจะมีผลเมื่อคุณเชื่อมต่อ VPN การตั้งค่าดังกล่าวจะไม่เริ่มการเชื่อมต่อ VPN ใหม่
คำถามที่พบบ่อย
ฟีเจอร์นี้จะช่วยให้ Google หรือผู้อื่นบันทึกประวัติการเข้าชมของฉันไม่ได้ใช่ไหมไม่ เว็บไซต์และแอปของบุคคลที่สามอาจยังคงบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเว็บหรือปรับแต่งประสบการณ์การใช้งานในแบบของคุณด้วยวิธีอื่นๆ ได้ เช่น ด้วยการใช้คุกกี้หรือเทคโนโลยีอื่นๆ หรือตอนที่คุณเข้าสู่ระบบบัญชีในเว็บไซต์ของบริษัทอื่น
นอกจากนี้แม้ว่า VPN โดย Google One จะรักษาความปลอดภัยให้กับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ของคุณ แต่จะไม่ส่งผลต่อวิธีที่ Google เก็บข้อมูลขณะที่คุณใช้ผลิตภัณฑ์และบริการอื่นๆ ของเรา ตัวอย่างเช่น Chrome จะยังคงเก็บประวัติการท่องเว็บด้วยเบราว์เซอร์ Chrome ไว้ในบัญชี Google ของคุณ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการตั้งค่าการซิงค์ หากคุณต้องการจัดการประเภทข้อมูลที่บันทึกไว้ในบัญชี ให้ตรวจสอบการควบคุมความเป็นส่วนตัวของบัญชี Google
หากคุณเป็นสมาชิก Google One ที่ใช้แพ็กเกจ 100 GB, 200 GB หรือ Premium เราจะรวม VPN ให้ในแพ็กเกจโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ดูวิธีตรวจสอบพื้นที่เก็บข้อมูลของคุณหรือเปลี่ยนแพ็กเกจ
หากสนใจอัปเกรดการเป็นสมาชิก Google One คุณก็สามารถอัปเกรดแพ็กเกจได้
ผู้ใช้ Pixel 7 และ Pixel 7 Pro จะใช้ VPN โดย Google One ในอุปกรณ์ดังกล่าวได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายผ่านแอป Google One แม้ไม่ได้เป็นสมาชิก Google One ก็ตาม
VPN โดย Google One อาจไม่ทำงานในกรณีต่อไปนี้
- อุปกรณ์ของคุณไม่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต โปรดตรวจสอบการตั้งค่าเครือข่ายและแก้ปัญหาการเชื่อมต่อ
- คุณอยู่ในประเทศหรือภูมิภาคที่เราไม่รองรับ โปรดตรวจสอบพื้นที่ที่ VPN โดย Google One มีให้บริการ
- บัญชี Google ของคุณไม่มีสิทธิ์ใช้ VPN โดย Google One โดยบัญชี Workspace และบัญชีที่มีการควบคุมดูแลบางบัญชี เช่น บัญชีของเด็ก จะไม่มีสิทธิ์ใช้งาน
- แอป Google One หรือแอป VPN โดย Google One ไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด หากต้องการใช้เวอร์ชันล่าสุด ให้อัปเดตแอป
- อุปกรณ์มีการรูทหรือไม่มีการอัปเดตความปลอดภัยล่าสุด
- มีการปลดล็อก Bootloader
- คุณใช้ Android 8.1 หรือต่ำกว่า
- คุณใช้ Android รุ่นเบต้าหรือเวอร์ชันอื่นๆ ที่ไม่เป็นทางการ
ตรวจสอบว่าได้เปิดการตั้งค่า DNS ที่ปลอดภัยของเบราว์เซอร์แล้ว และใช้ผู้ให้บริการ DNS ที่รองรับ DNS over HTTPS เพื่อความเป็นส่วนตัวที่ดียิ่งขึ้น วิธีกำหนดค่าสำหรับ Chrome
- เปิด Chrome
ในคอมพิวเตอร์
- ที่ด้านบน ให้คลิกเพิ่มเติม
การตั้งค่า
- คลิกความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย
ความปลอดภัย
- คลิกจัดการ DNS ที่ปลอดภัย
- เปิดใช้ DNS ที่ปลอดภัย
- สำหรับผู้ให้บริการ ให้เลือก DNS สาธารณะของ Google