เกี่ยวกับการระบุแหล่งที่มาจากข้อมูล

ผู้ใช้อาจคลิกหรือโต้ตอบกับโฆษณาหลายรายการของคุณก่อนที่จะทำการซื้อหรือการกระทำที่มีคุณค่าอื่นในเว็บไซต์จนเสร็จสมบูรณ์ โดยทั่วไปแล้ว เราจะให้เครดิตทั้งหมดสำหรับ Conversion แก่โฆษณาสุดท้ายที่ลูกค้าโต้ตอบด้วย แต่ที่จริงแล้วลูกค้าตัดสินใจเลือกธุรกิจของคุณจากโฆษณาดังกล่าวจริงๆ หรือไม่

การระบุแหล่งที่มาโดยอิงตามข้อมูลจะให้เครดิตสําหรับ Conversion ตามวิธีที่ผู้ใช้มีส่วนร่วมกับโฆษณาต่างๆ และตัดสินใจเป็นลูกค้า โดยจะใช้ข้อมูลจากบัญชีเพื่อตัดสินว่าคีย์เวิร์ด โฆษณา และแคมเปญใดสร้างบรรลุเป้าหมายธุรกิจได้มากที่สุด การระบุแหล่งที่มาโดยอิงตามข้อมูลนั้นพิจารณาจากเว็บไซต์ การเข้าชมร้านค้า และ Conversion ของ Google Analytics ซึ่งมาจากโฆษณา Search (รวมถึง Shopping), โฆษณา YouTube, โฆษณา Display และโฆษณา Demand Gen

บทความนี้จะอธิบายเกี่ยวกับการระบุแหล่งที่มาจากข้อมูล หากต้องการดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรูปแบบการระบุแหล่งที่มาโดยทั่วไป หรือดูวิธีเลือกรูปแบบการระบุแหล่งที่มาให้กับการกระทำที่ถือเป็น Conversion โปรดอ่านเกี่ยวกับรูปแบบการระบุแหล่งที่มา


ประโยชน์

  • เรียนรู้ว่าคีย์เวิร์ด โฆษณา กลุ่มโฆษณา และแคมเปญใดมีบทบาทสำคัญที่สุดในการช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายธุรกิจ
  • เพิ่มประสิทธิภาพราคาเสนอโดยอิงตามข้อมูลด้านประสิทธิภาพของบัญชีนั้นๆ
  • เลือกรูปแบบการระบุแหล่งที่มาที่เหมาะกับธุรกิจของคุณโดยไม่ต้องอาศัยการคาดเดา

วิธีการทำงาน

การระบุแหล่งที่มาจากข้อมูลแตกต่างจากรูปแบบการระบุแหล่งที่มาอื่นๆ เนื่องจากใช้ข้อมูล Conversion ในการคำนวณการมีส่วนร่วมจริงของการโต้ตอบกับโฆษณาแต่ละรายการตลอดเส้นทาง Conversion รูปแบบการระบุแหล่งที่มาจากข้อมูลแต่ละรูปแบบจะเฉพาะเจาะจงไปตามผู้ลงโฆษณาแต่ละราย

การระบุแหล่งที่มาโดยอิงตามข้อมูลจะพิจารณาจากการโต้ตอบทั้งหมด ซึ่งได้แก่ การคลิกและการมีส่วนร่วมกับวิดีโอในโฆษณา Search (รวมถึง Shopping), โฆษณา YouTube, โฆษณา Display และโฆษณา Demand Gen ใน Google Ads รูปแบบการระบุแหล่งที่มานี้จะแสดงให้เห็นรูปแบบของการโต้ตอบกับโฆษณาที่นำไปสู่ Conversion ด้วยการเปรียบเทียบเส้นทางของลูกค้าที่ทำให้เกิด Conversion กับเส้นทางของลูกค้าที่ไม่ได้ทำให้เกิด Conversion อาจมีบางขั้นตอนในระหว่างเส้นทางที่มีความเป็นไปได้ในการนำลูกค้าไปสู่ Conversion สูงกว่าขั้นตอนอื่นๆ จากนั้นรูปแบบการระบุแหล่งที่มาจะให้เครดิตมากขึ้นแก่การโต้ตอบกับโฆษณาที่มีคุณค่าเหล่านั้นในเส้นทางของลูกค้า

ซึ่งหมายความว่าเมื่อคุณประเมินข้อมูล Conversion คุณจะเห็นว่าโฆษณาใดที่มีผลต่อเป้าหมายธุรกิจมากที่สุด และหากคุณใช้กลยุทธ์การเสนอราคาอัตโนมัติเพื่อกระตุ้นให้เกิด Conversion เพิ่มขึ้น การเสนอราคาจะใช้ข้อมูลสำคัญนี้เพื่อช่วยให้คุณได้รับ Conversion เพิ่มขึ้น

ตัวอย่าง

คุณเป็นเจ้าของบริษัททัวร์ในแม่ฮ่องสอน และใช้เครื่องมือวัด Conversion เพื่อติดตามเมื่อลูกค้าซื้อตั๋วบนเว็บไซต์ของคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณมีการกระทำที่ถือเป็น Conversion รายการหนึ่งสำหรับติดตามการซื้อทัวร์ปั่นจักรยานในเมืองปาย ลูกค้ามักจะคลิกโฆษณา 2-3 รายการของคุณก่อนตัดสินใจซื้อตั๋ว

รูปแบบการระบุแหล่งที่มาโดย "อิงตามข้อมูล" พบว่าลูกค้าที่คลิกโฆษณา "ทัวร์ปั่นจักรยาน ปาย" ก่อน แล้วค่อยคลิก "ทัวร์ปั่นจักรยาน ริมแม่น้ำปาย" มักจะซื้อตั๋วมากกว่าผู้ใช้ที่คลิก "ทัวร์ปั่นจักรยาน ริมแม่น้ำปาย" เพียงอย่างเดียว ด้วยเหตุนี้รูปแบบจึงจะจัดสรรเครดิตใหม่โดยให้น้ำหนักไปที่โฆษณา "ทัวร์ปั่นจักรยาน ปาย" รวมทั้งคีย์เวิร์ด กลุ่มโฆษณา และแคมเปญที่เกี่ยวข้อง

ตอนนี้ เมื่อคุณดูที่รายงาน คุณจะเห็นข้อมูลที่สมบูรณ์มากขึ้นว่าโฆษณาใดบ้างที่มีคุณค่าต่อธุรกิจมากที่สุด

รูปแบบการระบุแหล่งที่มาของคลิกสุดท้ายและจากข้อมูลอาจมีผลลัพธ์เดียวกันในบางสถานการณ์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความพร้อมใช้งานของข้อมูล

หากต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการทํางานของการระบุแหล่งที่มาจากข้อมูล ให้ดาวน์โหลด Data-driven attribution methodology รูปแบบ PDF (มีเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น)


ข้อกำหนดด้านข้อมูล

การกระทําที่ถือเป็น Conversion ส่วนใหญ่มีสิทธิ์ใช้การระบุแหล่งที่มาจากข้อมูล โดยไม่คํานึงถึง Conversion หรือปริมาณการโต้ตอบ เฉพาะการกระทําที่ถือเป็น Conversion ที่มีสิทธิ์เท่านั้นที่จะอัปเกรดเป็นการระบุแหล่งที่มาโดยอิงตามข้อมูลได้

การกระทําที่ถือเป็น Conversion บางประเภทต้องมี Conversion 300 รายการและการโต้ตอบกับโฆษณา 3,000 ครั้งเป็นอย่างน้อยในเครือข่ายที่รองรับภายใน 30 วันจึงจะมีสิทธิ์ เมื่อใช้การระบุแหล่งที่มาโดยอิงตามข้อมูลกับการกระทําที่ถือเป็น Conversion ประเภทดังกล่าวแล้ว คุณจะใช้รูปแบบนี้ต่อไปไม่ได้หากจำนวนข้อมูลการโต้ตอบกับโฆษณาลดลงน้อยกว่า 2,000 ครั้งในเครือข่ายที่รองรับ หรือการกระทำที่ถือเป็น Conversion ต่ำกว่า 200 รายการภายใน 30 วัน คุณจะได้รับการแจ้งเตือนเมื่อจำนวนข้อมูลอยู่ต่ำกว่าระดับที่ว่านี้ หากจำนวนข้อมูลยังคงต่ำเช่นนี้ต่อไปอีก 30 วัน การกระทำที่ถือเป็น Conversion จะเปลี่ยนไปเป็นรูปแบบการระบุแหล่งที่มา "ของคลิกสุดท้าย" หากการลดต่ำลงของข้อมูลเป็นสิ่งที่ไม่ได้คาดไว้ก่อนหน้า คุณอาจต้องตรวจสอบแท็กเครื่องมือวัด Conversion, สถานะในหน้า "การกระทำที่ถือเป็น Conversion", การตั้งค่าการกระทำที่ถือเป็น Conversion และการตั้งค่าบัญชีอื่นๆ เพื่อตรวจสอบว่าทุกอย่างทำงานได้ถูกต้อง

หากการระบุแหล่งที่มาโดยอิงตามข้อมูลใช้ไม่ได้กับการกระทำที่ถือเป็น Conversion หนึ่งๆ ให้เลือกการระบุแหล่งที่มารูปแบบอื่น


วิธีตั้งค่าการระบุแหล่งที่มาจากข้อมูลสำหรับ Conversion

หมายเหตุ: วิธีการด้านล่างเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ของผู้ใช้ Google Ads ที่ได้รับการออกแบบใหม่ หากต้องการใช้การออกแบบก่อนหน้า ให้คลิกไอคอน "ลักษณะที่ปรากฏ" แล้วเลือกใช้การออกแบบก่อนหน้า หากคุณใช้ Google Ads เวอร์ชันก่อนหน้าอยู่ ให้ดูแผนที่อ้างอิงฉบับย่อ หรือใช้แถบค้นหาในแผงการนำทางด้านบนของ Google Ads เพื่อค้นหาหน้าเว็บที่ต้องการ

การระบุแหล่งที่มาโดยอิงตามข้อมูลเป็นรูปแบบการระบุแหล่งที่มาเริ่มต้นของการกระทําที่ถือเป็น Conversion ส่วนใหญ่ ทำตามวิธีการด้านล่างเพื่ออัปเดตรูปแบบการระบุแหล่งที่มาของการกระทำที่ถือเป็น Conversion ที่มีอยู่ให้เป็น "จากข้อมูล"

  1. ในบัญชี Google Ads ให้คลิกไอคอนเป้าหมาย Goals Icon
  2. คลิกเมนูแบบเลื่อนลง Conversion ในหมวดหมู่เมนู แล้วคลิกสรุป
  3. ในตาราง ให้คลิกการกระทำที่ถือเป็น Conversion ที่ต้องการแก้ไข จากนั้นคลิกแก้ไขการตั้งค่า
  4. เลือกอิงตามข้อมูลจากเมนูแบบเลื่อนลง "รูปแบบการระบุแหล่งที่มา"
  5. คลิกบันทึก แล้วคลิกเสร็จสิ้น
เคล็ดลับ: คุณสามารถอัปเดตรูปแบบการระบุแหล่งที่มาจากรายงานการระบุแหล่งที่มา "ภาพรวม" ซึ่งอยู่ในเครื่องมือ > การระบุแหล่งที่มาได้ด้วย คลิกแบนเนอร์ "อัปเกรดเป็นการระบุแหล่งที่มาโดยอิงตามข้อมูล" ที่ด้านบนของหน้า และทำตามวิธีการ ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติแนะนำเมื่อเปลี่ยนไปใช้การระบุแหล่งที่มาโดยอิงตามข้อมูล

ลิงก์ที่เกี่ยวข้อง

ข้อมูลนี้มีประโยชน์ไหม

เราจะปรับปรุงได้อย่างไร
ค้นหา
ล้างการค้นหา
ปิดการค้นหา
เมนูหลัก
11047940963315553693
true
ค้นหาศูนย์ช่วยเหลือ
true
true
true
true
true
73067
false
false
false