ตั้งค่า Conversion ที่ปรับปรุงแล้วสำหรับโอกาสในการขายโดยใช้แท็ก Google

หน้า "บัญชีที่ลิงก์" ในส่วนผู้ดูแลระบบ Admin Icon ได้ย้ายไปที่ "Data Manager" ในเครื่องมือ Tools Icon แล้ว Google Ads Data Manager เป็นเครื่องมือสำหรับนำเข้าและจัดการข้อมูลที่ใช้งานได้ด้วยการชี้และคลิก ซึ่งให้คุณนำข้อมูลลูกค้าจากผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่ของ Google มาเปิดใช้งานใน Google Ads ได้ ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Data Manager
หมายเหตุ: แท็กที่ติดทั่วเว็บไซต์ (gtag.js) ได้เปลี่ยนเป็นแท็ก Google แล้วในตอนนี้ การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยเพิ่มความสามารถใหม่ๆ ให้แท็ก gtag.js ที่ติดตั้งใหม่และที่มีอยู่แล้วเพื่อช่วยให้คุณทําสิ่งต่างๆ ได้มากกว่าเดิม ซึ่งรวมไปถึงปรับปรุงคุณภาพของข้อมูล และรับเอาฟีเจอร์ใหม่ๆ มาใช้ โดยทั้งหมดนี้ไม่จำเป็นต้องใช้โค้ดอื่นเพิ่มเติมเลย ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแท็ก Google

Conversion ที่ปรับปรุงแล้วสําหรับโอกาสในการขายใช้ข้อมูลที่ผู้ใช้ให้ไว้จากบุคคลที่หนึ่งซึ่งได้มาจากเว็บไซต์เพื่อวัดยอดขายและธุรกรรมที่เกิดขึ้นนอกเว็บไซต์ หากคุณใช้งานแคมเปญการสร้างความสนใจในตัวสินค้าเพื่อเพิ่มยอดขายออฟไลน์ Conversion ที่ปรับปรุงแล้วสําหรับโอกาสในการขายจะช่วยให้คุณเข้าใจผลลัพธ์ที่ได้จากค่าโฆษณาที่จ่ายไป

เครื่องมือวัด Conversion ออฟไลน์เวอร์ชันนี้ต่างจากเครื่องมือวัด Conversion ออฟไลน์เวอร์ชันปัจจุบันตรงที่คุณไม่ต้องแก้ไขแบบฟอร์มโอกาสในการขายหรือระบบการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) เพื่อจัดเก็บ Google Click ID (GCLID) แต่จะใช้ข้อมูลที่ผู้ใช้ให้ไว้จากโอกาสในการขายบนเว็บไซต์เพื่อวัด Conversion

บทความนี้อธิบายวิธีใช้แท็ก Google เพื่อตั้งค่าการวัด Conversion ที่ปรับปรุงแล้วสำหรับโอกาสในการขายบนเว็บไซต์ หากคุณใช้ Google Tag Manager ให้ดูวิธีตั้งค่า Conversion ที่ปรับปรุงแล้วสําหรับโอกาสในการขายโดยใช้ Google Tag Manager หากต้องการดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อดีของ Conversion ที่ปรับปรุงแล้วสําหรับโอกาสในการขายและวิธีการทํางาน ให้อ่านเกี่ยวกับ Conversion ที่ปรับปรุงแล้ว

หมายเหตุ: เมื่อเปิดใช้ Conversion ที่ปรับปรุงแล้วสำหรับโอกาสในการขาย แท็ก Google ที่เชื่อมโยงอยู่จะบันทึกเหตุการณ์การโต้ตอบกับแบบฟอร์มที่เกี่ยวข้องในเว็บไซต์โดยอัตโนมัติ

ก่อนเริ่มต้น

ก่อนตั้งค่า Conversion ที่ปรับปรุงแล้วสําหรับโอกาสในการขาย คุณต้องระบุแบบฟอร์มโอกาสในการขายบนเว็บไซต์และเลือก 1 ช่องจากแบบฟอร์มซึ่งระบุโอกาสในการขายที่ไม่ซ้ำกัน รวมถึงต้องระบุตัวแปรต่อไปนี้อย่างน้อย 1 รายการเมื่อกําหนดค่า Conversion ที่ปรับปรุงแล้วสําหรับโอกาสในการขายบนเว็บไซต์และเมื่อนําเข้า Conversion ในภายหลัง

  • อีเมล (แนะนำ)
  • หมายเลขโทรศัพท์

เราขอแนะนําให้ใช้อีเมลของผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าเนื่องจากเป็นตัวระบุที่ไม่ซ้ำกันและไม่มีแนวโน้มที่จะได้รับการจัดรูปแบบใหม่ใน CRM หากใช้หมายเลขโทรศัพท์ แท็กจะนําสัญลักษณ์และเครื่องหมายขีดออก แต่หมายเลขจะต้องมีรหัสประเทศ

นอกจากนี้คุณต้องทำดังนี้

  • จดบันทึก URL ของแบบฟอร์มโอกาสในการขายบนเว็บไซต์ เพราะอาจต้องใช้ข้อมูลนี้ระหว่างการตั้งค่า
  • ตรวจสอบว่าเปิดใช้การติดแท็กอัตโนมัติแล้ว เพราะจำเป็นสำหรับการนําเข้า Conversion ออฟไลน์
  • ตรวจสอบว่ามีข้อมูลลูกค้าจากบุคคลที่หนึ่ง (อีเมลและ/หรือหมายเลขโทรศัพท์) ในแบบฟอร์มโอกาสในการขายบนเว็บไซต์
  • ตรวจสอบและยืนยันว่าสามารถปฏิบัติตามนโยบายข้อมูลลูกค้าใน Google Ads (ดูขั้นตอนด้านล่าง)

วิธีการ

หมายเหตุ: วิธีการด้านล่างเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ของผู้ใช้ Google Ads ที่ได้รับการออกแบบใหม่ หากต้องการใช้การออกแบบก่อนหน้า ให้คลิกไอคอน "ลักษณะที่ปรากฏ" แล้วเลือกใช้การออกแบบก่อนหน้า หากคุณใช้ Google Ads เวอร์ชันก่อนหน้าอยู่ ให้ดูแผนที่อ้างอิงฉบับย่อ หรือใช้แถบค้นหาในแผงการนำทางด้านบนของ Google Ads เพื่อค้นหาหน้าเว็บที่ต้องการ

ต่อไปนี้เป็นภาพรวมของขั้นตอนการตั้งค่าการนําเข้า Conversion ออฟไลน์โดยใช้ Conversion ที่ปรับปรุงแล้วสำหรับโอกาสในการขาย

  1. กําหนดค่าแท็ก Google
  2. สร้างการกระทําที่ถือเป็น Conversion รายการใหม่
  3. ยอมรับข้อกําหนดสำหรับข้อมูลลูกค้า

1. กําหนดค่าแท็ก Google

  1. เลือกวิธีที่ต้องการตั้งค่าข้อมูลที่ให้ไว้ คุณสามารถเลือก "Google Tag" หรือ "Google Tag Manager" ก่อนที่จะคลิกดําเนินการต่อด้วยหมายเลขระบุคลิกของ Google
    • แท็ก Google: หากข้อมูลที่ให้ไว้ปิดอยู่ คุณจะได้รับข้อความแสดงข้อผิดพลาดและคำแนะนำในการกําหนดค่าแท็ก หากกําหนดค่าแท็กถูกต้องแล้ว คุณจะได้รับข้อความแจ้งความสําเร็จ
    • Google Tag Manager: คุณจะได้รับการแจ้งเตือนที่มีลิงก์ไปยังวิธีการและหน้า Google Tag Manager
  2. คลิกกําหนดค่าแท็กข้าง "การกําหนดค่าแท็ก Google"
  3. ในส่วน "แท็ก Google ของคุณ" ให้ตรวจสอบว่าติดตั้งแท็ก Google ในเว็บไซต์แล้ว
  4. ในส่วน "การตั้งค่า" ให้คลิกลูกศร "ตรวจหาเหตุการณ์โดยอัตโนมัติ"
  5. ในส่วน "การกําหนดค่า" ที่เปิดขึ้นมา ให้ตรวจสอบว่าเปิด "การโต้ตอบกับแบบฟอร์ม" แล้ว จากนั้นคลิกบันทึก
  6. ในส่วน "การตั้งค่า" ให้คลิกลูกศร "รวมข้อมูลที่ได้จากผู้ใช้เว็บไซต์"
  7. ในส่วน "การกําหนดค่า" ที่เปิดขึ้นมา ให้คลิก "รวมข้อมูลที่ได้จากผู้ใช้เว็บไซต์"
    • เลือกวิธีที่ต้องการรวมข้อมูลที่ได้จากผู้ใช้ ซึ่งได้แก่
    • คลิกบันทึก
หมายเหตุ
  • หากธุรกรรมเกี่ยวข้องกับหมวดหมู่ที่ละเอียดอ่อน คุณควรใช้การกําหนดค่าด้วยตนเองเพื่อไม่ให้มีการแชร์ข้อมูลที่ละเอียดอ่อนกับ Google
  • ในการวัดโอกาสในการขายบนเว็บไซต์ซึ่งทำให้เกิด Conversion ออฟไลน์ แท็กจะรวมข้อมูลที่ได้จากผู้ใช้ไว้กับเหตุการณ์แบบฟอร์มโอกาสในการขายเพื่อลดความซับซ้อนของกระบวนการนําเข้า กำหนดค่าการรวมข้อมูลที่ผู้ใช้ให้ไว้ Google มุ่งมั่นที่จะปกป้องความลับและความปลอดภัยของข้อมูลที่คุณแชร์ให้กับเรา ดูเพิ่มเติมเกี่ยวกับนโยบายข้อมูลลูกค้า
  1. ในเมนู "แท็ก Google" ให้คลิกบันทึก
  2. คุณจะได้รับการแจ้งเตือนความสําเร็จ คลิกตกลง

ขั้นต่อไป คุณต้องนําเข้า Conversion จากการคลิกโฆษณาไปยัง Google Ads

2. สร้างการกระทำที่ถือเป็น Conversion รายการใหม่

  1. ในบัญชี Google Ads ให้คลิกไอคอนเป้าหมาย Goals Icon
  2. คลิกเมนูแบบเลื่อนลง Conversion ในเมนู "ส่วน"
  3. คลิกสรุป
  4. คลิกการกระทําที่ถือเป็น Conversion ใหม่
  5. เลือกนําเข้าในหน้า "การกระทำที่ถือเป็น Conversion ใหม่"
  6. เลือก CRM, ไฟล์ หรือแหล่งข้อมูลอื่นๆ แล้วเลือกติดตาม Conversion จากการคลิก
  7. ในส่วน "แหล่งข้อมูล" ให้เลือกเชื่อมต่อแหล่งข้อมูลใหม่
    1. คุณเลือกเชื่อมต่อแหล่งข้อมูลได้โดยใช้วิธีต่อไปนี้
      1. การเชื่อมต่อโดยตรง
      2. การผสานรวมกับบุคคลที่สามโดย Zapier
  8. คลิกต่อไป
  9. ป้อนการตั้งค่าให้กับการกระทําที่ถือเป็น Conversion รายการนี้ อ่านรายละเอียดเกี่ยวกับการตั้งค่าได้ที่หัวข้อตั้งค่าการนําเข้า Conversion ออฟไลน์
  10. คลิกบันทึกแล้วดำเนินการต่อ หน้าถัดไปจะยืนยันการกระทำที่ถือเป็น Conversion รายการใหม่

    หมายเหตุ: หากคุณข้ามการเชื่อมต่อแหล่งข้อมูลในตอนแรก ให้คลิกตั้งค่าในส่วน "ตั้งค่าแหล่งข้อมูล"

  11. คลิกเสร็จสิ้น

3. ยอมรับข้อกําหนดสำหรับข้อมูลลูกค้า

  1. ข้าง "ข้อกําหนดสำหรับข้อมูลลูกค้า" ให้เลือกดูข้อกําหนดและอ่าน "นโยบายและข้อกําหนดเพิ่มเติมสำหรับข้อมูลลูกค้า"
  2. คลิกช่องทําเครื่องหมาย "ฉันได้อ่านและยอมรับข้อกำหนดในนามของบริษัท"
  3. คลิกยอมรับ คุณจะเห็นสถานะอัปเดตเป็น "ยอมรับแล้ว"
หมายเหตุ:: ข้อกําหนดเหล่านี้มีผลกับทั้งบัญชีหรือกับบัญชีดูแลจัดการ หากคุณดูข้อกําหนดไม่ได้ แสดงว่าบัญชีดูแลจัดการเป็นผู้ติดตาม Conversion ของบัญชี การยอมรับข้อกําหนดสำหรับข้อมูลลูกค้าต้องทำจากบัญชีของผู้จัดการและบัญชีดูแลจัดการ Google Ads ที่อัปโหลดในนามของบัญชีดูแลจัดการซึ่งใช้การติดตามข้ามบัญชี

ตั้งค่า Conversion ที่ปรับปรุงแล้วสำหรับโอกาสในการขายโดยใช้ตัวเลือก JavaScript หรือ CSS

หากคุณใช้ตัวแปร JavaScript การสอบถามนักพัฒนาว่าควรเพิ่มตัวแปรใดลงในช่องเหล่านี้น่าจะเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด หากกําลังใช้ตัวเลือก CSS ให้ทําตามขั้นตอนด้านล่าง

ค้นหาช่อง Conversion ที่ปรับปรุงแล้วในหน้าโฆษณาแบบกรอกฟอร์ม

  1. ไปยังหน้าการส่งโฆษณาแบบกรอกฟอร์ม โดยใช้แท็บเบราว์เซอร์ Chrome แยกกับบัญชี Google Ads
  2. ระบุช่องที่ป้อนข้อมูลลูกค้าในหน้าเว็บซึ่งคุณต้องการส่งไปยัง Google

    หมายเหตุ: ต้องระบุช่องต่อไปนี้อย่างน้อย 1 ช่องเพื่อให้ Conversion ที่ปรับปรุงแล้วทํางานได้อย่างถูกต้อง

    • อีเมล (แนะนํา)
    • หมายเลขโทรศัพท์
  3. เมื่อระบุช่องข้อมูลลูกค้าในหน้าเว็บแล้ว คุณจะต้องทําตามขั้นตอนถัดไปเพื่อคัดลอกตัวเลือก CSS แล้วป้อนตัวเลือกเหล่านั้นลงใน Google Ads

ระบุตัวเลือก CSS ของ Conversion ที่ปรับปรุงแล้วและคัดลอกลงใน Google Ads

  1. ในหน้าโฆษณาแบบกรอกฟอร์ม เมื่อพบข้อมูลลูกค้าที่สอดคล้องกันที่ต้องการส่ง ให้ใช้เมาส์คลิกขวาที่ข้อมูลนั้นแล้วเลือกตรวจสอบ
    หมายเหตุ: หากคุณกําลังป้อนตัวเลือก CSS สําหรับอีเมลใน Google Ads ให้คลิกขวาที่อีเมลที่แสดงในหน้าโฆษณาแบบกรอกฟอร์ม
  2. คุณจะเห็นเครื่องมือสำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ Chrome เปิดขึ้นในเบราว์เซอร์ Chrome
  3. ระบบจะไฮไลต์โค้ดส่วนหนึ่งไว้ภายในซอร์สโค้ดที่แสดงอยู่ในหน้าเครื่องมือสำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ Chrome โค้ดที่ไฮไลต์ไว้นี้มีตัวเลือก CSS สําหรับข้อมูลลูกค้าที่คุณได้คลิกขวาในขั้นตอนที่ 2 ของส่วนนี้
  4. วางเมาส์ไว้เหนือโค้ดที่ไฮไลต์ไว้ แล้วคลิกขวาที่โค้ดนั้น
  5. เลื่อนลงไปที่ “คัดลอก” แล้วเลือกตัวเลือก
  6. วางข้อความดังกล่าวไว้ในส่วน Conversion ที่ปรับปรุงแล้วแบบอัตโนมัติของ Google Ads (บนแท็บอื่น) ในช่องที่สอดคล้องกัน
    • สำหรับการอ้างอิง ข้อความควรมีลักษณะคล้ายกับตัวอย่างนี้
      tsf > div:nth-child(2) > div.A8SBwf > div.RNNXgb > div > div.a4bIc > custEmail
  7. ทําตามขั้นตอนที่ 2-6 ของส่วนนี้สําหรับข้อมูลลูกค้าแต่ละประเภท (อีเมลหรือโทรศัพท์)
  8. คลิกบันทึกในบัญชี Google Ads

หมายเหตุ: แนวทางปฏิบัติแนะนำคือใช้แอตทริบิวต์รหัสเพื่อดึงค่าจากองค์ประกอบ DOM รหัสจะไม่ซ้ำกันและมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงเมื่อเวลาผ่านไปน้อยกว่าพร็อพเพอร์ตี้อื่นๆ เช่น ชื่อคลาสหรือชื่อ รวมถึงจะไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงเลย์เอาต์ด้วย ซึ่งหมายความว่าโค้ดจะยังใช้ได้อยู่แม้ว่าเลย์เอาต์ของหน้าเว็บจะเปลี่ยนไปก็ตาม

หากช่องยังไม่มีรหัส ให้เพิ่มรหัสโดยใช้แอตทริบิวต์ id ใน HTML ตัวอย่างเช่น

<input type="text" id="myTextField">

ตั้งค่า Conversion ที่ปรับปรุงแล้วสำหรับโอกาสในการขายโดยแก้ไขโค้ดของเว็บไซต์

คุณสามารถติดตั้งใช้งาน Conversion ที่ปรับปรุงแล้วสำหรับโอกาสในการขายโดยใช้โค้ด JavaScript ที่กําหนดเองเพื่อเรียกใช้แท็ก Google โดยตรง (แบบฟอร์มที่โฮสต์โดยเครื่องมือของบุคคลที่สามหรือ iframe อาจกําหนดให้ต้องดำเนินการนี้) แทนการตรวจหาอัตโนมัติหรือผ่านตัวเลือก

ระบุและกําหนดช่อง Conversion ที่ปรับปรุงแล้ว

ตรวจสอบว่าอีเมลหรือหมายเลขโทรศัพท์ของคุณพร้อมใช้งานสําหรับโค้ดที่กําหนดเอง คุณจะส่งข้อมูลที่ไม่ได้แฮช (ซึ่ง Google จะทําให้เป็นมาตรฐานและแฮชก่อนที่จะไปถึงเซิร์ฟเวอร์) หรือข้อมูลมาตรฐานที่แฮชแล้วก็ได้ หากเลือกที่จะทําให้ข้อมูลเป็นมาตรฐานและแฮช ให้ทําตามวิธีการด้านล่าง

วิธีการทําให้เป็นมาตรฐาน

  • นําช่องว่างขึ้นต้นและต่อท้ายออก
  • แปลงข้อความให้เป็นตัวพิมพ์เล็ก
  • จัดรูปแบบหมายเลขโทรศัพท์ตามมาตรฐานE.164

วิธีการแฮช

  • ใช้เลขฐานสิบหก SHA256

ตารางด้านล่างแสดงข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับฟิลด์ที่คุณกำหนดได้ คอลัมน์ "ชื่อคีย์" ระบุวิธีที่จะนำไปใช้อ้างอิงในข้อมูลโค้ด HTML ของ Conversion ที่ปรับปรุงแล้วซึ่งได้ร้บการสร้างขึ้นในขั้นตอนถัดไป โปรดทราบว่าข้อมูลทั้งหมดควรส่งเป็นประเภทสตริง

ฟิลด์ข้อมูล ชื่อคีย์ คำอธิบาย
อีเมล email

อีเมลผู้ใช้

เช่น ‘jdoe@example.com’

sha256_email_address

อีเมลผู้ใช้ที่แฮช

ตัวอย่าง

‘a8af8341993604f29cd4e0e5a5a4b5d48c575436c38b28abbfd7d481f345d5db’

หมายเลขโทรศัพท์ phone_number

หมายเลขโทรศัพท์ของผู้ใช้ ต้องอยู่ในรูปแบบ E.164 ซึ่งหมายความว่าต้องเป็นตัวเลข 11-15 หลัก โดยมีเครื่องหมายบวก (+) นําหน้าและรหัสประเทศที่ไม่มีขีดกลางยาว วงเล็บ หรือเว้นวรรค

ตัวอย่าง ‘+11231234567’

sha256_phone_number

หมายเลขโทรศัพท์ของผู้ใช้ที่แฮช

ตัวอย่าง

‘e9d3eef677f9a3b19820f92696be53d646ac4cea500e5f8fd08b00bc6ac773b1’

หมายเหตุ: คุณจะต้องตรวจสอบว่าข้อมูลลูกค้าพร้อมใช้งานเมื่อโค้ดที่กําหนดเองเริ่มทํางาน หากมีการรวบรวมข้อมูลผู้ใช้ในหน้าเว็บหรือใน iframe ก่อนหน้า คุณต้องแน่ใจว่าข้อมูลนั้นมีอยู่ในตัวแปรของโค้ดเมื่อมีการเรียกใช้ข้อมูล

ติดตั้งใช้งานสคริปต์ Conversion ที่ปรับปรุงแล้ว

กําหนดค่าและเพิ่มสคริปต์ต่อไปนี้ลงในตําแหน่งที่คุณต้องการให้แท็ก Google เริ่มทํางาน โปรดอัปเดตชื่อตัวแปรด้านล่างให้ตรงกับชื่อตัวแปรสําหรับแอตทริบิวต์เหล่านั้นในหน้าเว็บ

ตัวอย่างเช่น หากคุณจัดเก็บอีเมลไว้ในตัวแปรที่ชื่อ “email_address” ข้อมูลโค้ดก็ควรได้รับการแก้ไขให้สอดคล้องกับตัวแปรนั้น (เช่น ส่วนที่ระบุว่า yourEmailVariable)

หมายเหตุ: คุณยังฮาร์ดโค้ดช่องด้วยสตริงหรือใช้ฟังก์ชันแทนตัวแปรได้ด้วย

// ติดตั้งใช้งานออบเจ็กต์ข้อมูลที่ได้จากผู้ใช้

<script>

gtag('set', 'user_data', {

"email": yourEmailVariable, ***เปลี่ยน yourEmailVariable เป็นชื่อตัวแปรจริงของ JavaScript ที่คุณจัดเก็บข้อมูลอีเมลของผู้ใช้ไว้ ให้ทำแบบเดียวกันนี้สำหรับตัวแปรอื่นๆ ด้านล่าง ตรวจสอบว่าไม่ได้มีการแฮชค่า

"phone_number": yourPhoneVariable, ***หมายเลขโทรศัพท์ต้องอยู่ในรูปแบบ E.164 ซึ่งหมายความว่าต้องเป็นตัวเลข 11-15 หลัก โดยมีเครื่องหมายบวก (+) นําหน้าและรหัสประเทศที่ไม่มีขีดกลางยาว วงเล็บ หรือเว้นวรรค

});

</script>

// ส่งข้อมูลที่ได้จากผู้ใช้โดยใช้ข้อมูลโค้ดต่อไปนี้

<script>

gtag('event', 'form_submit', {'send_to': 'AW-CONVERSION_ID'}); ***เปลี่ยน CONVERSION_ID เป็นรหัสเครื่องมือวัด Conversion ที่ใช้ในแท็ก Google

</script>

หากเว็บไซต์ไม่ได้รวบรวมช่องใดช่องหนึ่งด้านบน ให้นำทั้งช่องออกแทนที่จะปล่อยให้ว่างไว้ เช่น เว็บไซต์ที่รวบรวมเฉพาะอีเมลจะมีลักษณะดังนี้

// Implement

<script>

gtag('set', 'user_data', {

"email": {{ yourEmailVariable }}

});

</script>

หลายค่า

นักพัฒนาซอฟต์แวร์ระบุค่าหลายค่าได้ (ไม่เกิน 3 ค่าสำหรับโทรศัพท์และอีเมล และ 2 ค่าสำหรับที่อยู่) โดยใช้ค่าอาร์เรย์แทนการใช้สตริง หากคุณบันทึกมากกว่า 1 ค่า จะเพิ่มโอกาสในการจับคู่มากยิ่งขึ้น ดูตัวอย่างด้านล่าง

<script>

gtag('set', 'user_data', {

"email": [yourEmailVariable1, yourEmailVariable2]

"phone_number": [yourPhoneVariable1, yourPhoneVariable2]

});

</script>

โค้ดตัวอย่างของการให้ข้อมูลผู้ใช้ที่แฮชไว้ล่วงหน้าจะมีลักษณะดังนี้

// Implement

<script>

gtag('set', 'user_data', {

"sha256_email_address": {{ yourEmailVariable }},

"sha256_phone_number": {{ yourPhoneVariable }}

});

</script>

ลิงก์ที่เกี่ยวข้อง

ข้อมูลนี้มีประโยชน์ไหม

เราจะปรับปรุงได้อย่างไร
ค้นหา
ล้างการค้นหา
ปิดการค้นหา
เมนูหลัก
9337781745422322727
true
ค้นหาศูนย์ช่วยเหลือ
true
true
true
true
true
73067
false
false
false