ทำความเข้าใจสิทธิ์เข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหลัง

บทความนี้จะอธิบายถึงข้อกำหนดและสิ่งสำคัญที่ควรพิจารณาในการส่งแอปเพื่อขอสิทธิ์เข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหลัง 

หากต้องการทราบภาพรวมที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับสิ่งที่ควรพิจารณาเมื่อส่งแอปที่ใช้ตำแหน่งในเบื้องหลัง โปรดดูนโยบาย Google Play - สิทธิ์ที่ประกาศและการเปิดเผยข้อมูลในแอป

แอปของคุณจำเป็นต้องเข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหลังไหม

แอปควรขอสิทธิ์เข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหลังเมื่อจำเป็นสำหรับฟังก์ชันหลักของแอปเท่านั้น ฟังก์ชันหลักก็คือวัตถุประสงค์หลักของแอป ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับชุดฟีเจอร์ที่สำคัญที่แอปอาจเสียหรือใช้งานไม่ได้หากไม่มีชุดฟีเจอร์เหล่านี้ โดยจะต้องระบุและโปรโมตฟังก์ชันหลักทั้งหมดไว้ในคำอธิบายของแอปอย่างเด่นชัด

นอกจากนี้ แอปต้องเป็นไปตามข้อกำหนดต่อไปนี้ รวมถึงข้อกำหนดอื่นๆ ที่มีรายละเอียดอยู่ในบทความนี้

  • ตำแหน่งในเบื้องหลังจะใช้ได้เมื่อช่วยให้ผู้ใช้ได้รับประโยชน์ที่สำคัญและเกี่ยวข้องกับฟังก์ชันหลักของแอปเท่านั้น
  • คุณไม่ควรจะขอสิทธิ์เข้าถึงตำแหน่งจากผู้ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ด้านการโฆษณาหรือข้อมูลวิเคราะห์เพียงอย่างเดียว
  • แอปที่ออกแบบมาสำหรับเด็กโดยเฉพาะต้องเป็นไปตามนโยบายเพื่อครอบครัวของ Google Play

หากแอปขอสิทธิ์เข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหลังแต่สิทธิ์นี้ไม่สำคัญต่อฟังก์ชันหลักของแอป คุณต้องนำสิทธิ์นี้ออกจากแอปและ/หรือใช้สิทธิ์เข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหน้า เมื่อผู้ใช้เห็นกิจกรรมของแอป ตำแหน่งของอุปกรณ์เป็นข้อมูลส่วนบุคคล ห้ามไม่ให้ขายข้อมูลที่ละเอียดอ่อนของผู้ใช้หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวเพื่ออำนวยความสะดวกต่อการขาย (เช่น การใช้ SDK ที่ไม่เป็นไปตามนโยบาย) แอปที่เข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหลังจึงต้องได้รับการอนุมัติ หากไม่ได้รับอนุมัติ อัปเดตแอปอาจถูกบล็อกและแอปอาจถูกนำออกจาก Google Play 

หากต้องการดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกรณีและวิธีใช้ข้อมูลตำแหน่งในเบื้องหลัง โปรดดูการฝึกอบรมเรื่องประกาศการใช้งานข้อมูลตำแหน่งของอุปกรณ์ใน Google Play Academy ซึ่งมีตัวอย่างของฟีเจอร์ที่ให้ประโยชน์ที่สำคัญแก่ผู้ใช้และเกี่ยวข้องกับฟังก์ชันหลักของแอป นอกจากนี้ยังมีคำแนะนำเกี่ยวกับการกรอกแบบฟอร์มประกาศสิทธิ์ด้วย

การเข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหน้า

โปรดเลือกเข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหน้าแทนที่จะเป็นเบื้องหลังทุกครั้งที่เป็นไปได้ ซึ่งมีความแตกต่างกันดังนี้ การเข้าถึงตําแหน่งในเบื้องหน้าจะเกิดขึ้นขณะที่แอปเปิดอยู่และแสดงให้ผู้ใช้เห็น หากการเข้าถึงเกิดขึ้นหลังจากที่ผู้ใช้ปิดแอปหรือใช้ปุ่มหน้าแรกเพื่อกลับไปที่หน้าจอหลัก จะถือว่าแอปเข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหลัง

การเข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหน้าเกี่ยวข้องกับนโยบายสิทธิ์เข้าถึงตำแหน่งของเราอย่างไร การเข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหน้าเป็นวิธีที่โปร่งใสที่สุดสำหรับผู้ใช้ ซึ่งช่วยส่งเสริมความน่าเชื่อถือ จึงเป็นวิธีที่เราแนะนำสำหรับแอปใน Google Play  

ในบางกรณีเราอาจอนุมัติการใช้บริการที่ทำงานอยู่เบื้องหน้าของแอป ซึ่งเป็น API อีกรายการหนึ่งที่ให้แอปเข้าถึงข้อมูลตำแหน่งแม้ในขณะที่แอปถูกย่ออยู่และไม่แสดงให้ผู้ใช้เห็น แต่กรณีเหล่านี้ต้องได้รับการตรวจสอบและเป็นไปตามข้อกำหนดสำคัญ ซึ่งรวมถึงข้อกำหนดต่อไปนี้

  • การใช้บริการที่ทำงานอยู่เบื้องหน้าต้องเริ่มต้นขึ้นแบบต่อเนื่องมาจากการดำเนินการที่ผู้ใช้เริ่มต้นขึ้นในแอป
  • การใช้บริการที่ทำงานอยู่เบื้องหน้าต้องสิ้นสุดลงทันทีหลังจากที่แอปพลิเคชันทำ Use Case ตามเจตนาของการดำเนินการที่ผู้ใช้เริ่มต้นขึ้นเสร็จสมบูรณ์แล้ว 

แอปต้องขอสิทธิ์ในระดับต่ำที่สุดเท่าที่จำเป็น (นั่นก็คือ การใช้สิทธิ์เข้าถึงตำแหน่งของอุปกรณ์ในเบื้องหน้าแทนที่จะเป็นเบื้องหลัง) เพื่อให้บริการหรือฟีเจอร์ที่ต้องใช้ตำแหน่ง และผู้ใช้ต้องทราบอยู่แล้วโดยเหตุและผลว่าฟีเจอร์หรือบริการของแอปจำเป็นต้องเข้าถึงตำแหน่งตามระดับที่ขอ 

หากการใช้ตำแหน่งของอุปกรณ์ของแอปผ่านบริการที่ทำงานอยู่เบื้องหน้าเทียบเท่ากับ ACCESS_BACKGROUND_LOCATION (หรือ "ตำแหน่งในเบื้องหลัง") แอปจะต้องเป็นไปตามข้อกำหนดของสิทธิ์เข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหลัง 

 

ตัวอย่างการเข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหน้า

ต่อไปนี้เป็นรายการฟีเจอร์ที่อาจใช้การเข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหน้าแทนการเข้าถึงในเบื้องหลังได้ การใช้ฟีเจอร์เหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าแอปของคุณจะถูกปฏิเสธโดยอัตโนมัติจากการเข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหลัง เราประเมินแต่ละแอปตามฟังก์ชันหลักที่ประกาศไว้ แต่ในกรณีที่ฟีเจอร์ลักษณะนี้เป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้แอปจำเป็นต้องเข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหลัง แอปจะมีโอกาสถูกปฏิเสธสูงขึ้นเนื่องจากฟีเจอร์เหล่านี้สามารถดำเนินการผ่านการเข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหน้าได้
  • ฟีเจอร์ที่แนะนําให้เพิ่มเพื่อน/ผู้เล่น/การเชื่อมต่อที่อยู่ใกล้เคียงเฉพาะเมื่อผู้ใช้อยู่ในแอป (ยกเว้นการแนะนําเพื่อน/ผู้เล่น/การเชื่อมต่อที่อยู่ใกล้เคียงเมื่อแอปปิดอยู่)
  • ฟีเจอร์ที่ปรับเปลี่ยนเนื้อหาในแอปแบบเฉพาะบุคคล เช่น ข่าวในพื้นที่ เพลย์ลิสต์เพลงฟังในบ้าน และอื่นๆ โดยอิงตามตำแหน่งของผู้ใช้ (โดยไม่มีการแจ้งเตือน/ข้อความแจ้งเตือน/ฟีเจอร์ให้ผู้ใช้ทราบเมื่อแอปปิดอยู่)
  • ฟีเจอร์ที่จํากัดเนื้อหาเพื่อบังคับใช้การจัดการสิทธิ์ดิจิทัลตามภูมิภาค
  • การติดตามการส่งของ/บริการ (สำหรับอาหาร พัสดุ หรือการเรียกรถ เป็นต้น) สำหรับผู้ใช้ (ไม่ใช่คนขับ) 
  • การนําทางแบบเลี้ยวต่อเลี้ยว (ไม่เกี่ยวข้องหากฟังก์ชันดำเนินการขณะที่ผู้ใช้อยู่นอกแอป เช่น การติดตามเส้นทาง/จำนวนก้าวแบบแพสซีฟ การตรวจสอบเมื่อผู้ใช้เริ่มหรือหยุดขับรถ เป็นต้น)
  • ฟีเจอร์ที่รวมข้อมูลตำแหน่งของผู้ใช้เพื่อแสดงรูปแบบการจราจร/จุดที่มีการจราจรแออัดมากหรือแมปความเร็วอินเทอร์เน็ตใกล้เคียง
ยังมีรายการอื่นๆ นอกเหนือจากนี้ อย่างไรก็ตาม หากแอปมีเพียงฟังก์ชันการทำงานอย่างเช่น ฟังก์ชันที่กล่าวถึงข้างต้นซึ่งต้องใช้ตำแหน่งในเบื้องหลัง ให้พิจารณาใช้การเข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหน้าแทน 

แนวทางปฏิบัติแนะนำสำหรับการเข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหลัง 

อย่าลืมอ่านแนวทางปฏิบัติแนะนำต่อไปนี้สำหรับการเข้าถึงข้อมูลตำแหน่งในแอปของคุณ

  • ลดการใช้ตำแหน่งโดยใช้ในขอบเขตน้อยที่สุดเท่าที่จำเป็นต่อการให้บริการฟีเจอร์ (เช่น ตำแหน่งคร่าวๆ แทนที่จะเป็นตำแหน่งอย่างละเอียด และเข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหน้าแทนที่จะเป็นเบื้องหลัง) 
  • พิจารณาว่าผู้ใช้แอปควรคาดหวังโดยเหตุและผลว่าฟีเจอร์หรือบริการของแอปจำเป็นต้องเข้าถึงตำแหน่งในระดับที่ขอหรือไม่ เราอาจปฏิเสธแอปที่ขอหรือเข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหลังโดยไม่มีการให้เหตุผลที่เพียงพอ
  • ดูรายการตรวจสอบการเข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหลังเพื่อระบุการเข้าถึงที่เป็นไปได้ในโค้ดของคุณ 
  • อ่านแนวทางปฏิบัติแนะนำด้านความเป็นส่วนตัวและตรวจสอบว่าคุณมีนโยบายด้านการเปิดเผยข้อมูลและความเป็นส่วนตัวที่เหมาะสมแล้ว
  • ยืนยันว่า SDK หรือไลบรารีของบุคคลที่สามทั้งหมดที่คุณใช้เป็นไปตามนโยบายของเรา รวมถึงการใช้สิทธิ์เข้าถึงตำแหน่งด้วย
  • โปรดทราบว่า App Bundle หรือ APK ในการติดตามการเผยแพร่ที่มีการใช้งานอยู่ทั้งหมด (ได้แก่ แทร็กแบบเปิดและแบบปิด) ต้องได้รับการตรวจสอบ

สิ่งที่ควรพิจารณาในขั้นตอนการอนุมัติ

เมื่อตรวจสอบแอปที่ขอการเข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหลัง เราจะพิจารณาจากคำถามอย่างเช่นด้านล่างนี้

  • ตำแหน่งในเบื้องหลังสำคัญต่อฟังก์ชันหลักของแอปหรือไม่ 
  • ตำแหน่งในเบื้องหลังให้คุณค่าที่ชัดเจนแก่ผู้ใช้หรือไม่
    • ประโยชน์ที่สำคัญสำหรับผู้ใช้ ได้แก่ ความปลอดภัยทางกายภาพ ความปลอดภัยที่รับรู้ และสุขภาพ/การออกกำลังกาย 
    • ประโยชน์ที่เล็กน้อยสำหรับผู้ใช้อาจรวมถึงโฆษณาหรือข้อเสนอ ข้อมูลวิเคราะห์ การปรับเปลี่ยนเฉพาะบุคคล ความบันเทิง และความสะดวก
  • ผู้ใช้คาดหวังให้แอปเข้าถึงตำแหน่งของตนในเบื้องหลังหรือไม่ 
  • แอปมอบประสบการณ์การใช้งานเหมือนกันโดยไม่ต้องเข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหลังได้หรือไม่
  • มีการโพสต์นโยบายความเป็นส่วนตัวใน Play Console และภายในตัวแอปเองหรือไม่

ยังมีคำถามอื่นๆ นอกเหนือจากนี้ แต่รายการนี้ช่วยให้คุณเห็นภาพวิธีที่เราอาจตรวจสอบและตีความการใช้สิทธิ์เข้าถึงตําแหน่งของแอป 

เอกสารประกอบที่จำเป็นสำหรับสิทธิ์เข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหลัง

หากใช้ตำแหน่งในเบื้องหลังของแอป คุณต้องสื่อสารการใช้ตำแหน่งนี้ให้ผู้ใช้ทราบอย่างชัดเจนทั้งในตัวแอปและในหน้าข้อมูลผลิตภัณฑ์ใน Store ของแอป ซึ่งทำได้โดยระบุไว้ในคำอธิบายแอป ภาพหน้าจอ รวมถึงในชื่อหรือไอคอน (หากทำได้)

ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำบางส่วนในการไฮไลต์การใช้ตำแหน่งในเบื้องหลังของแอป

  • ระบุคำอธิบายสั้นๆ ที่บอกว่ามีการเปิดใช้ตำแหน่งตลอดเวลา (เช่น "ทราบตำแหน่งเสมอ")
  • ใส่ภาพหน้าจอในแอปที่แสดงแผนที่/ตำแหน่งของผู้ใช้หรือรูปภาพที่ติดป้ายสถานที่ 
  • หากเป็นไปได้ ให้ใส่ข้อความหรือภาพในชื่อหรือไอคอนแอปเพื่อบอกว่าแอปมีฟีเจอร์ที่ต้องใช้ตำแหน่งด้วย

เมื่อส่งแอปเข้ารับการอนุมัติ คุณต้องให้เอกสารประกอบที่เจาะจงต่อไปนี้สำหรับสิทธิ์เข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหลัง 

  • แบบฟอร์มประกาศสิทธิ์
  • วิดีโอแสดงฟังก์ชันการทำงาน
  • การเปิดเผยข้อมูลในแอปอย่างชัดเจน
  • นโยบายความเป็นส่วนตัวทั้งในแอปและในหน้าข้อมูลผลิตภัณฑ์ใน Store ของแอป 

แบบฟอร์มประกาศสิทธิ์ 

แบบฟอร์มประกาศสิทธิ์มีอยู่ในบัญชี Google Play Console โดยคุณสามารถค้นหาแบบฟอร์มดังกล่าวได้ดังนี้

  1. ไปที่หน้า "เนื้อหาแอป"
  2. คลิกเริ่มในส่วน "สิทธิ์ที่มีความละเอียดอ่อนของแอป"
  3. จากนั้นคลิกเริ่มภายใน "สิทธิ์เข้าถึงตำแหน่ง"

หากเห็นข้อความแจ้งสำหรับแบบฟอร์มอื่นๆ เช่น แบบฟอร์มประกาศสิทธิ์เข้าถึงแอปหรือแบบฟอร์มประกาศการให้สิทธิ์ โปรดกรอกแบบฟอร์มเหล่านั้นก่อน เนื่องจากเป็นขั้นตอนที่จำเป็นในการเตรียมแอปของคุณให้พร้อมสำหรับการตรวจสอบใน Google Play Console ดูวิธีการอย่างละเอียดได้ที่หน้าเตรียมแอปสำหรับการตรวจสอบ

หากไม่เห็นข้อความแจ้งเกี่ยวกับประกาศใน Google Play Console ให้ตรวจสอบว่าคุณกำลังใช้สิทธิ์เข้าถึงตำแหน่งที่มีความละเอียดอ่อนอย่างใดอย่างหนึ่งตามระดับ SDK เป้าหมายของแอป ดังนี้

  • หาก App Bundle หรือ APK กำหนดเป้าหมายเป็น Android 10 ขึ้นไป (SDK ระดับ 29 ขึ้นไป) และมีสิทธิ์ ACCESS_BACKGROUND_LOCATION ในไฟล์ Manifest ระบบจะนำคุณไปกรอกรายละเอียดเกี่ยวกับการใช้งานตำแหน่ง
  • หาก App Bundle หรือ APK กำหนดเป้าหมายเป็น Android 9 หรือเก่ากว่า (SDK ระดับ 28 หรือต่ำกว่า) และมี ACCESS_COARSE_LOCATION หรือ ACCESS_FINE_LOCATION คุณจะต้องระบุเจตนาในการเข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหลัง จากนั้นระบบจะนำคุณไปยังหน้ากรอกรายละเอียดเกี่ยวกับการใช้งานตำแหน่ง

การป้อนข้อมูลสำหรับแบบฟอร์มประกาศ

เมื่อกรอกข้อมูลในแบบฟอร์มประกาศเกี่ยวกับสิทธิ์และ API ที่เข้าถึงข้อมูลที่ละเอียดอ่อน ให้ตอบคำถามต่อไปนี้เพื่อให้ Google สามารถประเมินการเข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหลังของแอป

ประเด็นสำคัญในแบบฟอร์มประกาศสิทธิ์ก็คือ วัตถุประสงค์หลักของแอปคืออะไร

  • การเข้าถึงตำแหน่ง: เหตุใดแอปจึงต้องเข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหลัง 
    • แจ้งให้เราทราบเกี่ยวกับฟีเจอร์ที่อิงตามตำแหน่งเพียง 1 ฟีเจอร์ในแอปที่จำเป็นต้องเข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหลังและอธิบายว่าทำไมแอปจึงติดตั้งใช้งานไม่ได้หากไม่มีสิทธิ์เข้าถึงนี้ ฟีเจอร์ดังกล่าวต้องเกี่ยวข้องกับวัตถุประสงค์หลักของแอป เราจะอนุมัติสิทธิ์นี้สำหรับแอปทั้งแอป ไม่ใช่สำหรับฟีเจอร์นี้เพียงอย่างเดียว 
    • เราประเมินฟีเจอร์ได้ทีละรายการเท่านั้น การระบุหลายฟีเจอร์ในแบบฟอร์มจะทำให้แอปถูกปฏิเสธ
  • วิดีโอแสดงวิธีการ: ระบุลิงก์ไปยังวิดีโอสั้นๆ ซึ่งสาธิตการใช้ฟีเจอร์ที่อ้างอิงตำแหน่งในแอปอย่างชัดเจน โดยต้องเป็นฟีเจอร์ที่คุณประกาศไว้ในแบบฟอร์ม อย่าลืมรวมกล่องโต้ตอบการเปิดเผยข้อมูลอย่างชัดเจนที่จะแสดงต่อผู้ใช้ไว้ในวิดีโอด้วย ความยาวที่แนะนำของวิดีโอคือไม่เกิน 30 วินาที

วิดีโอแสดงฟังก์ชันการทำงาน

ส่วนก่อนหน้านี้พูดถึงวิดีโอที่คุณต้องจัดเตรียมไว้เป็นส่วนหนึ่งของการประกาศ ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างวิดีโอแสดงฟังก์ชันการทำงานตามด้วยข้อกำหนดบางอย่างสำหรับวิดีโอของคุณ

ข้อกำหนดเกี่ยวกับวิดีโอ

วิดีโอต้องสาธิตฟีเจอร์ที่ประกาศในแอปซึ่งจำเป็นต้องเข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหลัง (ขณะที่ไม่ได้ใช้งานแอป) และยังต้องแสดงขั้นตอนที่จำเป็นในการพบและเปิดใช้ฟีเจอร์นี้ในแอปด้วย 
โปรดรวมองค์ประกอบต่อไปนี้ไว้ในวิดีโอด้วย
  • ฟีเจอร์ที่มีการเปิดใช้งานจากเบื้องหลัง
  • กล่องโต้ตอบการเปิดเผยข้อมูลในแอปซึ่งแสดงให้ผู้ใช้เห็นอย่างชัดเจน
  • ข้อความแจ้งเกี่ยวกับรันไทม์
ตั้งเป้าให้วิดีโอมีความยาวไม่เกิน 30 วินาที รูปแบบที่แนะนำคือลิงก์วิดีโอ YouTube แต่สามารถใช้ลิงก์ไปยังไฟล์ MP4 หรือรูปแบบไฟล์วิดีโอทั่วไปในพื้นที่เก็บข้อมูล Google ไดรฟ์ได้เช่นกัน
สิ่งสำคัญที่ควรพิจารณา
  • หากฟีเจอร์ไม่มีอินเทอร์เฟซที่แสดงต่อผู้ใช้เมื่อมีการใช้งานตำแหน่งในเบื้องหลังอยู่ โปรดระบุหมายเหตุไว้ในประกาศและสาธิตฟีเจอร์หรือผลกระทบของฟีเจอร์ไว้ในวิดีโอให้ได้มากที่สุด
  • ตรวจดูว่าวิดีโอแสดงลักษณะการทำงานของแอปในอุปกรณ์ Android เช่น อย่าส่งวิดีโอของแอป iOS

การเปิดเผยข้อมูลในแอปอย่างชัดเจน 

หากแอปขอสิทธิ์เข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหลัง คุณต้องจัดเตรียมการเปิดเผยข้อมูลในแอปเกี่ยวกับการเข้าถึง เก็บรวบรวม ใช้ และ/หรือแชร์ข้อมูลของผู้ใช้
 
ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของการเปิดเผยข้อมูลในแอปอย่างชัดเจน

ข้อกำหนดเกี่ยวกับข้อความการเปิดเผยข้อมูล

การเปิดเผยข้อมูลในแอป

  • ต้องอยู่ในตัวแอป รวมถึงในคำอธิบายแอปหรือในเว็บไซต์ด้วย
  • ต้องแสดงในการใช้งานปกติของแอปและต้องไม่บังคับให้ผู้ใช้ไปยังเมนูหรือการตั้งค่า
  • ต้องอธิบายข้อมูลที่เข้าถึงและเก็บรวบรวม
  • ต้องอธิบายว่าจะนำข้อมูลไปใช้งานและ/หรือแชร์อย่างไร
  • ต้องไม่ใส่ไว้เฉพาะในนโยบายความเป็นส่วนตัวหรือข้อกำหนดในการให้บริการ
  • ต้องไม่รวมอยู่กับการเปิดเผยข้อมูลอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลหรือข้อมูลที่ละเอียดอ่อน
  • ต้องไม่กำหนดให้ผู้ใช้แสดงความยินยอมอย่างชัดแจ้ง เช่น "ยอมรับ" หรือ "ฉันเข้าใจ" โดยจะทำในข้อความแจ้งเกี่ยวกับรันไทม์ที่แสดงขึ้นทันทีหลังจากนั้น คุณยังให้ผู้ใช้ปิดหรือปัดกล่องข้อความเพื่อออกจากการเปิดเผยข้อมูล

ข้อความในการเปิดเผยข้อมูลต้องมีลักษณะดังนี้

  • มีคำว่า "ตำแหน่ง"
  • บ่งชี้ลักษณะการใช้ตำแหน่งในเบื้องหลังของแอปโดยใช้วลีใดวลีหนึ่งต่อไปนี้ "เบื้องหลัง"/"เมื่อแอปปิดอยู่"/"มีการใช้งานตลอดเวลา"/"เมื่อไม่ได้ใช้งานแอป"
  • แสดงรายการฟีเจอร์ของแอปทั้งหมดที่ใช้ตำแหน่งในเบื้องหลัง
  • หากคุณขยายการใช้งานที่ได้รับสิทธิ์ไปยังโฆษณา ให้ใส่วลีต่อไปนี้ด้วย "ใช้เพื่อแสดงโฆษณา/สนับสนุนการโฆษณา/สนับสนุนโฆษณา" (เลือกวลีที่ตรงกับแอปมากที่สุด)

รูปแบบการเปิดเผยข้อมูลที่แนะนำ

เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดของนโยบาย เราขอแนะนำให้ใช้ข้อความต่อไปนี้ จะเห็นว่าตัวอย่างที่ 2 ระบุถึงการใช้ตําแหน่งเพื่อการโฆษณาด้วย การใช้ข้อมูลตำแหน่งสำหรับโฆษณาต้องเป็นไปตามนโยบายการใช้ข้อมูลตำแหน่งสำหรับโฆษณา 

เลือกวลีที่ตรงกับแอปมากที่สุด

  • "[แอปนี้] เก็บรวบรวมข้อมูลตำแหน่งเพื่อเปิดใช้ ["ฟีเจอร์"] ["ฟีเจอร์"] และ ["ฟีเจอร์"] แม้ในขณะที่แอปปิดอยู่หรือไม่ได้ใช้งาน"
  • "[แอปนี้] เก็บรวบรวมข้อมูลตำแหน่งเพื่อเปิดใช้ ["ฟีเจอร์"] ["ฟีเจอร์"] และ ["ฟีเจอร์"] แม้ในขณะที่แอปปิดอยู่หรือไม่ได้ใช้งาน และยังใช้เพื่อสนับสนุนการโฆษณาด้วย"

ตัวอย่าง

"Fitness Funds เก็บรวบรวมข้อมูลตำแหน่งเพื่อเปิดใช้การติดตามการออกกำลังกายแม้ในขณะที่แอปปิดอยู่หรือไม่ได้ใช้งาน"

"แอปนี้เก็บรวบรวมข้อมูลตำแหน่งเพื่อเปิดใช้การติดตามและการนำส่งการแจ้งเตือนสภาพอากาศในพื้นที่แม้ในขณะที่แอปปิดอยู่หรือไม่ได้ใช้งาน" 

การเปิดเผยข้อมูลอย่างชัดเจนอาจรวมถึงข้อมูลอื่นๆ เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดของนโยบายและเพื่อให้ผู้ใช้เข้าใจได้ชัดเจน แต่อย่างน้อยต้องมีข้อความข้างต้นอยู่ในส่วนที่เกี่ยวข้อง

หมายเหตุ: หากฟีเจอร์ไม่มีอินเทอร์เฟซที่แสดงต่อผู้ใช้เมื่อมีการใช้งานตำแหน่งในเบื้องหลังอยู่ โปรดแสดงการแจ้งเตือนการเปิดเผยข้อมูลอย่างชัดเจนเมื่อมีการเปิดแอปเป็นครั้งแรกแทน

นโยบายความเป็นส่วนตัวทั้งในแอปและในหน้าข้อมูลผลิตภัณฑ์ใน Store ของแอป 

นโยบายความเป็นส่วนตัวของแอปและการเปิดเผยข้อมูลในแอป จะต้องเปิดเผยข้อมูลโดยละเอียดว่าแอปของคุณเก็บรวบรวม ใช้ และ/หรือแชร์ข้อมูลผู้ใช้อย่างไร รวมถึงแชร์กับบุคคลประเภทใด โปรดตรวจสอบว่านโยบายความเป็นส่วนตัวมีลักษณะดังนี้

  • อยู่ใน URL ที่ใช้งานได้ (ไม่ใช่ไฟล์ PDF)
  • แก้ไขไม่ได้
  • ใส่ลิงก์นโยบายไว้ในหน้าข้อมูลผลิตภัณฑ์ใน Store ของแอปและภายในแอป
  • ติดป้ายกำกับไว้อย่างชัดเจนว่าเป็นนโยบายความเป็นส่วนตัวของแอปในชื่อหรือ URL และภายในเนื้อความของหน้า
  • อ้างอิงถึงนิติบุคคล (นักพัฒนาแอปหรือบริษัท) เดียวกันกับที่ใช้ในข้อมูล Google Play หรืออ้างอิงถึงชื่อที่ตรงกันทุกประการของแอป
  • อธิบายถึงความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้โดยเฉพาะ
  • มีการเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องและเหมาะสม ตลอดจนอ้างอิงถึงข้อมูลตำแหน่งและให้ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีที่แอปใช้งานข้อมูลตำแหน่ง

คุณต้องเพิ่มนโยบายความเป็นส่วนตัวลงในหน้าข้อมูลผลิตภัณฑ์ใน Store ของแอปด้วย วิธีนี้ช่วยโปรโมตความโปร่งใสให้ผู้ใช้ทราบและแสดงวิธีที่คุณจัดการข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อนของผู้ใช้และข้อมูลอุปกรณ์ ลองปรึกษาตัวแทนทางกฎหมายเพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับข้อกำหนดอื่นๆ

การละเมิดที่พบบ่อยและวิธีแก้ปัญหา

รายละเอียดฟีเจอร์ไม่ชัดเจน

หากเราไม่สามารถระบุฟีเจอร์ที่ต้องเข้าถึงตําแหน่งในเบื้องหลังตามการประกาศของคุณ เราจำเป็นต้องให้คุณระบุคำอธิบายที่ชัดเจนหรือข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับฟีเจอร์ เมื่อแอปมีหลายฟีเจอร์ที่จำเป็นต้องเข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหลัง คุณต้องเลือกประกาศเพียงฟีเจอร์เดียว 

คุณแก้ปัญหาได้โดยทำตามขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งต่อไปนี้

  • ส่งแบบฟอร์มประกาศอีกครั้งโดยชี้แจงและ/หรือเพิ่มข้อมูลในคำอธิบายเกี่ยวกับฟีเจอร์หนึ่งที่จำเป็นต้องเข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหลัง
  • นําสิทธิ์ออกจากไฟล์ Manifest ของแอป รวมถึงซอร์สโค้ดที่เกี่ยวข้องของ APK ทั้งหมดของทุกแทร็ก (รวมถึงแทร็กทดสอบแบบเปิดและแบบปิด)

หากแอปมีหลายฟีเจอร์ที่จำเป็นต้องเข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหลัง ให้ใช้เกณฑ์ต่อไปนี้ในการเลือกเพียง 1 ฟีเจอร์ที่จะประกาศ จากนั้นให้ส่งแบบฟอร์มประกาศอีกครั้งผ่านบัญชี Google Play Console

  • ฟีเจอร์ที่เลือกต้องสำคัญต่อฟังก์ชันหลักหรือวัตถุประสงค์หลักของแอป หากไม่มีฟีเจอร์หลักนี้ แอปจะเสียหรือแสดงผลเป็นแบบใช้งานไม่ได้
  • พิจารณาว่าผู้ใช้จะคาดหวังให้แอปเข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหลังหรือไม่ และคุณมอบประสบการณ์การใช้งานเดียวกันให้ผู้ใช้โดยไม่ต้องเข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหลังได้หรือไม่
  • ฟีเจอร์ที่เลือกต้องให้ประโยชน์ที่สำคัญต่อผู้ใช้ ตัวอย่างเช่น แอปที่ใช้ร่วมกันในครอบครัวใช้ตำแหน่งในเบื้องหลังทั้งเพื่อเรียกให้แสดงการแจ้งเตือนหากเด็กออกนอกภูมิภาคที่กำหนดเขตพื้นที่เสมือนไว้และเพื่อแจ้งผู้ใช้เกี่ยวกับข้อเสนอในบริเวณใกล้เคียง คุณควรระบุฟีเจอร์ที่ใช้การกำหนดเขตพื้นที่เสมือนเพื่อความปลอดภัยของเด็กในการประกาศสิทธิ์ เนื่องจากให้ประโยชน์แก่ผู้ใช้ (ความปลอดภัยที่รับรู้) มากกว่าประโยชน์ของโฆษณาตามบริบทและตำแหน่ง (ความสะดวก/การปรับเปลี่ยนในแบบของคุณ)
  • การเข้าถึงตําแหน่งในเบื้องหลังเพื่อจุดประสงค์ในการโฆษณาเพียงอย่างเดียวจะถูกปฏิเสธ

ประกาศฟีเจอร์หลายรายการ

นักพัฒนาแอปจะประกาศฟีเจอร์ที่อิงตามตำแหน่งได้เพียง 1 ฟีเจอร์ที่จำเป็นต้องเข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหลัง ไม่ใช่หลายฟีเจอร์ ฟีเจอร์ที่เลือกต้องสำคัญต่อฟังก์ชันหลักหรือวัตถุประสงค์หลักของแอป 

เมื่อแอปมีหลายฟีเจอร์ที่จำเป็นต้องเข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหลัง ให้เลือกเพียง 1 ฟีเจอร์ที่จะประกาศและส่งแบบฟอร์มประกาศอีกครั้งผ่านบัญชี Google Play Console เมื่อเลือกฟีเจอร์ที่จะประกาศ ให้พิจารณาถึงคำถามเหล่านี้

  • ฟีเจอร์นี้จำเป็นต่อฟังก์ชันหลักหรือวัตถุประสงค์หลักของแอปหรือไม่ หากไม่มีฟีเจอร์นี้ แอปจะเสียหรือแสดงผลเป็นใช้งานไม่ได้หรือไม่
  • ผู้ใช้คาดหวังให้แอปเข้าถึงตำแหน่งของตนในเบื้องหลังหรือไม่ หากไม่ แสดงว่าแอปอาจไม่ควรขอสิทธิ์เข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหลัง
  • แอปมอบประสบการณ์การใช้งานเหมือนกันโดยไม่ต้องเข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหลังได้หรือไม่ หากได้ ก็ไม่จำเป็นต้องขออนุมัติสิทธิ์เข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหลัง
  • หากตัดสินแล้วว่าแอปไม่จำเป็นต้องขอสิทธิ์เข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหลังและ/หรือคุณสามารถมอบประสบการณ์การใช้งานที่เหมือนกันได้โดยไม่ต้องเข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหลัง ให้นำสิทธิ์เข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหลังออกจากไฟล์ Manifest ของแอป รวมถึงซอร์สโค้ดที่เกี่ยวข้องของ APK ทั้งหมดของทุกแทร็ก (รวมถึงแทร็กทดสอบแบบเปิดและแบบปิด)
  • ฟีเจอร์นี้ให้ประโยชน์ที่สำคัญต่อผู้ใช้หรือไม่ ตัวอย่างเช่น สมมติว่าแอปที่ใช้ร่วมกันในครอบครัวใช้ตำแหน่งในเบื้องหลังทั้งเพื่อเรียกให้แสดงการแจ้งเตือนหากเด็กออกนอกภูมิภาคที่กำหนดเขตพื้นที่เสมือนไว้ และเพื่อแจ้งผู้ใช้เกี่ยวกับข้อเสนอในบริเวณใกล้เคียง คุณควรระบุฟีเจอร์ที่ใช้การกำหนดเขตพื้นที่เสมือนเพื่อความปลอดภัยของเด็กในการประกาศสิทธิ์ เนื่องจากให้ประโยชน์แก่ผู้ใช้ (ความปลอดภัยที่รับรู้) มากกว่าประโยชน์ของโฆษณาตามบริบทและตำแหน่ง (ความสะดวก/การปรับเปลี่ยนในแบบของคุณ)
  • โฆษณาเป็นเพียงเหตุผลเดียวของการขอสิทธิ์เข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหลังใช่หรือไม่ คำขอเพื่อจุดประสงค์ในการโฆษณาเพียงอย่างเดียวจะถูกปฏิเสธ

ยืนยันฟีเจอร์ในเบื้องหลังในแอปไม่ได้

ทีมตรวจสอบต้องสามารถยืนยันว่าแอปนำเสนอฟีเจอร์ที่ประกาศซึ่งจำเป็นต้องเข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหลังและยืนยันฟังก์ชันการทำงานในแอปของฟีเจอร์ดังกล่าว หากฟีเจอร์นั้นไม่แสดงให้ผู้ใช้เห็น วิดีโอที่ส่งจะต้องสาธิตให้เห็นถึงฟังก์ชันการทำงานของฟีเจอร์ดังกล่าว

วิธีแก้ปัญหานี้คือ ให้แก้ไขวิดีโอเพื่อสาธิตฟีเจอร์ที่ประกาศซึ่งคุณจะขอการเข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหลังและส่งแบบฟอร์มประกาศอีกครั้งผ่านบัญชี Google Play Console 

  • ในวิดีโอให้แสดงฟังก์ชันการทำงานในแอปของฟีเจอร์ที่ใช้ตำแหน่งในเบื้องหลัง ซึ่งรวมถึงวิธีที่ผู้ใช้จะเรียกให้แสดงการเปิดเผยข้อมูลอย่างชัดเจนและสิทธิ์รันไทม์ (เมื่อได้รับความยินยอมจากผู้ใช้)
  • หากฟังก์ชันการทำงานของฟีเจอร์ที่คุณประกาศไม่แสดงให้ผู้ใช้เห็นโดยตรง ให้สาธิตประสบการณ์การใช้งานในแอป ตัวอย่างเช่น แสดงวิธีที่แอปแจ้งผู้ใช้เกี่ยวกับการแจ้งเตือนการประพฤติมิชอบ

ฟีเจอร์ไม่เป็นไปตามข้อกำหนดในการเข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหลัง

ทีมตรวจสอบของเราอาจพบว่าฟีเจอร์ที่ประกาศไม่เป็นไปตามข้อกำหนดในนโยบายสิทธิ์เข้าถึงตำแหน่ง วิธีแก้ปัญหานี้คือ ให้นำคำขอเข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหลังออกแล้วส่งการอัปเดตแอป โปรดทำตามคำแนะนำนี้หากต้องการประกาศฟีเจอร์อื่นสำหรับการเข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหลัง

  • เลือกเฉพาะฟีเจอร์ที่ให้คุณค่าแก่ผู้ใช้อย่างชัดเจนและสำคัญต่อฟังก์ชันหลัก (หรือวัตถุประสงค์หลัก) ของแอป หากไม่มีฟีเจอร์หลักนี้ แอปจะเสียหรือแสดงผลเป็นแบบใช้งานไม่ได้
  • พิจารณาว่าผู้ใช้จะคาดหวังให้แอปเข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหลังหรือไม่ หากไม่ แสดงว่าแอปอาจไม่ควรขอสิทธิ์เข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหลัง
  • หากคุณมอบประสบการณ์การใช้งานที่เหมือนกันให้ผู้ใช้ได้โดยไม่ต้องเข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหลัง ก็ไม่ต้องขอสิทธิ์เข้าถึงดังกล่าว
  • อย่าลืมนำสิทธิ์เข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหลังออกจากไฟล์ Manifest ของแอป รวมถึงซอร์สโค้ดที่เกี่ยวข้องของ APK ทั้งหมดของทุกแทร็ก (รวมถึงแทร็กทดสอบแบบเปิดและแบบปิด) หากพิจารณาแล้วว่าแอปไม่จำเป็นต้องขอสิทธิ์เข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหลังและ/หรือคุณสามารถมอบประสบการณ์การใช้งานที่เหมือนกันได้โดยไม่ต้องเข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหลัง

ปัญหาเกี่ยวกับวิดีโอที่ส่ง

บางครั้งเราไม่สามารถดูวิดีโอที่ให้ไว้ในประกาศหรือวิดีโอไม่สื่อให้เห็นถึงประสบการณ์การใช้งานที่ถูกต้องในแอป วิดีโอต้องแสดงฟังก์ชันการทำงานจริงของฟีเจอร์ในแอปและวิธีที่ฟีเจอร์ดังกล่าวใช้ตำแหน่งในเบื้องหลัง สาธิตวิธีที่ผู้ใช้จะเรียกให้แสดงการเปิดเผยข้อมูลอย่างชัดเจนและสิทธิ์รันไทม์ตามอุปกรณ์ (เมื่อได้รับความยินยอมจากผู้ใช้) 

ตรวจสอบว่าวิดีโอของคุณเข้าถึงได้ง่ายและ/หรือแก้ไขวิดีโอให้แสดงฟีเจอร์ที่คุณประกาศไว้ที่ต้องเข้าถึงตําแหน่งในเบื้องหลังอย่างชัดเจน จากนั้นให้ส่งแบบฟอร์มประกาศอีกครั้งผ่านบัญชี Google Play Console

นโยบายความเป็นส่วนตัวไม่ถูกต้อง

ทีมตรวจสอบของเราอาจพบว่านโยบายความเป็นส่วนตัวไม่เป็นไปตามข้อกำหนดในนโยบายของเรา วิธีแก้ปัญหานี้คือ ให้อ่านนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลที่ละเอียดอ่อนของผู้ใช้ จากนั้นเพิ่มหรืออัปเดตนโยบายความเป็นส่วนตัวตามที่จำเป็นต่อการปฏิบัติตามข้อกำหนด โดยทำตามหลักเกณฑ์ต่อไปนี้

  • นโยบายความเป็นส่วนตัวต้องอยู่ใน URL ที่ใช้งานได้ (ไม่ใช่ไฟล์ PDF)
  • ตรวจสอบว่านโยบายเป็นแบบแก้ไขไม่ได้
  • ตรวจสอบว่านโยบายกล่าวถึงแอปของคุณ
  • นโยบายต้องครอบคลุมความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้โดยเฉพาะ
  • ตรวจสอบว่าได้ใส่ลิงก์นโยบายไว้ในหน้าข้อมูลผลิตภัณฑ์ใน Store ของแอปและภายในแอป
  • นโยบายต้องอ้างอิงถึงนิติบุคคล (เช่น นักพัฒนาแอปหรือบริษัท) เดียวกันกับที่ใช้ในข้อมูล Google Play หรืออ้างอิงถึงชื่อที่ตรงกันทุกประการของแอป

ลิงก์นโยบายความเป็นส่วนตัวไม่ถูกต้องหรือขาดหายไป

บางครั้ง URL สำหรับหน้านโยบายความเป็นส่วนตัวของแอปไม่โหลดหรือเปิดหน้านโยบายความเป็นส่วนตัวที่ไม่ถูกต้อง วิธีแก้ปัญหานี้คือ ให้อ่านข้อกำหนดด้านนโยบายความเป็นส่วนตัวในศูนย์นโยบายสำหรับนักพัฒนาแอป หาก URL ที่ให้ไว้ลิงก์ไปยังนโยบายความเป็นส่วนตัวหลายเวอร์ชัน โปรดทำการเปลี่ยนแปลงที่จำเป็น (ภายในแอป เว็บไซต์ และ/หรือหน้าข้อมูลผลิตภัณฑ์ใน Store ของแอป) เพื่อชี้ไปยังนโยบายความเป็นส่วนตัวที่ควบคุมเพียงเวอร์ชันเดียว

อัปเดตนโยบายความเป็นส่วนตัว ดังนี้

  • นโยบายต้องอยู่ใน URL ที่ใช้งานได้ (ไม่ใช่ไฟล์ PDF)
  • ตรวจสอบว่านโยบายเป็นแบบแก้ไขไม่ได้
  • ตรวจสอบว่านโยบายกล่าวถึงแอปของคุณ
  • นโยบายต้องครอบคลุมความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้โดยเฉพาะ
  • ตรวจสอบว่าได้ใส่ลิงก์นโยบายไว้ในหน้าข้อมูลผลิตภัณฑ์ใน Store ของแอปและภายในแอป
  • นโยบายต้องอ้างอิงถึงนิติบุคคล (เช่น นักพัฒนาแอปหรือบริษัท) เดียวกันกับที่ใช้ในข้อมูล Google Play หรืออ้างอิงถึงชื่อที่ตรงกันทุกประการของแอป

ไม่มีรายละเอียดในการเปิดเผยข้อมูล

การเปิดเผยข้อมูลอย่างชัดเจนต้องปรากฏขึ้นก่อนสิทธิ์รันไทม์ตำแหน่งของแอป และต้องแจ้งให้ผู้ใช้ทราบเกี่ยวกับฟีเจอร์ที่จะใช้ตำแหน่งในเบื้องหลัง โปรดอ่านข้อกำหนดด้านการเปิดเผยข้อมูลและการขอความยินยอมอย่างชัดเจนและอัปเดตการเปิดเผยข้อมูลอย่างชัดเจน ดังนี้

  • ตรวจสอบว่าการเปิดเผยข้อมูลอย่างชัดเจนมีคำว่า "ตำแหน่ง" อยู่ด้วย
  • ระบุวิธีใช้ตำแหน่งในเบื้องหลังด้วยการใส่วลีใดวลีหนึ่งต่อไปนี้ "เบื้องหลัง"/"เมื่อแอปปิดอยู่"/"ใช้งานอยู่ตลอด"/"เมื่อไม่ได้ใช้งานแอป"
  • ระบุรายการฟีเจอร์ทั้งหมดที่ใช้ตำแหน่งในเบื้องหลัง
  • หากคุณขยายการใช้งานที่ได้รับสิทธิ์ไปยังโฆษณา ให้ใส่ข้อความต่อไปนี้ด้วย "ใช้เพื่อแสดงโฆษณา/สนับสนุนการโฆษณา/สนับสนุนโฆษณา" (เลือกวลีที่ตรงกับแอปมากที่สุด)

ไม่พบการเปิดเผยข้อมูลอย่างชัดเจน

แอปต้องแสดงการเปิดเผยข้อมูลอย่างชัดเจนในกล่องโต้ตอบที่ปรากฏขึ้นก่อนสิทธิ์รันไทม์ตำแหน่งของแอป หากแอปไม่มีการเปิดเผยข้อมูลอย่างชัดเจน ให้อ่านข้อกำหนดด้านการเปิดเผยข้อมูลและการขอความยินยอมอย่างชัดเจนและเพิ่มการเปิดเผยข้อมูลอย่างชัดเจน

  • การเปิดเผยข้อมูลอย่างชัดเจนต้องปรากฏก่อนสิทธิ์รันไทม์ตําแหน่งของแอป
  • ใส่ประโยคต่อไปนี้เป็นอย่างน้อย ซึ่งคุณปรับให้มีฟีเจอร์ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดที่ขอการเข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหลังในแอปที่แสดงต่อผู้ใช้แล้ว "แอปนี้เก็บรวบรวมข้อมูลตำแหน่งเพื่อเปิดใช้ ["ฟีเจอร์"] ["ฟีเจอร์"] และ ["ฟีเจอร์"] แม้ในขณะที่แอปปิดอยู่หรือไม่ได้ใช้งาน" หากคุณขยายการใช้งานที่ได้รับสิทธิ์ไปยังโฆษณา ให้ใส่ข้อความต่อไปนี้ด้วย "ข้อมูลนี้ยังใช้เพื่อแสดงโฆษณา/สนับสนุนการโฆษณา/สนับสนุนโฆษณาด้วย"
  • ระบุรายละเอียดอื่นๆ ที่จําเป็นเพื่อให้ผู้ใช้ทราบอย่างชัดเจนถึงวิธีและเหตุผลที่คุณใช้ตําแหน่งในเบื้องหลัง แม้ว่าเนื้อหาเพิ่มเติมจะได้รับอนุญาต คุณก็ควรที่จะต้องแสดงเนื้อหาที่จําเป็นโดยทันที

การเปิดเผยข้อมูลอย่างชัดเจนที่ต้องแสดงก่อนสิทธิ์รันไทม์ตำแหน่ง

แอปต้องแสดงการเปิดเผยข้อมูลอย่างชัดเจนในกล่องโต้ตอบที่ปรากฏขึ้นก่อนสิทธิ์รันไทม์ตำแหน่งของแอป ตรวจสอบว่าการเปิดเผยข้อมูลอย่างชัดเจนปรากฏขึ้นในเวลาที่เหมาะสมและเป็นไปตามข้อกำหนดด้านการเปิดเผยข้อมูลและการขอความยินยอมอย่างชัดเจน ดังนี้

  • แสดงการเปิดเผยข้อมูลอย่างชัดเจนของแอปในกล่องโต้ตอบที่ปรากฏขึ้นก่อนสิทธิ์รันไทม์ตำแหน่งของแอป
  • ใส่ประโยคต่อไปนี้เป็นอย่างน้อย ซึ่งคุณปรับให้มีฟีเจอร์ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดที่ขอการเข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหลังในแอปที่แสดงต่อผู้ใช้แล้ว "แอปนี้เก็บรวบรวมข้อมูลตำแหน่งเพื่อเปิดใช้ ["ฟีเจอร์"] ["ฟีเจอร์"] และ ["ฟีเจอร์"] แม้ในขณะที่แอปปิดอยู่หรือไม่ได้ใช้งาน"
  • ระบุรายละเอียดอื่นๆ ที่จําเป็นเพื่อให้ผู้ใช้ทราบอย่างชัดเจนถึงวิธีและเหตุผลที่คุณใช้ตําแหน่งในเบื้องหลัง แม้ว่าเนื้อหาเพิ่มเติมจะได้รับอนุญาต คุณก็ควรที่จะต้องแสดงเนื้อหาที่จําเป็นโดยทันที 
  • ใส่ประโยคต่อไปนี้หากคุณขยายการใช้งานที่ได้รับสิทธิ์ไปยังโฆษณา "ข้อมูลนี้ยังใช้เพื่อแสดงโฆษณาด้วย"

ฟีเจอร์ไม่มีสิทธิ์เข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหลัง

ทีมตรวจสอบของเราอาจพบว่าฟีเจอร์ที่เลือกไว้ในการประกาศไม่จำเป็นต้องเข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหลังจึงจะทำงานได้ หรือฟีเจอร์ดังกล่าวสามารถใช้การเข้าถึงตําแหน่งในเบื้องหน้าแทนการเข้าถึงตําแหน่งในเบื้องหลังได้ ซึ่งทำให้ฟีเจอร์ไม่มีสิทธิ์ได้รับอนุมัติการเข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหลัง 

ในกรณีเหล่านี้ คุณอาจนำการเข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหลังออกจากแอปและ/หรือใช้การเข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหน้าแทน จากนั้นจึงส่งการอัปเดตแอป

ไม่มีข้อมูลเข้าสู่ระบบที่ใช้ทดสอบหรือข้อมูลไม่ถูกต้อง

บางครั้งเราไม่สามารถตรวจสอบแอปได้เนื่องจากนักพัฒนาแอปไม่ได้ให้ข้อมูลเข้าสู่ระบบที่ใช้ทดสอบไว้หรือข้อมูลเข้าสู่ระบบที่ใช้ทดสอบที่ให้ไว้ในการประกาศเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ในการแก้ปัญหานี้ เราจำเป็นต้องใช้ข้อมูลเข้าสู่ระบบที่ใช้ทดสอบเพื่อที่จะได้ตรวจสอบและยืนยันประสบการณ์การใช้งานในแอปของคุณ ส่งแบบฟอร์มประกาศที่อัปเดตแล้วพร้อมด้วยข้อมูลเข้าสู่ระบบที่ใช้ทดสอบผ่านบัญชี Google Play Console หากเคยให้ข้อมูลเข้าสู่ระบบไว้แล้วก่อนหน้านี้ โปรดตรวจสอบว่าข้อมูลดังกล่าวยังไม่หมดอายุ

ฟีเจอร์ในแอปไม่ตรงกับในประกาศ

หากประสบการณ์การใช้งานฟีเจอร์ในแอปไม่ตรงกับคำอธิบายฟีเจอร์ในประกาศ ให้อัปเดตคำอธิบายในแบบฟอร์มประกาศ เมื่ออธิบายเกี่ยวกับฟีเจอร์ที่ประกาศ ให้พยายามสื่อถึงประสบการณ์การใช้งานที่ใกล้เคียงมากที่สุดเพื่อให้เราสามารถยืนยันว่าฟีเจอร์ทำงานได้ตามที่อธิบาย จากนั้นให้ส่งแบบฟอร์มอีกครั้งผ่านบัญชี Google Play Console

วิธีนำตำแหน่งในเบื้องหลังออก

หากคุณพิจารณาแล้วว่าแอปไม่จำเป็นต้องใช้ตำแหน่งในเบื้องหลัง ให้ทำตามขั้นตอนต่างๆ ในส่วนนี้ให้เสร็จสมบูรณ์เพื่อนำการใช้งานในเบื้องหลังออกและเข้าถึงการปฏิบัติตามข้อกำหนด นอกจากนี้ คุณจะต้องส่งแอปเข้ารับการตรวจสอบหากมีการใช้สิทธิ์เข้าถึงตำแหน่งใน App Bundle หรือ APK ใดก็ตาม แม้จะไม่ใช่แทร็กเวอร์ชันที่ใช้งานจริง สำหรับข้อมูลของ App Bundle หรือ APK ที่ได้รับผลกระทบ โปรดไปที่เนื้อหาแอป (นโยบาย > เนื้อหาแอป > สิทธิ์ที่มีความละเอียดอ่อนของแอป > แสดงสรุป) ในบัญชี Google Play Console

หากก่อนหน้านี้คุณมี App Bundle หรือ APK ที่ไม่เป็นไปตามข้อกำหนด ซึ่งเข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหลัง ให้ตรวจสอบว่าไม่มีเวอร์ชันที่ไม่เป็นไปตามข้อกำหนดในรุ่นปัจจุบัน แม้ว่าคุณจะไม่ได้ใช้บางแทร็กก็ตาม 

  1. เปิด App Bundle Explorer (รุ่น > App Bundle Explorer) เพื่อตรวจสอบว่ามีการใช้งานเวอร์ชันใดอยู่หรือไม่
  2. เมื่อส่ง App Bundle หรือ APK ใหม่เพื่อให้มีผลแทน App Bundle หรือ APK ที่ไม่เป็นไปตามข้อกำหนดก่อนหน้า โปรดตรวจสอบว่า App Bundle หรือ APK ที่ไม่เป็นไปตามข้อกำหนดอยู่ในส่วน "ไม่รวมอยู่ด้วย" ก่อนเปิดตัวรุ่นใหม่ 
    1. ดูคำแนะนำเพิ่มเติมได้ที่ส่วน "ไม่รวมอยู่ด้วย" ในบทความเตรียมพร้อมและเปิดตัวรุ่น 
  3. ตรวจดูว่ารุ่นใหม่ที่เป็นไปตามข้อกำหนดเปิดตัวแล้ว 100% และปิดใช้งาน App Bundle หรือ APK ที่ไม่เป็นไปตามข้อกำหนดโดยสมบูรณ์ 

หากยังคงพบปัญหาหลังจากตรวจสอบเส้นทางโค้ดและจำกัดให้ใช้งานเบื้องหน้าเท่านั้น โปรดตรวจสอบ SDK ของบุคคลที่สามที่ใช้ในแอปของคุณ ซึ่งอาจเข้าถึงตำแหน่งในเบื้องหลัง

กรณีที่ควรอัปเดตการอนุมัติสิทธิ์เข้าถึงตำแหน่งของแอป

คุณมีหน้าที่รับผิดชอบในการดูแลให้แอปได้รับอนุมัติให้ใช้ตำแหน่งในเบื้องหลังและปฏิบัติตามข้อกำหนดต่อไปในทุกเวอร์ชันที่ส่งในอนาคต การอัปเดตแอปจะได้รับการตรวจสอบตามนโยบายของ Google Play การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในแอปอาจส่งผลต่อการอนุมัติแอปให้ใช้ตําแหน่งในเบื้องหลังและทำให้ต้องมีการตรวจสอบเพิ่มเติม 

หากมีการเปลี่ยนแปลงในฟีเจอร์ของแอปที่ใช้ตำแหน่งในเบื้องหลัง โปรดส่งแบบฟอร์มประกาศใหม่และเราจะตรวจสอบแอปของคุณให้ตามข้อมูลที่ได้รับ  

ปัญหาเกี่ยวกับ APK เก่าที่ใช้สิทธิ์เข้าถึงตำแหน่ง

หากมี APK เก่าที่มีสิทธิ์เข้าถึงตำแหน่งและเปลี่ยนแปลงโค้ดใน APK ดังกล่าวไม่ได้แล้ว คุณสมัครขอยกเว้นการปฏิบัติตามนโยบายได้

คุณต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดต่อไปนี้ทั้งหมดเพื่อให้มีสิทธิ์รับข้อยกเว้น

  • คุณต้องประกาศ APK ที่ต้องการรับข้อยกเว้น
  • APK ที่จะขอข้อยกเว้นต้องเผยแพร่ก่อนวันที่ 1 มกราคม 2019
  • คุณต้องมี APK ทางเลือกที่แสดงต่อผู้ใช้ใน Android Oreo (API ระดับ 26) ขึ้นไป และ APK ทางเลือกเหล่านี้ต้องเป็นไปตามนโยบายสิทธิ์เข้าถึงตำแหน่ง
  • APK ที่ขอรับข้อยกเว้นจะต้องเป็นเปอร์เซ็นต์ที่น้อยมาก (ไม่เกินเลขหลักเดียวที่มีค่าต่ำ) จากฐานผู้ใช้งานทั้งหมดของคุณ

Google Play จะตรวจสอบคำขอและให้สิทธิ์รับข้อยกเว้นแยกเป็นรายกรณี หรือคุณอาจเลือกไม่เผยแพร่ APK ที่ละเมิดเพื่อเป็นการปฏิบัติตามนโยบายสิทธิ์เข้าถึงตำแหน่งก็ได้

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ข้อมูลนี้มีประโยชน์ไหม

เราจะปรับปรุงได้อย่างไร

หากต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติม

ลองทำตามขั้นตอนต่อไปนี้

ค้นหา
ล้างการค้นหา
ปิดการค้นหา
เมนูหลัก
12158705529637551437
true
ค้นหาศูนย์ช่วยเหลือ
true
true
true
true
true
92637
false
false