บทความนี้มีไว้สำหรับบ้านที่ใช้แอป Home (กิจวัตร "อยู่บ้าน" และ "ไม่อยู่บ้าน") หรือแอป Nest (ตัวช่วยเปลี่ยนโหมดอยู่บ้าน/ไม่อยู่บ้าน) เพื่อเปลี่ยนอุปกรณ์ระหว่างโหมด "อยู่บ้าน" กับ "ไม่อยู่บ้าน" โดยอัตโนมัติเมื่อมีคนออกจากบ้านและกลับถึงบ้าน
ขั้นตอนการแก้ปัญหาบางส่วนสำหรับกรณีที่บ้านหรือผลิตภัณฑ์บางอย่างในบ้านไม่เปลี่ยนลักษณะการทำงานโดยอัตโนมัติตามที่คุณคาดไว้มีดังนี้
เคล็ดลับในการแก้ปัญหาทั่วไป
ตรวจสอบตำแหน่งของคุณ
บ้านจะไม่เปลี่ยนเป็นโหมด "ไม่อยู่บ้าน" ทันทีที่คุณเดินออกจากประตู ดังนั้น คุณอาจต้องอยู่ห่างจากตัวบ้านออกไปอีกหน่อยเพื่อให้บ้านเปลี่ยนเป็นโหมด "ไม่อยู่บ้าน"
ตัวอย่างเช่น หากแค่เดินไปหาเพื่อนบ้านข้างๆ บ้านอาจไม่เปลี่ยนเป็นโหมด "ไม่อยู่บ้าน" โดยอัตโนมัติ
อย่าแชร์ข้อมูลเข้าสู่ระบบบัญชีของคุณ
อย่าแชร์อีเมลและรหัสผ่านกับผู้อื่นที่เข้าถึงบ้านของคุณได้ แต่คุณควรเชิญผู้อื่นเพื่อแชร์การเข้าถึงด้วยอีเมลและรหัสผ่านของบุคคลเหล่านั้นแทน บ้านและผลิตภัณฑ์ Nest อาจทำงานผิดไปจากปกติในกรณีที่มีคนมากกว่า 1 คนใช้ข้อมูลเข้าสู่ระบบเดียวกันในการลงชื่อเข้าใช้แอป
สัตว์เลี้ยงอาจส่งผลต่อการเปลี่ยนโหมดของบ้านได้ด้วย
บ้านส่วนใหญ่ที่ใช้ตัวควบคุมอุณหภูมิ Nest จะไม่มีปัญหาเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงที่ทำให้บ้านไม่เปลี่ยนเป็นโหมด "ไม่อยู่บ้าน" เนื่องจากตัวควบคุมอุณหภูมิมักจะติดตั้งบนผนังบ้านในตำแหน่งที่สูงจนทำให้เซ็นเซอร์ของตัวควบคุมอุณหภูมิ Nest ตรวจจับสัตว์เลี้ยงไม่ได้ แต่หากสัตว์เลี้ยงกระโดด ปีน หรือบินได้ ตัวควบคุมอุณหภูมิอาจตรวจจับได้และคิดว่าคุณยังอยู่ในบ้าน
เซ็นเซอร์ของ Nest Protect มักจะตรวจจับการเคลื่อนไหวจากสุนัขและสัตว์เลี้ยงประเภทอื่นๆ ได้ ดังนั้น เมื่อไม่มีใครอยู่บ้านแล้ว เพื่อนรักขนปุยของคุณจึงอาจทำให้บ้านไม่เปลี่ยนเป็นโหมด "ไม่อยู่บ้าน"
หากคิดว่าอุปกรณ์กำลังตรวจจับสัตว์เลี้ยง คุณปิดใช้การตรวจหาบุคคลในบ้านด้วยอุปกรณ์ดังกล่าวได้ อ่านวิธีการโดยละเอียดได้จากบทความต่อไปนี้
ตรวจสอบพลังงาน การตั้งค่า และความแรงของสัญญาณโทรศัพท์
- ตรวจสอบว่าเปิดใช้อินเทอร์เน็ตมือถือและ Wi-Fi อยู่
- หมายเหตุ: บ้านของคุณแทบจะไม่ต้องใช้ข้อมูล GPS เพื่อระบุว่าคุณออกจากบ้านหรือกลับถึงบ้านพร้อมกับโทรศัพท์หรือไม่ แต่จะใช้ข้อมูล GPS เพื่อซิงค์ตำแหน่งของโทรศัพท์เฉพาะในกรณีที่ไม่มีการเชื่อมต่อกันเป็นเวลา 2 วัน วิธีนี้จะไม่ติดตามตำแหน่งของคุณอย่างต่อเนื่องและออกแบบมาให้ใช้แบตเตอรี่ของโทรศัพท์น้อยที่สุด
- ตรวจสอบว่าโทรศัพท์ไม่ได้อยู่ในโหมดบนเครื่องบิน
- หากโทรศัพท์เหลือแบตเตอรี่น้อยมาก ระบบอาจปิดใช้อินเทอร์เน็ตมือถือและ Wi-Fi โดยอัตโนมัติเพื่อเก็บแบตเตอรี่ไว้ ให้เสียบโทรศัพท์เข้ากับที่ชาร์จ
- หากคุณอยู่ในบริเวณที่มีสัญญาณมือถือไม่ดี ระบบอาจไม่รู้ว่าคุณออกจากบ้านไปแล้ว แต่จะเปลี่ยนเป็นโหมด "ไม่อยู่บ้าน" เมื่อมือถือมีสัญญาณดีขึ้น
- ตรวจสอบการแจ้งเตือนและสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลของแอป Home หรือแอป Nest ในการตั้งค่าระบบปฏิบัติการของโทรศัพท์ ตามปกติแล้วเมนูการตั้งค่าของโทรศัพท์จะมีรายการแอปทั้งหมดที่ติดตั้งไว้ ให้เลือกแอป Home หรือแอป Nest จากรายการดังกล่าวและตรวจสอบว่าแอปสามารถใช้อินเทอร์เน็ตมือถือ, Wi-Fi และข้อมูล GPS รวมถึงส่งการแจ้งเตือนได้
แก้ปัญหาเกี่ยวกับตำแหน่งของโทรศัพท์
การตั้งค่าของโทรศัพท์อาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของบ้านในการเปลี่ยนไปมาระหว่างโหมด "อยู่บ้าน" กับ "ไม่อยู่บ้าน" ตัวอย่างเช่น หาก Wi-Fi ของโทรศัพท์ปิดอยู่ บ้านอาจบอกไม่ได้ว่าคุณออกจากบ้านไปพร้อมกับโทรศัพท์เมื่อใด
ตรวจสอบกิจกรรม "อยู่บ้าน" และ "ไม่อยู่บ้าน" ในประวัติ
การตรวจสอบในแอปจะบอกคุณได้ว่าบ้านเปลี่ยนเป็นโหมด "อยู่บ้าน" และ "ไม่อยู่บ้าน" เมื่อใดและเพราะอะไร ตลอดจนให้คำแนะนำเกี่ยวกับปัญหาที่ต้องแก้
ประวัติของบ้านในแอป Home
- ในหน้าจอหลัก ให้ไปที่กิจกรรม เหตุการณ์ล่าสุด ไปที่ประวัติ จากนั้นมองหาเหตุการณ์ "'อยู่บ้าน' และ 'ไม่อยู่บ้าน'"
- แตะวันเพื่อดูเหตุการณ์การเคลื่อนไหวที่ทำให้เปลี่ยนเป็นโหมด "อยู่บ้าน" หรือ "ไม่อยู่บ้าน" ในวันดังกล่าว
- ตรวจสอบเวลาต่างๆ ที่คุณคิดว่าบ้านเปลี่ยนโหมดไม่ถูกต้อง
- ตัวอย่างเช่น คุณอาจเห็น "เปลี่ยนเป็น 'อยู่บ้าน' • ตำแหน่งของโทรศัพท์ 9:35 น." ซึ่งหมายความว่าบ้านเปลี่ยนออกจากโหมด "ไม่อยู่บ้าน" โดยอัตโนมัติเนื่องจากมีคนกลับถึงบ้านมาพร้อมกับโทรศัพท์ของตน
- เมื่อทราบถึงสาเหตุที่ทำให้บ้านเปลี่ยนโหมดไม่ถูกต้องแล้ว คุณจะพยายามป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีกในอนาคตได้
- ตัวอย่างเช่น คุณอาจย้ายตำแหน่งของอุปกรณ์ที่ตรวจจับกิจกรรมได้มากเกินไป หรือปิดการตรวจจับการเคลื่อนไหวของอุปกรณ์นั้นโดยใช้แอป
ประวัติกิจกรรมในแอป Nest
- ไปที่การตั้งค่า ตัวช่วยเปลี่ยนโหมดอยู่บ้าน/ไม่อยู่บ้าน จากนั้นเลื่อนลงไปด้านล่างแล้วเลือกประวัติกิจกรรม
- ประวัติกิจกรรมจะแสดงข้อมูลในช่วง 10 วันที่ผ่านมา แตะวันเพื่อดูเหตุการณ์การเคลื่อนไหวที่ทำให้เปลี่ยนเป็นโหมด "อยู่บ้าน" หรือ "ไม่อยู่บ้าน" ในวันดังกล่าว
- ตรวจสอบเวลาต่างๆ ที่คุณคิดว่าบ้านเปลี่ยนโหมดไม่ถูกต้อง
- ตัวอย่างเช่น คุณอาจเห็น "อยู่บ้าน: การเคลื่อนไหวในบ้าน ตัวควบคุมอุณหภูมิในห้องนั่งเล่น 19:30 น." ซึ่งหมายความว่าบ้านเปลี่ยนออกจากโหมด "ไม่อยู่บ้าน" โดยอัตโนมัติเนื่องจากตัวควบคุมอุณหภูมิตรวจจับการเคลื่อนไหวได้
- เมื่อทราบถึงสาเหตุที่ทำให้บ้านเปลี่ยนโหมดไม่ถูกต้องแล้ว คุณจะพยายามป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีกในอนาคตได้
- ตัวอย่างเช่น คุณอาจย้ายตำแหน่งของผลิตภัณฑ์ที่ตรวจจับกิจกรรมได้มากเกินไป หรือปิดการตรวจจับการเคลื่อนไหวของผลิตภัณฑ์นั้นโดยใช้แอป
บ้านของคุณ
บ้านเปลี่ยนเป็นโหมด "อยู่บ้าน" เมื่อควรจะเป็นโหมด "ไม่อยู่บ้าน"
บ้านจะเปลี่ยนเป็นโหมด "อยู่บ้าน" โดยอัตโนมัติทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์ต่อไปนี้
- ผลิตภัณฑ์ Google Nest ตรวจพบการเคลื่อนไหว
- โทรศัพท์ที่ตั้งค่าให้ช่วยกิจวัตร "อยู่บ้าน" และ "ไม่อยู่บ้าน" หรือตัวช่วยเปลี่ยนโหมดอยู่บ้าน/ไม่อยู่บ้านเข้ามาในบ้าน
ดังนั้น หากมีคนเข้ามาในบ้านของคุณ บ้านจะเปลี่ยนเป็นโหมด "อยู่บ้าน" อย่างรวดเร็ว
บ้านอาจเปลี่ยนกลับไปเป็นโหมด "อยู่บ้าน" อย่างไม่คาดคิด หากผลิตภัณฑ์ Nest ตรวจจับการเดินอยู่ในบ้านของสัตว์เลี้ยงหรือสิ่งใดก็ตามที่เคลื่อนไหวพร้อมปล่อยความร้อนออกมา
บ้านอาจเปลี่ยนเป็นโหมด "อยู่บ้าน" ล่วงหน้าเล็กน้อยด้วยเพื่อเตรียมพร้อมให้คุณเมื่อกลับถึงบ้าน คุณจึงอาจสังเกตเห็นว่าบ้านเปลี่ยนเป็นโหมด "อยู่บ้าน" ก่อนที่คุณจะเดินเข้าประตูมา บ้านจะเปลี่ยนโหมดล่วงหน้าเร็วเท่าใดนั้นขึ้นอยู่กับสัญญาณมือถือและการเชื่อมต่อ Wi-Fi ของโทรศัพท์ ซึ่งส่งผลต่อความแม่นยำของตำแหน่งของคุณ
วิธีแก้ไขด่วน
วิธีแก้ไขด่วนคือ ให้เปลี่ยนบ้านเป็นโหมด "ไม่อยู่บ้าน" ด้วยตนเองในแอป Home หรือแอป Nest บ้านจะเปลี่ยนกลับเป็นโหมด "อยู่บ้าน" หากมีการเคลื่อนไหวหรือโทรศัพท์ที่มีส่วนร่วมกลับถึงบ้าน
แก้ปัญหาที่เกิดซ้ำ
- หากต้องการดูว่าทำไมบ้านจึงตั้งค่าเป็นโหมด "อยู่บ้าน" และรับคำแนะนำเกี่ยวกับปัญหาที่ต้องแก้ ให้ตรวจสอบประวัติกิจกรรมในแอป Home หรือแอป Nest
- ในแอป Nest ให้ไปที่การตั้งค่า ตัวช่วยเปลี่ยนโหมดอยู่บ้าน/ไม่อยู่บ้าน จากนั้นเลื่อนลงไปด้านล่างแล้วเลือกประวัติกิจกรรม
- ในแอป Home ให้ไปที่กิจกรรม ไปที่ประวัติและตัวกรองเพื่อรวมเฉพาะเหตุการณ์การตรวจหาบุคคลในบ้าน จากนั้นตรวจสอบเหตุการณ์การตรวจหาบุคคลในบ้าน
- หากมีสัตว์เลี้ยง ให้ลองนำอุปกรณ์ Nest ในห้องที่สัตว์เลี้ยงมักใช้เวลาอยู่บ่อยๆ ออกจากรายการอุปกรณ์ที่ช่วยในการตรวจหาบุคคลในบ้านโดยไปที่การตั้งค่า
- หากใช้ตัวควบคุมอุณหภูมิ Nest ให้ย้ายตำแหน่งเครื่องทำความร้อนออกจากมุมมองของตัวควบคุมอุณหภูมิ หากไม่สามารถย้ายเครื่องทำความร้อนที่ตัวควบคุมอุณหภูมิอาจตรวจจับได้ ให้ลองนำตัวควบคุมอุณหภูมิออกจากรายการอุปกรณ์ที่ช่วยในการตรวจหาบุคคลในบ้านโดยไปที่การตั้งค่า
- ตรวจสอบการตั้งค่าตำแหน่งของโทรศัพท์ Android
- ตรวจสอบในแอป Home หรือแอป Nest ว่าตำแหน่งของบ้านถูกต้องแล้ว
บ้านไม่เปลี่ยนเป็นโหมด "ไม่อยู่บ้าน" โดยอัตโนมัติตามที่คาดไว้
บ้านจะไม่เปลี่ยนเป็นโหมด "ไม่อยู่บ้าน" โดยอัตโนมัติทันทีที่คุณเดินออกจากประตู ซึ่งเป็นเพราะแอปไม่ได้ติดตามตำแหน่งที่แน่นอนของคุณอยู่ตลอดเวลา
แต่จะตรวจสอบว่าคุณอยู่บ้านหรือไม่แทน และคุณจะต้องอยู่ห่างจากบ้านประมาณหนึ่งก่อนที่บ้านจะเปลี่ยนเป็นโหมด "ไม่อยู่บ้าน" ดังนั้น หากเดินไปหาเพื่อนบ้านข้างๆ บ้านของคุณก็อาจจะไม่เปลี่ยนเป็นโหมด "ไม่อยู่บ้าน"
หากสัญญาณมือถือและ/หรือ Wi-Fi ไม่แรงพอในบริเวณตำแหน่งของบ้าน Nest อาจไม่รู้ว่าคุณออกจากบ้านแล้วจนกว่าโทรศัพท์จะมีการเชื่อมต่อที่ดี
วิธีแก้ปัญหา
- ไปที่ประวัติของบ้านเพื่อตรวจสอบว่าบ้านรายงานว่าคุณ "อยู่บ้าน" หรือ "ไม่อยู่บ้าน" หรือไม่
- ในแอป Nest ให้ไปที่การตั้งค่า ตัวช่วยเปลี่ยนโหมดอยู่บ้าน/ไม่อยู่บ้าน จากนั้นเลื่อนลงไปด้านล่างแล้วเลือกประวัติกิจกรรม
- ในแอป Home ให้ไปที่กิจกรรม ไปที่ประวัติ
- ตรวจสอบว่าไม่มีคน (หรือโทรศัพท์ของบุคคลเหล่านั้น) ที่ยังอยู่ในบ้าน หากยังมีคนหรือโทรศัพท์ของบุคคลเหล่านั้นอยู่ในบ้าน จะทำให้บ้านไม่เปลี่ยนเป็นโหมด "ไม่อยู่บ้าน"
- หากคุณใช้ Nest Protect และมีสัตว์เลี้ยง Protect อาจสังเกตเห็นสัตว์เลี้ยงและทำให้บ้านไม่เปลี่ยนโหมด หากเป็นเช่นนั้น ให้นำ Protect ออกจากรายการอุปกรณ์ที่ช่วยในการตรวจหาบุคคลในบ้าน
- แก้ปัญหาที่เป็นไปได้เกี่ยวกับตำแหน่งของโทรศัพท์ หากมีผู้อื่นใช้แอป Nest เพื่อเข้าถึงบ้านร่วมกัน บุคคลดังกล่าวควรตรวจสอบในแอปด้วยว่าตำแหน่งโทรศัพท์ของตนถูกต้องแล้ว
- ตรวจสอบในแอป Home หรือแอป Nest ว่าตำแหน่งของบ้านถูกต้องแล้ว
ตัวควบคุมอุณหภูมิ Nest
หากเพิ่งติดตั้งตัวควบคุมอุณหภูมิ Nest
ตัวควบคุมอุณหภูมิ Nest ต้องใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์จึงจะเรียนรู้เกี่ยวกับบ้านและกำหนดเวลาประจำวันตามปกติของคุณ
ขณะที่กำลังเรียนรู้ ตัวควบคุมอุณหภูมิจะใช้ตำแหน่งของโทรศัพท์และการเคลื่อนไหวที่ตรวจจับได้จากผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในการเปลี่ยนเป็นอุณหภูมิในโหมดอีโคโดยอัตโนมัติ
ระบบจะไม่ใช้เซ็นเซอร์ของตัวควบคุมอุณหภูมิเพื่อเปลี่ยนบ้านเป็นโหมด "อยู่บ้าน" หรือ "ไม่อยู่บ้าน" โดยอัตโนมัติ ระหว่างระยะเวลาเรียนรู้
หลังจากเรียนรู้ไปได้หลายวัน ตัวควบคุมอุณหภูมิจะใช้ข้อมูลเซ็นเซอร์ของตัวเองเพื่อช่วยระบุว่าคุณอยู่บ้านหรือไม่และจะเปลี่ยนเป็นอุณหภูมิในโหมดอีโคเมื่อใด คุณจึงอาจสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในช่วงเวลาของการเปลี่ยนเป็นอุณหภูมิในโหมดอีโค
บ้านอยู่ในโหมด "ไม่อยู่บ้าน" แต่ตัวควบคุมอุณหภูมิไม่เปลี่ยนเป็นอุณหภูมิในโหมดอีโค
วิธีแก้ปัญหา
- ตรวจสอบว่าได้ตั้งค่าให้ตัวควบคุมอุณหภูมิเปลี่ยนเป็นอุณหภูมิในโหมดอีโคโดยอัตโนมัติ
- หากต้องการให้ตัวควบคุมอุณหภูมิเปลี่ยนเป็นอุณหภูมิในโหมดอีโคทันที ให้เปลี่ยนตัวควบคุมอุณหภูมิเป็นอุณหภูมิในโหมดอีโคด้วยตนเอง ตัวควบคุมอุณหภูมิจะใช้อุณหภูมิในโหมดอีโคต่อไปจนกว่าคุณจะเปลี่ยนเป็นโหมดทำความร้อนหรือทำความเย็นด้วยตนเอง
ตัวควบคุมอุณหภูมิไม่ใช้อุณหภูมิในโหมดอีโคขณะที่มีการตั้งค่าบ้านของคุณเป็นโหมด "ไม่อยู่บ้าน"
หากตัวควบคุมอุณหภูมิเปลี่ยนเป็นอุณหภูมิในโหมดอีโคโดยอัตโนมัติเมื่อบ้านอยู่ในโหมด "ไม่อยู่บ้าน" แต่ปิดอุณหภูมิในโหมดอีโคโดยไม่คาดคิดขณะที่คุณยังกลับไม่ถึงบ้าน อาจเป็นเพราะสาเหตุต่อไปนี้
- คุณหรือคนที่มีสิทธิ์เข้าถึงร่วมกันได้เปลี่ยนอุณหภูมิด้วยตนเอง
- คุณหรือคนที่มีสิทธิ์เข้าถึงร่วมกันได้ปิดตัวเลือกที่กำหนดให้ตัวควบคุมอุณหภูมิเปลี่ยนเป็นอุณหภูมิในโหมดอีโคโดยอัตโนมัติ
วิธีแก้ปัญหา
- หากต้องการให้ตัวควบคุมอุณหภูมิใช้อุณหภูมิในโหมดอีโคต่อไป ให้ตั้งค่าตัวควบคุมอุณหภูมิเป็นอุณหภูมิในโหมดอีโคด้วยตนเอง ตัวควบคุมอุณหภูมิจะใช้อุณหภูมิในโหมดอีโคต่อไปจนกว่าคุณจะเปลี่ยนเป็นโหมดทำความร้อนหรือทำความเย็นด้วยตนเอง
- ไปที่ประวัติกิจกรรมเพื่อดูว่ามีคนอื่นในบ้านเปลี่ยนอุณหภูมิหรือไม่ การดำเนินการนี้อาจทำให้ตัวควบคุมอุณหภูมิออกจากอุณหภูมิในโหมดอีโค
- ตรวจสอบว่าตัวควบคุมอุณหภูมิไม่ได้ปิดใช้การเปลี่ยนเป็นอุณหภูมิในโหมดอีโคอัตโนมัติ
ตัวควบคุมอุณหภูมิไม่เปลี่ยนออกจากอุณหภูมิในโหมดอีโคเมื่อคุณกลับถึงบ้าน
หากคุณถึงบ้านแล้วและพบว่าสถานะของบ้านเปลี่ยนเป็นโหมด "อยู่บ้าน" แต่ตัวควบคุมอุณหภูมิยังอยู่ในโหมดอีโค อาจเป็นเพราะมีการตั้งค่าตัวควบคุมเป็นอุณหภูมิในโหมดอีโคด้วยตนเอง
วิธีแก้ปัญหา
ตั้งค่าตัวควบคุมอุณหภูมิเป็นโหมดทำความร้อนหรือทำความเย็นที่ต้องการ แล้วตัวควบคุมอุณหภูมิจะกลับไปเปลี่ยนโหมดโดยอัตโนมัติอีกครั้ง
กล้อง Nest และ Nest Doorbell
กล้องไม่เปิดหรือปิดตามที่คาดไว้
วิธีแก้ไขด่วน
วิธีแก้ไขด่วนคือ ให้ใช้แอปเพื่อปิดกล้องหรือกริ่งประตูด้วยตนเอง
แก้ปัญหาที่เกิดซ้ำ
-
เลือกระหว่างการกำหนดเวลาด้วยตนเองหรือการเปิดหรือปิดอัตโนมัติ อย่าใช้ทั้ง 2 อย่างนี้พร้อมกันเนื่องจากอาจทำให้เกิดลักษณะการทำงานที่ไม่คาดคิด ตรวจสอบการตั้งค่าของกล้องหรือกริ่งประตูในแต่ละลิงก์ด้านล่าง
หมายเหตุ: หากมีกล้องมากกว่า 1 ตัว คุณจะต้องเปลี่ยนการตั้งค่านี้สำหรับกล้องแต่ละตัวในบ้าน
เปลี่ยนกำหนดเวลาของกล้อง
วิธีการสำหรับแอป Home: เปลี่ยนการตั้งค่ากิจวัตร "อยู่บ้าน" และ "ไม่อยู่บ้าน"
วิธีการสำหรับแอป Nest: เปลี่ยนการตั้งค่าตัวช่วยเปลี่ยนโหมดอยู่บ้าน/ไม่อยู่บ้าน -
ตรวจสอบในแอปว่าตำแหน่งปัจจุบันของคุณถูกต้อง ตัวอย่างเช่น หากคุณและทุกคนในบ้านออกจากบ้านไปแล้ว แอปควรระบุว่าบ้านตั้งค่าเป็นโหมด "ไม่อยู่บ้าน"
- ในแอป Home ให้แตะการตั้งค่า ข้อมูลบ้าน ที่อยู่บ้าน จากนั้นยืนยันว่าข้อมูลถูกต้อง หากต้องการเปลี่ยนที่อยู่ ให้แตะที่อยู่ปัจจุบันแล้วป้อนที่อยู่ใหม่
- ในแอป Nest ให้ไปที่การตั้งค่า ข้อมูลบ้าน ข้าง "ที่อยู่" ให้ยืนยันว่าข้อมูลถูกต้องแล้ว หากต้องการเปลี่ยนที่อยู่ ให้แตะที่อยู่
- หากมีผู้อื่นที่มีสิทธิ์เข้าถึงบ้านและควบคุมอุปกรณ์ร่วมกัน บุคคลดังกล่าวควรตรวจสอบในแอปด้วยว่าตำแหน่งโทรศัพท์ของตนเองถูกต้องแล้ว
- ไปที่การตั้งค่าเพื่อตรวจสอบว่ากล้องไม่ได้ปิดใช้การเปลี่ยนไปมาระหว่างโหมด "อยู่บ้าน" กับ "ไม่อยู่บ้าน" โดยอัตโนมัติเมื่อคุณออกจากบ้านและกลับถึงบ้าน
- หากต้องการตรวจสอบการตั้งค่ากิจวัตร "อยู่บ้าน" และ "ไม่อยู่บ้าน" ของกล้อง ให้เปิดแอป Home แตะกิจวัตร กิจวัตร "อยู่บ้าน" หรือกิจวัตร "ไม่อยู่บ้าน" จากนั้น ตรวจสอบว่ามีการทำงานของอุปกรณ์สำหรับกล้องของคุณแสดงอยู่ในรายการ
- หากต้องการตรวจสอบการตั้งค่าตัวช่วยเปลี่ยนโหมดอยู่บ้าน/ไม่อยู่บ้านของกล้อง ให้เปิดแอป Nest แตะการตั้งค่า ตัวช่วยเปลี่ยนโหมดอยู่บ้าน/ไม่อยู่บ้าน อยู่บ้านหรือไม่อยู่บ้าน กล้องของคุณ จากนั้นให้ตรวจสอบว่าการเปลี่ยนโหมดอัตโนมัติเปิดอยู่
-
กล้องจะเปิดหรือปิดโดยอัตโนมัติตามตำแหน่งของโทรศัพท์เท่านั้น ดังนั้น ตำแหน่งที่ไม่แม่นยำของโทรศัพท์อาจส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนโหมดอัตโนมัติเมื่อคุณออกจากบ้านหรือกลับถึงบ้าน ให้ลองทำตามขั้นตอนแก้ปัญหาสำหรับตำแหน่งของโทรศัพท์ Android
-
โปรดดูเคล็ดลับในการแก้ปัญหาทั่วไปหากต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติมเกี่ยวกับขั้นตอนอื่นๆ ที่คุณจะลองทำได้
สิ่งอื่นๆ ที่ควรตรวจสอบ
ใช้โทรศัพท์เพียงเครื่องเดียวในการตรวจหาบุคคลในบ้าน
สมาชิกแต่ละคนที่แชร์สิทธิ์เข้าถึงบ้านด้วยแอปควรมีโทรศัพท์เพียงเครื่องเดียวที่เปิดใช้การตรวจหาบุคคลในบ้าน การใช้อุปกรณ์มากกว่า 1 เครื่องในการตรวจหาบุคคลในบ้าน อาจทำให้การเปลี่ยนไปมาระหว่างโหมด "อยู่บ้าน" กับ "ไม่อยู่บ้าน" ไม่ทำงานตามที่คาดไว้
ตัวอย่างเช่น หากคุณมีโทรศัพท์ 2 เครื่อง (ที่ทำงานและส่วนตัว) และเป็นคนสุดท้ายที่ออกจากบ้านไปพร้อมกับโทรศัพท์ส่วนตัว แต่ไม่ได้นำโทรศัพท์ที่ทำงานติดตัวไปด้วย บ้านจะคิดว่าคุณยังอยู่ที่บ้านและจะไม่เปลี่ยนเป็นโหมด "ไม่อยู่บ้าน"
แอป Home
- เปิดแอป Google Home
- แตะการตั้งค่า การตรวจหาบุคคลในบ้าน
- เลือกอุปกรณ์ที่ต้องการใช้สำหรับการตรวจหาบุคคลในบ้าน อุปกรณ์เหล่านี้จะช่วยระบุว่ามีหรือไม่มีคนอยู่บ้าน
แอป Nest
หากใช้แอป Nest ด้วย คุณควรตรวจสอบการตั้งค่าตัวช่วยเปลี่ยนโหมดอยู่บ้าน/ไม่อยู่บ้านเช่นกัน
ตรวจสอบว่าคนอื่นไม่ได้เปลี่ยนการตั้งค่า
ทุกคนที่คุณเชิญให้ร่วมควบคุมบ้านจะเปลี่ยนการตั้งค่าต่อไปนี้ได้ด้วย
- เปิดหรือปิดการใช้ตำแหน่งของโทรศัพท์เพื่อช่วยให้บ้านเปลี่ยนโหมดโดยอัตโนมัติ
- เลือกอุปกรณ์ที่เปลี่ยนโหมดอัตโนมัติได้เมื่อคุณออกจากบ้านหรือกลับถึงบ้าน
- เปิดหรือปิดใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวของอุปกรณ์ที่ต้องการ
การเปลี่ยนแปลงในฟีเจอร์ต่างๆ ที่ใช้การตรวจหาบุคคลในบ้านอาจส่งผลกระทบต่อฟีเจอร์อื่นๆ ที่ต้องใช้การตรวจหาบุคคลในบ้าน ตัวอย่างเช่น การปิดการตรวจหาบุคคลในบ้านด้วยฟีเจอร์ "ส่งเสียงเมื่ออยู่บ้านเท่านั้น" ยังส่งผลกระทบต่อตัวช่วยเปลี่ยนโหมดอยู่บ้าน/ไม่อยู่บ้านด้วย หรือหากบ้านที่ใช้กิจวัตร "อยู่บ้าน" และ "ไม่อยู่บ้าน" ปิดการตรวจหาบุคคลในบ้านของโทรศัพท์ ฟีเจอร์ "ส่งเสียงเมื่ออยู่บ้านเท่านั้น" ก็จะไม่ทำงานอีกต่อไป
ตรวจสอบการตั้งค่าเหล่านี้ในแอปเพื่อให้แน่ใจว่าตั้งค่าไว้ตามที่คุณต้องการ หากมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ให้บอกคนอื่นที่คุณเชิญเข้าบ้านว่าอย่าเปลี่ยนการตั้งค่าใดๆ
การตั้งค่ากิจวัตร "อยู่บ้าน" และ "ไม่อยู่บ้าน"
การตั้งค่าตัวช่วยเปลี่ยนโหมดอยู่บ้าน/ไม่อยู่บ้าน
ตรวจสอบว่าผลิตภัณฑ์ Nest มีไฟและเชื่อมต่อ Wi-Fi อยู่
หากผลิตภัณฑ์ Nest อย่างน้อย 1 รายการแสดงเป็น "ออฟไลน์" หรือไม่ได้เชื่อมต่อ Wi-Fi อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อบ้านเปลี่ยนไปมาระหว่างโหมด "อยู่บ้าน" กับ "ไม่อยู่บ้าน"
- ผลิตภัณฑ์ Nest อย่างน้อย 1 รายการอาจไม่มีกระแสไฟเข้า ให้ตรวจสอบว่าผลิตภัณฑ์เสียบปลั๊กและชาร์จอยู่
- หากผลิตภัณฑ์ Nest บางรายการหรือทั้งหมดยังแสดงเป็น "ออฟไลน์" โปรดแก้ปัญหาโดยดูวิธีจากบทความแก้ปัญหา Wi-Fi และการเชื่อมต่อสำหรับผลิตภัณฑ์ Nest
ตรวจสอบว่าตำแหน่งของบ้านถูกต้อง
ตำแหน่งบ้านที่ไม่ถูกต้องอาจส่งผลต่อความแม่นยำและช่วงเวลาของการเปลี่ยนไปมาอัตโนมัติระหว่างโหมด "อยู่บ้าน" กับ "ไม่อยู่บ้าน" หากบ้านไม่เปลี่ยนเป็นโหมด "อยู่บ้าน" ตามที่คาดไว้ ให้ตรวจสอบในแอปว่าตำแหน่งของบ้านถูกต้องแล้ว
ในแอป Home
เปลี่ยนที่อยู่
- แตะ "การตั้งค่า"
- เลือกข้อมูลบ้าน
- แตะที่อยู่บ้าน
ในแอป Nest
- ในหน้าจอหลัก ให้แตะ "การตั้งค่า"
- เลือกข้อมูลบ้าน
- แตะที่อยู่
- แตะเพื่อแก้ไขที่อยู่ปัจจุบันหากต้องการ แล้วแตะถัดไป
- จากนั้นคุณสามารถลากแผนที่เพื่อย้ายหมุดที่ทำเครื่องหมายตำแหน่งของบ้าน
สิ่งที่ควรทราบเกี่ยวกับลักษณะการทำงานของการตรวจหาบุคคลในบ้านด้วยผลิตภัณฑ์ Nest
ข้อมูลเบื้องต้น
- การตรวจหาบุคคลในบ้านใช้ตำแหน่งของโทรศัพท์และเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวในการดูว่าคุณออกจากบ้านหรือกลับถึงบ้านเมื่อใด เพื่อให้อุปกรณ์ที่เชื่อมต่อเปลี่ยนเป็นโหมด "อยู่บ้าน" หรือ "ไม่อยู่บ้าน" ได้โดยอัตโนมัติ คุณตั้งค่ากิจวัตร "อยู่บ้าน" และ "ไม่อยู่บ้าน" ได้ในแอป Home หรือตัวช่วยเปลี่ยนโหมดอยู่บ้าน/ไม่อยู่บ้านในแอป Nest
- การตรวจหาบุคคลในบ้านจะใช้เฉพาะตำแหน่งของโทรศัพท์หากคุณให้สิทธิ์แอปในการใช้ตำแหน่ง หากเปลี่ยนใจ คุณสามารถปิดหรือเปิดการเข้าถึงตำแหน่งของโทรศัพท์ได้ในการตั้งค่าแอป
- คุณตั้งค่าตำแหน่งปัจจุบันเป็น "อยู่บ้าน" หรือ "ไม่อยู่บ้าน" ด้วยตนเองได้ในแอป Home ในส่วนการตั้งค่า การตรวจหาบุคคลในบ้าน
- คุณปิดใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวของอุปกรณ์ Nest ที่ต้องการได้ทุกเมื่อในการตั้งค่า หากปิดใช้อุปกรณ์ทั้งหมดในบ้านที่เชื่อมต่อไม่ให้ช่วยในการตรวจหาบุคคลในบ้าน อุปกรณ์อาจใช้เฉพาะตำแหน่งของโทรศัพท์เพื่อเปลี่ยนโหมดโดยอัตโนมัติเมื่อคุณออกจากบ้านและกลับถึงบ้าน
ลักษณะการทำงานของบ้าน
- ตำแหน่งของโทรศัพท์จะไม่ลบล้างเซ็นเซอร์ของผลิตภัณฑ์ Nest ดังนั้น หากตัวควบคุมอุณหภูมิ Nest หรือ Protect ตรวจพบการเคลื่อนไหว บ้านของคุณจะเปลี่ยนออกจากโหมด "ไม่อยู่บ้าน" เป็นโหมด "อยู่บ้าน" แม้ว่าโทรศัพท์จะไม่ได้อยู่ที่บ้าน
- การเปลี่ยนเป็นโหมด "อยู่บ้าน" หรือ "ไม่อยู่บ้าน" โดยอัตโนมัติจะลบล้างการเปลี่ยนด้วยตนเองได้ ดังนั้น แม้ว่าคุณจะตั้งค่าบ้านเป็นโหมดใดโหมดหนึ่งด้วยตนเอง บ้านก็จะเปลี่ยนโหมดหลังจากที่ทุกคนออกจากบ้านหรือเมื่อมีคนกลับถึงบ้าน
- ระยะเวลาที่ใช้ในการตั้งค่าผลิตภัณฑ์ Nest โดยอัตโนมัติเมื่อคุณออกจากบ้านและกลับถึงบ้านอาจแตกต่างกันไป ความล่าช้าจะขึ้นอยู่กับความสม่ำเสมอในการออกจากบ้านและกลับถึงบ้านของคุณและสมาชิกคนอื่นในครอบครัว ตัวอย่างเช่น หากคุณมีกำหนดเวลาประจำวันที่สม่ำเสมอ ความล่าช้าจะสั้นลง
ลักษณะการทำงานของตัวควบคุมอุณหภูมิ Nest
- หากคุณตั้งค่าบ้านเป็นโหมด "ไม่อยู่บ้าน" ด้วยตนเอง ตัวควบคุมอุณหภูมิจะเปลี่ยนเป็นอุณหภูมิในโหมดอีโคโดยอัตโนมัติ เมื่อมีคนกลับถึงบ้านและบ้านเปลี่ยนเป็นโหมด "อยู่บ้าน" ตัวควบคุมอุณหภูมิจะเปลี่ยนกลับไปเป็นโหมดทำความร้อนหรือทำความเย็นโดยอัตโนมัติ
- หากคุณตั้งค่าตัวควบคุมอุณหภูมิเป็นอุณหภูมิในโหมดอีโคด้วยตนเอง ตัวควบคุมอุณหภูมิจะไม่เปลี่ยนกลับไปเป็นโหมดทำความร้อนหรือทำความเย็นโดยอัตโนมัติเมื่อมีคนกลับถึงบ้าน ให้ตั้งค่าเป็นโหมดทำความร้อนหรือทำความเย็นที่ต้องการด้วยตนเอง แล้วตัวควบคุมอุณหภูมิจะกลับไปเปลี่ยนโหมดโดยอัตโนมัติอีกครั้ง
- ระยะเวลาที่ตัวควบคุมอุณหภูมิใช้ในการเปลี่ยนบ้านเป็นโหมด "ไม่อยู่บ้าน" (และเปลี่ยนตัวเองเป็นอุณหภูมิในโหมดอีโค) อาจแตกต่างกันไป ความล่าช้าจะขึ้นอยู่กับความสม่ำเสมอในการออกจากบ้านและกลับถึงบ้านของคุณ และความถี่ที่ตัวควบคุมอุณหภูมิตรวจจับการเคลื่อนไหวในบ้าน
- การตั้งค่าตัวควบคุมอุณหภูมิเป็นอุณหภูมิในโหมดอีโคด้วยตนเองจะไม่เปลี่ยนบ้านเป็นโหมด "ไม่อยู่บ้าน"
ลักษณะการทำงานของกล้อง Nest
- กล้องจะเปิดหรือปิดโดยอัตโนมัติได้ด้วยตำแหน่งของโทรศัพท์เท่านั้น อย่างไรก็ตาม คุณสามารถปิดกล้องด้วยตนเองโดยใช้แอป Nest หรือแอป Home หรือตั้งค่าบ้านเป็นโหมด "อยู่บ้าน" หรือ "ไม่อยู่บ้าน" ด้วยตนเอง ซึ่งจะเป็นการเปิดหรือปิดกล้องด้วย
- กล้องไม่ได้ใช้เซ็นเซอร์ในการช่วยระบุว่าคุณ "อยู่บ้าน" หรือ "ไม่อยู่บ้าน" ดังนั้น หากคุณแค่เดินผ่านหน้ากล้อง บ้านก็จะไม่เปลี่ยนเป็นโหมด "อยู่บ้าน"
- การเคลื่อนไหวที่ผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของ Nest ตรวจจับได้จะไม่ปิดกล้อง เนื่องจากผลิตภัณฑ์จะไม่แน่ใจว่านั่นเป็นผู้บุกรุก คุณ หรือสมาชิกในครอบครัว กล้องในบ้านจะไม่เปิดโดยอัตโนมัติจนกว่าโทรศัพท์ทุกเครื่องที่ตั้งค่าให้ช่วยในการตรวจหาบุคคลในบ้านจะออกจากบ้านไปจนหมด และกล้องจะไม่ปิดโดยอัตโนมัติจนกว่าจะมีคนกลับถึงบ้าน
- ลักษณะการเปิดปิดกล้องที่น่าสับสนอาจเกิดขึ้นหากกล้องทั้งเปิดและปิดโดยอัตโนมัติเมื่อคุณออกจากบ้านและกลับถึงบ้าน และมีกำหนดเวลาของกล้องด้วย ขอแนะนำให้ใช้วิธีข้างต้นเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง
- ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่กล้อง Nest ทำงานร่วมกับการตรวจหาบุคคลในบ้านได้ที่ศูนย์ช่วยเหลือ
ลักษณะการทำงานของ Secure
- Nest Secure ไม่สามารถใช้ตัวช่วยเปลี่ยนโหมดอยู่บ้าน/ไม่อยู่บ้านเพื่อเปิดหรือปิดระบบโดยอัตโนมัติ คุณจะต้องใช้ Nest Tag, ป้อนรหัส หรือใช้แอปเพื่อเปิดหรือปิดระบบรักษาความปลอดภัยของคุณ อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณเปลี่ยนโหมดของบ้านโดยใช้แอป Nest Secure จะสามารถเปลี่ยนระดับการรักษาความปลอดภัยให้ตรงกัน
- แอป Nest จะช่วยส่งการแจ้งเตือนเพื่อเตือนให้คุณเปิดหรือปิดระบบสัญญาณเตือนเมื่อคุณออกจากบ้านหรือกลับถึงบ้าน ดังนั้น หาก Nest Secure ปิดระบบเมื่อสมาชิกคนสุดท้ายออกจากบ้าน สมาชิกคนดังกล่าวจะได้รับการแจ้งเตือน "เตือนฉัน" ทางโทรศัพท์ให้เปิดระบบ Secure เมื่อสมาชิกคนแรกใกล้จะถึงบ้าน แอปจะถามว่าสมาชิกคนดังกล่าวต้องการปิดระบบสัญญาณเตือนก่อนเดินเข้าประตูบ้านหรือไม่
ลักษณะการทำงานของ Protect
ลักษณะการทำงานของ Nest Protect จะไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนไปมาระหว่างโหมด "อยู่บ้าน" กับ "ไม่อยู่บ้าน" อย่างไรก็ตาม Nest Protect แบบใช้สายอาจทำให้บ้านไม่เปลี่ยนเป็นโหมด "ไม่อยู่บ้าน" หากเซ็นเซอร์ของผลิตภัณฑ์ตรวจจับการเคลื่อนไหวได้