ตั้งค่า Chromecast พร้อม Google TV และรีโมตสั่งงานด้วยเสียง

Chromecast และแอป Google Home จะแนะนำขั้นตอนในการตั้งค่า Chromecast พร้อม Google TV (HD) หรือ Chromecast พร้อม Google TV (4K) และรีโมตสั่งงานด้วยเสียงของ Chromecast

หากตั้งค่า Chromecast พร้อม Google TV คุณเพียงแค่ต้องจับคู่รีโมตสั่งงานด้วยเสียงของ Chromecast เท่านั้น

หากต้องการตั้งค่าอุปกรณ์ประเภทอื่น ให้ดูวิธีการในหัวข้อตั้งค่าอุปกรณ์อัจฉริยะในแอป Google Home

สิ่งที่ต้องมี

  • Chromecast พร้อม Google TV และรีโมตสั่งงานด้วยเสียงของ Chromecast
  • อุปกรณ์แสดงผลที่มีช่อง HDMI เช่น ทีวีความละเอียดสูง (HDTV)
  • โทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ตที่มีแอป Google Home แอป Google Home เวอร์ชันล่าสุดใน Android หรือ iOS (แนะนำ)
    • อุปกรณ์ดังกล่าวต้องรองรับการเชื่อมต่อ 5 GHz ด้วยจึงจะตั้งค่า Chromecast ผ่านการเชื่อมต่อ 5 GHz ได้ หมายเหตุ: ไม่รองรับเครือข่าย WPA2-Enterprise
  • บัญชี Google
    • หมายเหตุ: ใช้บัญชี Gmail เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
  • การเชื่อมต่อแบบไร้สายที่ปลอดภัยหรือการเชื่อมต่ออีเทอร์เน็ต
    • หากใช้เครือข่ายไร้สาย คุณจะต้องมีรหัสผ่านของเครือข่ายไร้สาย

ตั้งค่า Chromecast และรีโมตสั่งงานด้วยเสียง

เริ่มจากทีวีและรีโมต Chromecast

หมายเหตุ: ใช้ปุ่มบังคับทิศทาง (D-pad) บนรีโมตเพื่อไปยังส่วนต่างๆ และเลือก

  1. เปิดทีวี
  2. เสียบ Chromecast เข้ากับอินพุต HDMI ที่มีอยู่บนทีวีหรืออุปกรณ์แสดงผลอื่นๆ เปลี่ยนทีวีเป็นอินพุต HDMI ที่ Chromecast เสียบอยู่
  3. เสียบปลายด้านหนึ่งของสายอะแดปเตอร์เข้ากับ Chromecast ส่วนปลายอีกด้านหนึ่งกับเต้ารับที่ว่างอยู่
  4. รอให้รีโมตจับคู่
    • ในกรณีส่วนใหญ่ รีโมตจะจับคู่โดยอัตโนมัติ แต่หากหน้าจอทีวีแสดงคำว่า "เริ่มจับคู่" ให้กดปุ่ม "กลับ" และ "หน้าแรก" บนรีโมตค้างไว้จนกว่าไฟบนรีโมตจะเริ่มสว่างวาบ
      หมายเหตุ: หากต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติม ให้ไปที่บทความแก้ปัญหาเกี่ยวกับรีโมตสั่งงานด้วยเสียงของ Chromecast
  5. เลือกภาษาที่ต้องการใช้

ดำเนินการต่อโดยใช้โทรศัพท์

  1. เมื่อหน้าจอทีวีแสดงวิธีการตั้งค่าด้วยแอป Google Home ให้เปิดแอป Home แอป Google Home ในโทรศัพท์
    • หากไม่เคยใช้แอป Google Home มาก่อน ให้แตะเริ่มต้นใช้งาน บัญชี Google ที่ต้องการใช้กับ Chromecast ตกลง บ้านที่ต้องการใช้ ถัดไป
    • หากไม่มีโทรศัพท์อยู่กับตัว คุณสามารถเลือกที่จะตั้งค่าให้เสร็จโดยใช้รีโมตสั่งงานด้วยเสียง โดยเลือกตั้งค่าในทีวีแทน แล้วทำตามวิธีการที่ระบุไว้
  2. แตะตั้งค่า Chromecast บ้านที่ต้องการใช้ ถัดไป รอให้แอปค้นหา Chromecast
    • หากไม่เห็น "ตั้งค่า Chromecast" ให้ทำดังนี้
      1. แตะอุปกรณ์ เพิ่ม อุปกรณ์ Google Nest หรืออุปกรณ์ของพาร์ทเนอร์ Google Nest or partner device
      2. เลือกบ้านที่ต้องการใช้ ถัดไป
    • การตั้งค่าโทรศัพท์บางอย่างอาจรบกวนการตั้งค่า หากต้องการความช่วยเหลือ โปรดไปที่บทความแก้ปัญหาการตั้งค่าโทรศัพท์
  3. ให้สิทธิ์แอป Home ใช้กล้องของโทรศัพท์เพื่อสแกนคิวอาร์โค้ดบนหน้าจอทีวี สแกนคิวอาร์โค้ด รอให้ Chromecast เชื่อมต่อ
    • คุณป้อนรหัสการตั้งค่าด้วยตนเองในแอป Home แทนการสแกนคิวอาร์โค้ดได้
  4. ทำตามขั้นตอนในแอป Google Home จนกว่าจะเห็นข้อความ "ตั้งค่าที่นี่เสร็จแล้ว" จากนั้นดำเนินการต่อด้วยทีวีและรีโมต

ตั้งค่ารีโมต Chromecast

ดูสถานะรีโมตในหน้าจอทีวี หากตั้งค่ารีโมตแล้ว ให้ไปที่ตั้งค่าให้เสร็จด้วยทีวีและรีโมต

หากหน้าจอมีข้อความ เช่น "ควบคุมระดับเสียงและการเปิด/ปิดด้วยรีโมต Chromecast" แสดงว่าต้องตั้งค่ารีโมตด้วยตนเอง คุณตั้งค่าเพื่อควบคุมทีวี ตัวรับสัญญาณ หรือซาวด์บาร์ได้

  1. เลือกตั้งค่ารีโมต
    • หากเลือกไว้ทีหลัง คุณจะตั้งค่ารีโมตในภายหลังได้ในการตั้งค่า
  2. หากต้องการตั้งค่าปุ่มปรับระดับเสียง ให้เลือกอุปกรณ์ที่คุณใช้เล่นเสียง แบรนด์ของอุปกรณ์
  3. เมื่อหน้าจอแสดงข้อความ "ถัดไปคุณจะได้ยินเพลง" ให้ตรวจสอบว่าระดับเสียงของอุปกรณ์เสียงเปิดอยู่ เลือกถัดไปเพื่อเล่นเพลง
  4. เมื่อเพลงเล่น ให้ชี้รีโมต Chromecast ไปที่อุปกรณ์แล้วเพิ่มและลดระดับเสียง
  5. ใต้ข้อความ "ปุ่มปรับระดับเสียงใช้งานได้ไหม" ให้เลือกใช่ หรือไม่ ลองอีกครั้ง
    • คุณต้องชี้รีโมตไปที่อุปกรณ์เพื่อให้ปุ่มปรับระดับเสียงทำงาน
    • รีโมตบางรุ่นควบคุมระดับเสียงในอุปกรณ์ไม่ได้
  6. หากต้องการตั้งค่าปุ่มเปิด/ปิด ให้กดปุ่มเปิด/ปิดบนรีโมตเพื่อปิดทีวี รอ 8 วินาที เปิดทีวีอีกครั้ง
  7. ใต้ข้อความ "ทีวีปิดแล้วเปิดขึ้นมาอีกครั้งไหม" ให้เลือกใช่ หรือไม่ ลองอีกครั้ง
  8. หากต้องการตั้งค่าปุ่มอินพุต ให้กดปุ่มอินพุตบนรีโมต วนเปลี่ยนอินพุตทั้งหมดของทีวี
    1. หากปุ่มอินพุตใช้งานได้ ให้เปลี่ยนกลับไปใช้พอร์ต HDMI ที่ Chromecast เชื่อมต่ออยู่
  9. ใต้ข้อความ "ปุ่มอินพุตใช้งานได้ไหม" ให้เลือกใช่ หรือไม่ ลองอีกครั้ง
    • หมายเหตุ: รีโมตบางรุ่นควบคุมอินพุตในทีวีไม่ได้
  10. หน้าจอควรแสดง "รีโมต Chromecast พร้อมใช้งานแล้ว"

ตั้งค่าให้เสร็จด้วยทีวีและรีโมต

  1. รอให้ทีวีติดตั้งแอปที่คุณเลือกในอุปกรณ์เคลื่อนที่
  2. หน้าจอทีวีควรจะแสดงข้อความ "ยินดีต้อนรับ Chromecast พร้อม Google TV พร้อมใช้งานแล้ว" หากต้องการไปที่หน้าจอหลัก ให้เลือกเริ่มสำรวจ

แก้ปัญหาการตั้งค่า

แก้ปัญหาการตั้งค่าโทรศัพท์
  • Android: ตรวจสอบการตั้งค่าบลูทูธและตำแหน่ง
    • บลูทูธ: เปิดแอปการตั้งค่า แตะอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ ค่ากำหนดการเชื่อมต่อ บลูทูธ เปิดใช้บลูทูธ
    • ตำแหน่ง: เปิดแอปการตั้งค่า แตะตำแหน่ง เปิดใช้ตำแหน่ง แตะ Home แอป Google Home อนุญาตให้แอปใช้ตำแหน่งของคุณ
  • iPhone หรือ iPad: ตรวจสอบการตั้งค่าบลูทูธ ตำแหน่ง และสิทธิ์ของแอป
    • บลูทูธ: เปิดแอปการตั้งค่า แตะบลูทูธ เปิดบลูทูธ
    • ตำแหน่ง: เปิดแอปการตั้งค่า แตะความเป็นส่วนตัว บริการตำแหน่ง เปิดบริการตำแหน่ง
    • สิทธิ์ของแอป: เปิดแอปการตั้งค่า เลื่อนไปที่ส่วนแอป แตะ Google Home เปิดตำแหน่ง บลูทูธ และเครือข่ายภายในตรงส่วน "อนุญาตให้ Google Home เข้าถึง"

หากยังตั้งค่าด้วยแอป Google Home ต่อไม่ได้ ให้ใช้รีโมตสั่งงานด้วยเสียง กดปุ่ม "ย้อนกลับ" ค้างไว้ แล้วเลือกตัวเลือกเพื่อตั้งค่าให้เสร็จด้วยรีโมต

ขั้นตอนการแก้ปัญหาเบื้องต้น

หากการตั้งค่ายังคงไม่ได้ผล ให้ลองทำตามขั้นตอนต่อไปนี้

  1. รีบูต Chromecast
  2. ถอดปลั๊กเราเตอร์แล้วเสียบกลับเข้าไป
  3. รีเซ็ต Chromecast เป็นค่าเริ่มต้น
  4. ติดต่อทีมสนับสนุน

คุณได้รับข้อความ "โปรดใช้บัญชี Gmail"

ข้อความนี้อาจปรากฏระหว่างการตั้งค่า หากคุณใช้บัญชี Google Workspace (เดิมคือ G Suite) ขอแนะนําอย่างยิ่งให้ใช้บัญชี Gmail แทน เนื่องจากจะช่วยให้ปรับเปลี่ยนในแบบของคุณได้และช่วยให้มั่นใจว่า Chromecast พร้อม Google TV จะเข้าถึงบริการสื่อที่คุณใช้ได้

แตะตกลงเพื่อปิดข้อความ จากนั้นเลือกว่าจะตั้งค่าต่อด้วยบัญชีเดิมหรือจะเริ่มตั้งค่าอีกครั้งโดยใช้บัญชีใหม่

หมายเหตุ: หากตั้งค่าต่อโดยใช้บัญชี Google Workspace ที่คุณไม่ได้เป็นผู้ดูแลระบบ บริการบางอย่าง เช่น การติดตั้งแอป, YouTube หรือการควบคุมโดยผู้ปกครองอาจใช้งานไม่ได้หรือทำงานผิดปกติ

Important: Availability and performance of certain features, services, and applications are device- and network-dependent and might not be available in all areas. Subscription(s) might be required, and additional terms, conditions, or charges may apply.

ข้อมูลนี้มีประโยชน์ไหม

เราจะปรับปรุงได้อย่างไร
ค้นหา
ล้างการค้นหา
ปิดการค้นหา
เมนูหลัก
915638831523983548
true
ค้นหาศูนย์ช่วยเหลือ
true
true
true
true
true
85561
false
false