ตั้งค่าเครือข่ายส่วนตัวเสมือน (VPN)

Chromebook เชื่อมต่อกับเครือข่ายส่วนตัว เช่น เครือข่ายในที่ทำงานหรือโรงเรียน โดยใช้การเชื่อมต่อเครือข่ายส่วนตัวเสมือน (VPN) ได้

เคล็ดลับ: หากคุณใช้ Chromebook ในที่ทำงานหรือโรงเรียนและมีปัญหาเกี่ยวกับ VPN โปรดติดต่อผู้ดูแลระบบเพื่อขอความช่วยเหลือเพิ่มเติม

การรองรับ IKEv2 VPN

Chromebook มีการรองรับในตัวสำหรับ VPN ที่ใช้ Internet Key Exchange เวอร์ชัน 2 (IKEv2) และจะใช้คีย์ที่แชร์ล่วงหน้า (PSK), ใบรับรองผู้ใช้ หรือโปรโตคอลการตรวจสอบสิทธิ์ที่ขยายได้ (EAP) ที่มีชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านเพื่อตั้งค่าอุโมงค์ข้อมูลที่ปลอดภัย

  1. เลือกเวลาที่ด้านขวาล่าง
  2. เลือก "การตั้งค่า" 
  3. ในส่วน "เครือข่าย" ให้เลือกเพิ่มการเชื่อมต่อ
  4. ข้าง "เพิ่ม VPN ในตัว" ให้เลือก "เพิ่ม"
  5. กรอกข้อมูลในช่องที่เปิดขึ้นมา หากใช้ Chromebook ในที่ทำงานหรือโรงเรียน คุณอาจต้องขอข้อมูลนี้จากผู้ดูแลระบบ
    • ชื่อเซิร์ฟเวอร์: คุณตั้งชื่อการเชื่อมต่อได้ตามต้องการ เช่น "VPN ที่ทำงาน"
    • ประเภทผู้ให้บริการ: เลือก IPsec (IKEv2)
    • ชื่อโฮสต์ของเซิร์ฟเวอร์: ที่อยู่ IP หรือชื่อโฮสต์เต็มของเซิร์ฟเวอร์ก็ได้
    • ประเภทการตรวจสอบสิทธิ์: เลือกคีย์ที่แชร์ล่วงหน้า ใบรับรองผู้ใช้ หรือชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านก็ได้
    • ชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน: สำหรับการเชื่อมต่อ EAP เท่านั้น ผู้ใช้ VPN แต่ละรายควรมีชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านซึ่งไม่ซ้ำกันเป็นของตัวเอง
    • คีย์ที่แชร์ล่วงหน้า: สำหรับการเชื่อมต่อ PSK เท่านั้น คีย์นี้ไม่ใช่รหัสผ่านส่วนตัวของคุณ แต่เป็นรหัสผ่านหรือคีย์ที่ใช้ในการกำหนดค่า IPsec ทั้งนี้ในการตั้งค่าโดยทั่วไป ทุกคนที่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ VPN เดียวกันจะใช้ PSK เดียวกัน
    • ใบรับรอง CA ของเซิร์ฟเวอร์: สำหรับการเชื่อมต่อใบรับรองผู้ใช้และการเชื่อมต่อ EAP เท่านั้น เลือกใบรับรองของผู้ออกใบรับรองที่คุณติดตั้งไว้จากรายการ ใบรับรองของเซิร์ฟเวอร์จะได้รับการตรวจสอบว่ามีลายเซ็นจากผู้ออกใบรับรอง (CA) ที่ถูกต้อง
    • ใบรับรองผู้ใช้: สำหรับการเชื่อมต่อใบรับรองผู้ใช้เท่านั้น เลือกใบรับรอง VPN ของผู้ใช้ที่คุณติดตั้งไว้จากรายการ หากไม่มีใบรับรองใดติดตั้งไว้ คุณจะได้รับข้อความแสดงข้อผิดพลาด ดูวิธีติดตั้งใบรับรอง
    • ข้อมูลประจำตัวในเครื่องและข้อมูลประจำตัวระยะไกล: โปรดกรอกข้อมูลในช่องเหล่านี้หากผู้ให้บริการ VPN มีวิธีการแนะนำไว้ให้ หากไม่แน่ใจ ให้ปล่อยช่องเหล่านี้ว่างไว้
  6. เลือกเชื่อมต่อ
การรองรับ L2TP/IPSec VPN

Chromebook มีการรองรับในตัวสำหรับ VPN ที่ใช้ L2TP ผ่าน IPsec เลเยอร์ IPsec จะใช้คีย์แบบแชร์ล่วงหน้า (PSK) หรือใบรับรองผู้ใช้เพื่อตั้งค่าอุโมงค์ข้อมูลที่ปลอดภัย เลเยอร์ L2TP ต้องมีการป้อนชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน

เคล็ดลับ: คุณตั้งค่าอุปกรณ์ Cisco ASA ให้รองรับ L2TP ผ่าน IPSec ได้ ดูวิธีตั้งค่าอุปกรณ์ Cisco ASA

  1. เลือกเวลาที่ด้านขวาล่าง
  2. เลือกการตั้งค่า
  3. ในส่วน "เครือข่าย" ให้เลือกเพิ่มการเชื่อมต่อ
  4. ข้าง "เพิ่ม VPN ในตัว" ให้เลือก "เพิ่ม"
  5. กรอกข้อมูลในช่องที่เปิดขึ้นมา หากใช้ Chromebook ในที่ทำงานหรือโรงเรียน คุณอาจต้องขอข้อมูลนี้จากผู้ดูแลระบบ
    • ชื่อบริการ: คุณตั้งชื่อการเชื่อมต่อได้ตามต้องการ เช่น "VPN ที่ทำงาน"
    • ประเภทผู้ให้บริการ: เลือก L2TP/IPsec
    • ชื่อโฮสต์ของเซิร์ฟเวอร์: ป้อนที่อยู่ IP หรือชื่อโฮสต์เต็มของเซิร์ฟเวอร์ก็ได้
    • ประเภทการตรวจสอบสิทธิ์: เลือกคีย์ที่แชร์ล่วงหน้าหรือใบรับรองผู้ใช้
    • ชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน: ข้อมูลเข้าสู่ระบบ L2TP/PPP ของคุณ ผู้ใช้ VPN แต่ละรายควรมีชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านซึ่งไม่ซ้ำกันเป็นของตัวเอง
    • ชื่อกลุ่ม: ช่องข้อมูลประจำตัว IPsec ของไคลเอ็นต์ ซึ่งเซิร์ฟเวอร์ VPN บางตัวใช้ตั้งค่า Tunnel Group หรือ User Realm หากไม่แน่ใจ ให้ปล่อยช่องนี้ว่างไว้
    • คีย์ที่แชร์ล่วงหน้า: สำหรับการเชื่อมต่อ PSK เท่านั้น คีย์นี้ไม่ใช่รหัสผ่านส่วนตัวของคุณ แต่เป็นรหัสผ่านหรือคีย์ที่ใช้ในการกำหนดค่า IPsec ทั้งนี้ในการตั้งค่าโดยทั่วไป ทุกคนที่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ VPN เดียวกันจะใช้ PSK เดียวกัน
    • ใบรับรอง CA ของเซิร์ฟเวอร์: สำหรับการเชื่อมต่อใบรับรองผู้ใช้เท่านั้น เลือกใบรับรองของผู้ออกใบรับรองที่คุณติดตั้งไว้จากรายการ ใบรับรองของเซิร์ฟเวอร์จะได้รับการตรวจสอบว่ามีลายเซ็นจากผู้ออกใบรับรอง (CA) ที่ถูกต้อง
    • ใบรับรองผู้ใช้: สำหรับการเชื่อมต่อใบรับรองผู้ใช้เท่านั้น เลือกใบรับรอง VPN ของผู้ใช้ที่คุณติดตั้งไว้จากรายการ หากไม่มีใบรับรองใดติดตั้งไว้ คุณจะได้รับข้อความแสดงข้อผิดพลาด ดูวิธีติดตั้งใบรับรอง
  6. เลือกเชื่อมต่อ
การรองรับ OpenVPN

Chromebook รองรับเซิร์ฟเวอร์ OpenVPN โดยเบื้องต้น การเชื่อมต่อ OpenVPN ใช้การตรวจสอบสิทธิ์ชื่อผู้ใช้/รหัสผ่าน การตรวจสอบสิทธิ์ใบรับรองไคลเอ็นต์ หรือทั้งคู่ร่วมกันได้

หากต้องการตั้งค่าฟีเจอร์ขั้นสูงขึ้นของ OpenVPN หรือนำเข้าไฟล์การกำหนดค่า ".ovpn" และ Chromebook ใช้ Play Store ได้ ให้พิจารณาติดตั้ง OpenVPN สำหรับ Android แทนการใช้ไคลเอ็นต์ OpenVPN ในตัว

  1. เลือกเวลาที่ด้านขวาล่าง
  2. เลือกการตั้งค่า
  3. ในส่วน "เครือข่าย" ให้เลือกเพิ่มการเชื่อมต่อ
  4. ข้าง OpenVPN/L2TP ให้เลือก "เพิ่ม"
  5. กรอกข้อมูลในช่องที่เปิดขึ้นมา หากใช้ Chromebook ในที่ทำงานหรือโรงเรียน คุณอาจต้องขอข้อมูลนี้จากผู้ดูแลระบบ
    • ชื่อบริการ: คุณตั้งชื่อการเชื่อมต่อได้ตามต้องการ เช่น "VPN ที่ทำงาน"
    • ประเภทผู้ให้บริการ: เลือก OpenVPN
    • ชื่อโฮสต์ของเซิร์ฟเวอร์: ป้อนที่อยู่ IP หรือชื่อโฮสต์เต็มของเซิร์ฟเวอร์ก็ได้
    • ชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน: ข้อมูลเข้าสู่ระบบ VPN ของคุณ ปล่อยว่างไว้ได้หากเซิร์ฟเวอร์ใช้เฉพาะการตรวจสอบสิทธิ์ใบรับรองไคลเอ็นต์
    • OTP: หากคุณมีการ์ดรหัสผ่านที่สามารถใช้งานได้เพียงครั้งเดียว (OTP) หรือโทเค็น VPN ที่สร้างรหัสผ่านนี้ ให้สร้างรหัสผ่านและป้อนที่นี่ ในกรณีส่วนใหญ่ ให้เว้นว่างไว้
    • ใบรับรอง CA ของเซิร์ฟเวอร์: เลือกใบรับรองของผู้ออกใบรับรองที่คุณติดตั้งไว้จากรายการ ใบรับรองของเซิร์ฟเวอร์จะได้รับการตรวจสอบว่ามีลายเซ็นจากผู้ออกใบรับรอง (CA) ที่ถูกต้อง หากพบปัญหาเกี่ยวกับใบรับรองเซิร์ฟเวอร์ คุณสามารถเลือกอย่าตรวจสอบเพื่อข้ามการตรวจสอบ CA ได้ แต่จะเป็นการข้ามมาตรการรักษาความปลอดภัยที่สำคัญ
    • ใบรับรองผู้ใช้: หากเซิร์ฟเวอร์ VPN ต้องการตรวจสอบสิทธิ์ใบรับรองไคลเอ็นต์ ให้เลือกใบรับรอง VPN ของผู้ใช้ที่คุณติดตั้งไว้จากรายการ ดูวิธีติดตั้งใบรับรอง
  6. เลือกเชื่อมต่อ
การรองรับ WireGuard

Chromebook บางรุ่นมีการรองรับพื้นฐานในตัวสำหรับโปรโตคอล WireGuard

  1. เลือกเวลาที่ด้านขวาล่าง
  2. เลือกการตั้งค่า
  3. ในส่วน "เครือข่าย" ให้เลือกเพิ่มการเชื่อมต่อ
  4. ข้าง "OpenVPN/L2TP" ให้เลือก "เพิ่ม"
  5. กรอกข้อมูลในช่องที่เปิดขึ้นมา
    • ชื่อบริการ: คุณตั้งชื่อการเชื่อมต่อได้ตามต้องการ เช่น "VPN ที่ทำงาน"
    • ประเภทผู้ให้บริการ: เลือก WireGuard
    • ที่อยู่ IP ของไคลเอ็นต์: คือที่อยู่ IP ที่ใช้กับ Chromebook
    • เนมเซิร์ฟเวอร์: IP ของเนมเซิร์ฟเวอร์สำหรับเครือข่าย
    • คีย์: เลือกฉันมีคู่คีย์หากมีคู่คีย์จากผู้ให้บริการ หรือเลือกสร้างคู่คีย์แบบสุ่มหากต้องการสร้างขึ้นมา คุณจะค้นหาคีย์สาธารณะที่สร้างขึ้นได้ในหน้ารายละเอียดของเครือข่ายหลังจากที่เชื่อมต่อเครือข่าย WireGuard แล้ว
    • คีย์สาธารณะของเพียร์, คีย์ที่แชร์ล่วงหน้า, ปลายทาง, IP ที่อนุญาต และช่วงเวลา Keepalive ต่อเนื่อง: กรอกข้อมูลที่เกี่ยวข้องของเซิร์ฟเวอร์ WireGuard
  6. เลือกเชื่อมต่อ
การรองรับ PPTP VPN

Chromebook ที่มี Play Store จะเชื่อมต่อกับบริการ PPTP VPN ได้

  1. เลือกเวลาที่ด้านขวาล่าง
  2. เลือก "การตั้งค่า" 
  3. เลื่อนลงแล้วเลือก Google Play Store
  4. เลือกจัดการค่ากำหนด Android
  5. เลื่อนลงแล้วเลือก PPTP VPN
  6. เลือก "เพิ่ม" ที่ด้านขวาบน
  7. กรอกข้อมูลในช่องที่ปรากฏขึ้น หากใช้ Chromebook กับองค์กร คุณอาจต้องขอข้อมูลนี้จากผู้ดูแลระบบ
    • ชื่อ: ตั้งชื่อให้การเชื่อมต่อนี้เป็นอะไรก็ได้ตามต้องการ เช่น "VPN ที่ทำงาน"
    • ที่อยู่ของเซิร์ฟเวอร์: ชื่อของเซิร์ฟเวอร์ที่คุณต้องเชื่อมต่อเพื่อให้เข้าถึง VPN ของคุณได้ ซึ่งอาจเป็นที่อยู่ IP หรือชื่อโฮสต์เต็มของเซิร์ฟเวอร์ก็ได้
    • การเข้ารหัส PPP (MPPE): เลือกช่องนี้ไว้ตามเดิม ยกเว้นผู้ดูแลระบบบอกเป็นอย่างอื่น
    • แสดงตัวเลือกขั้นสูง: ปล่อยช่องนี้ให้ไม่มีการเลือกตามเดิม ยกเว้นผู้ดูแลระบบบอกเป็นอย่างอื่น
    • ชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน: ข้อมูลรับรอง VPN ของคุณ ผู้ใช้ VPN แต่ละรายควรมีชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านซึ่งไม่ซ้ำกันเป็นของตัวเอง
  8. เลือกบันทึก

ในการเชื่อมต่อกับ PPTP VPN ให้ไปที่เมนู PPTP VPN และเลือกชื่อการเชื่อมต่อ VPN ดังกล่าว

หมายเหตุ: ปัจจุบัน Google Play Store ใช้ได้ใน Chromebook บางรุ่นเท่านั้น ดูว่า Chromebook รุ่นใดบ้างรองรับแอป Android

แอป Chrome VPN

แอป VPN ที่พร้อมใช้งาน

มีแอป VPN หลายแอปที่ให้บริการใน Chrome เว็บสโตร์ เช่น

ติดตั้งแอป VPN

คุณติดตั้งแอป VPN ได้จาก Chrome เว็บสโตร์ ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดาวน์โหลดแอป

หากเป็นผู้ดูแลระบบ คุณจะบังคับให้ติดตั้งแอป VPN โดยใช้คอนโซลผู้ดูแลระบบได้ และจะอัปโหลดไฟล์การกำหนดค่าได้หากได้รับอนุญาต แอปใช้ chrome.storage API เพื่ออ่านและใช้ไฟล์การกำหนดค่า

สร้างการเชื่อมต่อใหม่

  1. เลือกเวลาที่ด้านขวาล่าง
  2. เลือกการตั้งค่า
  3. ในส่วน "เครือข่าย" ให้เลือก "เพิ่มการเชื่อมต่อ"
  4. เลือก "เพิ่ม" ข้างแอป VPN
  5. ทำตามวิธีการในหน้าจอ

เชื่อมต่อกับ VPN

  1. เลือกเวลาที่ด้านขวาล่าง
  2. เลือกการตั้งค่า
  3. ในส่วน "เครือข่าย" ให้เลือกชื่อการเชื่อมต่อ
แอป Android VPN

Chromebook ที่มี Play Store จะติดตั้งแอป Android VPN ได้

สำคัญ: ตอนนี้ Google Play Store ใช้ได้ใน Chromebook บางรุ่นเท่านั้น ดูว่า Chromebook รุ่นใดบ้างรองรับแอป Android

หากต้องการสร้างการเชื่อมต่อใหม่หรือเชื่อมต่อ VPN ที่แอป Android ให้บริการ ให้ทำดังนี้

ขั้นตอนที่ 1: ติดตั้งแอป Android VPN ใน Chromebook

  1. ที่มุมของหน้าจอ ให้เลือก Launcher
  2. เลือก Play Store Google Play
  3. ค้นหาแอป VPN ที่ต้องการติดตั้ง
  4. เลือกแอป VPN
  5. เลือกติดตั้งทางด้านขวา

ขั้นตอนที่ 2: กำหนดค่าแอป VPN ใน Chromebook

  1. เลือกเวลาที่ด้านขวาล่าง
  2. เลือกการตั้งค่า
  3. ในส่วน "เครือข่าย" ให้เลือกเพิ่มการเชื่อมต่อ
  4. ข้างการเชื่อมต่อ ให้เลือกเพิ่ม [ชื่อแอป]...
  5. ทำตามวิธีการในหน้าจอ

ขั้นตอนที่ 3: เปิดการเชื่อมต่อ VPN ไว้

VPN บางเครือข่ายจะเชื่อมต่อตลอดเวลาได้ เว้นแต่การเชื่อมต่อ VPN จะหยุดทำงาน

  1. ตรวจดูว่าคุณกำหนดค่าแอป VPN ใน Chromebook แล้ว
  2. เลือกเวลาที่ด้านขวาล่าง
  3. เลือกการตั้งค่า
  4. เลือกแอปจากแผงด้านซ้าย
  5. ในส่วน "แอป" ให้เลือก Google Play Store
  6. เลือกจัดการค่ากำหนด Android
  7. ในหน้าต่างที่ปรากฏขึ้นมา ให้เลือกเครือข่ายและอินเทอร์เน็ต
  8. เลือก VPN คุณจะเห็นแอป VPN ในรายการแล้วในตอนนี้
  9. ที่ด้านขวาของแอป ให้เลือกการตั้งค่า
  10. เปิดการเชื่อมต่อ VPN ตลอดเวลา หากการเชื่อมต่อ VPN ตลอดเวลาหยุดทำงาน คุณจะได้รับการแจ้งเตือนที่จะยังคงอยู่จนกว่าคุณจะเชื่อมต่ออีกครั้ง หากต้องการล้างการเชื่อมต่อ ให้ปิด "การเชื่อมต่อ VPN ตลอดเวลา" ที่เจาะจงดังกล่าว

เคล็ดลับ: หากการเชื่อมต่อ VPN หยุดทำงานและคุณไม่ต้องการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยตรง ให้เปิดบล็อกการเชื่อมต่อโดยไม่ใช้ VPN

อุโมงค์แบบแยกและอุโมงค์แบบสมบูรณ์

โดยทั่วไปแล้ว VPN จะใช้งานอุโมงค์แบบสมบูรณ์ ซึ่งหมายความว่าการเข้าชมทั้งหมดจากหน้าต่าง Chrome, แอป Chrome และแอป Android จะผ่านการเชื่อมต่อ VPN บางครั้งคุณอาจต้องการใช้อุโมงค์แบบแยกเพื่อให้การเข้าถึงเว็บไซต์บางแห่งต้องผ่านอุโมงค์ แต่การเข้าชมที่อื่นให้ข้าม VPN ไปและใช้การเชื่อมต่อเครือข่ายจริงของ Chromebook แทน วิธีนี้มีประโยชน์ในกรณีต่อไปนี้

  • VPN ให้บริการการเข้าถึงเว็บไซต์ภายในเท่านั้น ไม่ใช่การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตโดยสมบูรณ์
  • ขณะเชื่อมต่อ VPN อยู่ คุณจำเป็นต้องสื่อสารกับอุปกรณ์ต่างๆ ในเครือข่าย LAN เช่น เครื่องพิมพ์

แอป VPN ของ Chrome และ Android จำนวนมากและไคลเอ็นต์ OpenVPN ในตัวก็ตั้งค่าให้ใช้โหมดอุโมงค์แบบแยกได้ หากต้องการความช่วยเหลือในการตั้งค่า โปรดติดต่อผู้ดูแลระบบ

ติดตั้งใบรับรอง

คุณอาจต้องการใบรับรองเพื่อเชื่อมต่อกับ VPN, เครือข่าย WPA2 Enterprise เช่น EAP-TLS หรือเว็บไซต์ที่ต้องมีการตรวจสอบสิทธิ์ TLS ร่วมกัน ในกรณีดังกล่าว ผู้ดูแลระบบอาจขอให้คุณไปที่เว็บไซต์พิเศษในขณะที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายขององค์กรโดยตรง หรือขอให้คุณดาวน์โหลดและติดตั้งใบรับรองเองโดยตรง

คุณจะต้องมีสิ่งต่อไปนี้

  • ใบรับรองเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้สำหรับทุกคนในองค์กร
  • ใบรับรองผู้ใช้สำหรับคุณโดยเฉพาะ
ติดตั้งใบรับรองเซิร์ฟเวอร์
  1. ดาวน์โหลดใบรับรองเซิร์ฟเวอร์ ตามขั้นตอนที่ผู้ดูแลระบบแจ้งคุณ
  2. เปิดแท็บใหม่ใน Chrome Chrome
  3. ในแถบที่อยู่ ให้ป้อน chrome://settings/certificates
  4. เลือกแท็บสิทธิ์
  5. เลือกนำเข้าและเลือกไฟล์ใบรับรอง X.509 ซึ่งปกติแล้วเป็นไฟล์ที่มีนามสกุล .pem, .der, .crt หรือ .p7b
  6. กรอกข้อมูลในช่องที่ปรากฏขึ้น คุณไม่จำเป็นต้องเปิดใช้การตั้งค่าเหล่านี้เลย ขอแนะนำให้ปล่อยไว้ตามเดิมโดยไม่ต้องเลือก
  7. ใบรับรองจะเปิดและติดตั้งตัวเองใน Chromebook
ติดตั้งใบรับรองผู้ใช้
  1. ดาวน์โหลดใบรับรองผู้ใช้ตามขั้นตอนที่ผู้ดูแลระบบแจ้งคุณ ชื่อไฟล์ใบรับรองควรลงท้ายด้วย .pfx หรือ .p12
  2. เปิดแท็บใหม่ใน Chrome Chrome
  3. ในแถบที่อยู่ ให้ป้อน chrome://settings/certificates
  4. เลือกใบรับรองของคุณ
  5. เลือกนําเข้าและเชื่อมโยง
  6. ในช่องที่เปิดขึ้น ให้เลือกไฟล์ใบรับรอง แล้วเลือกเปิด
  7. เมื่อมีข้อความแจ้ง ให้ป้อนรหัสผ่านสำหรับใบรับรอง หากคุณไม่ทราบรหัสผ่าน ให้ติดต่อผู้ดูแลเครือข่าย หากไม่มีรหัสผ่าน ให้เลือกตกลง
  8. ใบรับรองจะเปิดและติดตั้งตัวเองใน Chromebook

Chromebook รองรับใบรับรองไคลเอ็นต์ RSA สำหรับการตรวจสอบสิทธิ์กับ VPN หรือเครือข่ายไร้สาย EAP เท่านั้น และไม่รองรับใบรับรองไคลเอ็นต์ ECC

บทความที่เกี่ยวข้อง

ข้อมูลนี้มีประโยชน์ไหม

เราจะปรับปรุงได้อย่างไร
ค้นหา
ล้างการค้นหา
ปิดการค้นหา
เมนูหลัก
10180513784892244871
true
ค้นหาศูนย์ช่วยเหลือ
true
true
true
true
true
208
false
false