แชแนลแบรนด์และทั่วไป

จัดประเภทคำค้นหาที่เสียค่าใช้จ่ายได้ดียิ่งขึ้น

ตั้งค่าแชแนลการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่ายของแบรนด์และทั่วไปใน Analytics เพื่อแยกวิเคราะห์ประสิทธิภาพคีย์เวิร์ดที่เสียค่าใช้จ่ายของแบรนด์และทั่วไป ซึ่งคีย์เวิร์ด 2 แบบนี้อาจมีเมตริกประสิทธิภาพที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง

คีย์เวิร์ดที่มีชื่อแบรนด์มักจะมี: คีย์เวิร์ดทั่วไปมักจะมี:
CTR สูง CTR ต่ำ
CPC ต่ำ CPC สูง
Conversion ของคลิกสุดท้ายจำนวนมาก Conversion ที่ได้รับการสนับสนุนจำนวนมาก

ใช้แชแนลการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่ายของแบรนด์และทั่วไปเพื่อให้เข้าใจมากขึ้นว่าคีย์เวิร์ดที่มีชื่อแบรนด์และคีย์เวิร์ดทั่วไปทำงานด้วยกันเพื่อเพิ่ม Conversion ได้อย่างไร

การเริ่มต้นใช้งาน: ทำตามขั้นตอนการตั้งค่าหลัก 3 ขั้นตอนสำหรับแต่ละข้อมูลพร็อพเพอร์ตี้ (โปรไฟล์) ที่คุณต้องการใช้คุณลักษณะนี้

1. ระบุและป้อนคำที่เป็นแบรนด์ของคุณ

ใช้ส่วนจัดการคำที่เป็นแบรนด์ของหน้าผู้ดูแลระบบเพื่อป้อนคำที่ใช้ค้นหาบริษัทหรือผลิตภัณฑ์ของคุณ ซึ่งรวมถึงคำที่เป็นเครื่องหมายการค้าด้วย Analytics ใช้รายการคำที่คุณป้อนเพื่อวิเคราะห์ข้อความค้นหาที่เสียค่าใช้จ่ายทั้งหมด หากข้อความค้นหานั้นไม่พร้อมใช้งาน Analytics จะดูที่คีย์เวิร์ดสำหรับการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่ายแทน

ข้อความค้นหา/คีย์เวิร์ดซึ่งมีคำที่เป็นแบรนด์และใช้งานอยู่อย่างน้อยหนึ่งรายการจะติดป้ายกำกับว่าแบรนด์ และจะรวมอยู่ในแชแนลการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่ายของแบรนด์ซึ่งคุณจะได้ตั้งค่าในส่วนต่อไป เช่นเดียวกัน ข้อความค้นหา/คีย์เวิร์ดซึ่งไม่มีคำที่เป็นแบรนด์และใช้งานอยู่จะติดป้ายกำกับว่าทั่วไป และจะรวมอยู่ในแชแนลการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่ายทั่วไปซึ่งคุณจะได้ตั้งค่าในส่วนต่อไป

โปรดคำนึงถึงข้อมูลต่อไปนี้เมื่อพิจารณาเลือกคำที่จะป้อน

  • เพิ่มรูปแบบการสะกดผิดของคำที่เป็นแบรนด์
    ตัวอย่าง: สำหรับคำว่า google ให้เพิ่มรูปแบบการสะกดผิด เช่น gogole หรือ googel
  • ไม่ต้องใส่รูปแบบที่ขึ้นต้นด้วยตัวพิมพ์ใหญ่ เพราะคำเหล่านี้ไม่คำนึงถึงตัวพิมพ์เล็กหรือใหญ่
    ตัวอย่าง: ระบบจะถือว่า Google และ google เป็นรายการที่ซ้ำกัน
  • ไม่ต้องเพิ่มรูปพหูพจน์ เนื่องจากคุณลักษณะนี้ใช้การจับคู่ด้วยเงื่อนไข มี ซึ่งหมายความว่าหากมีคำที่เป็นแบรนด์ปรากฏอยู่ในตำแหน่งใดก็ตามในคำค้นหา หรือแม้จะอยู่ในคำอื่น คำค้นหานั้นจะถูกติดป้ายกำกับว่าแบรนด์
    ตัวอย่างเช่น admob ตรงกับทั้ง admob และ google admob

ทำตามคำแนะนำเหล่านี้สำหรับข้อมูลพร็อพเพอร์ตี้แต่ละรายการที่คุณต้องการใช้แชแนลการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่ายของแบรนด์และทั่วไป

  1. ลงชื่อเข้าใช้บัญชี Analytics
  2. คลิกผู้ดูแลระบบและไปยังการแสดงผลที่ต้องการ
  3. คลิกการตั้งค่าแชแนล แล้วคลิกจัดการคำที่เป็นแบรนด์
  4. ดูที่ส่วนคำที่เป็นแบรนด์ที่แนะนำ คลิกเพิ่มเพื่อเพิ่มคำที่แนะนำลงในคำที่เป็นแบรนด์ที่ใช้งานอยู่ หรือคลิก X เพื่อลบคำที่แนะนำออกอย่างถาวร
  5. ในช่องข้อความป้อนคำที่เป็นแบรนด์ ให้พิมพ์หรือวางคำอื่นๆ ที่สื่อถึงแบรนด์ของคุณ จากนั้นคลิกปุ่มเพิ่มคำที่เป็นแบรนด์เพื่อเพิ่มคำเหล่านี้ลงในรายการคำที่เป็นแบรนด์ที่ใช้งานอยู่
  6. คลิกปุ่มบันทึก
2. สร้างแชแนลใหม่ในการจัดกลุ่มแชแนลเริ่มต้น

หลังจากเพิ่มคำที่เป็นแบรนด์แล้ว ผู้ใช้ส่วนใหญ่จะได้รับข้อความแจ้งเพื่อขออนุญาตให้ Analytics สร้างแชแนลสองแชแนลในการจัดกลุ่มแชแนลเริ่มต้น ทำตามคำแนะนำที่ปรากฏขึ้นเพื่อสร้างแชแนลการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่ายของแบรนด์และการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่ายทั่วไปให้เสร็จสมบูรณ์

การเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่คุณทำกับการจัดกลุ่มแชแนลเริ่มต้นจะแสดงต่อผู้ใช้ทุกคนในข้อมูลพร็อพเพอร์ตี้นั้น

หากก่อนหน้านี้คุณได้แก้ไขแชแนลการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่าย คุณสามารถอัปเดตการจัดกลุ่มแชแนลเริ่มต้นด้วยตัวเองเพื่อรวมแชแนลสองแชแนล ได้แก่ การค้นหาที่เสียค่าใช้จ่ายของแบรนด์และการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่ายทั่วไปได้

วิธีการสร้างแชแนลการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่ายของแบรนด์และการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่ายทั่วไปมีดังนี้

  1. ลงชื่อเข้าใช้บัญชี Analytics
  2. คลิกผู้ดูแลระบบและไปยังการแสดงผลที่ต้องการ
  3. คลิกการตั้งค่าแชแนล แล้วคลิกการจัดกลุ่มแชแนล
  4. ในตาราง ให้คลิกการจัดกลุ่มแชแนลเริ่มต้น
  5. ภายใต้การกำหนดแชแนล คลิกกำหนดแชแนลใหม่แล้วสร้างแชแนลการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่ายของแบรนด์ดังนี้
    1. เลือกแชแนลที่กำหนดโดยระบบในเมนูแบบเลื่อนลงอันแรก แล้วเลือกการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่ายในเมนูแบบเลื่อนลงอันที่สอง
    2. คลิกปุ่ม และ
    3. เลือกประเภทข้อความค้นหาในเมนูแบบเลื่อนลงอันแรก แล้วเลือกแบรนด์ในเมนูแบบเลื่อนลงอันที่สอง
    4. คลิกเสร็จ
  6. ภายใต้ค่ากำหนดแชแนล คลิกกำหนดแชแนลใหม่แล้วสร้างแชแนลการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่ายทั่วไปดังนี้
    1. เลือกแชแนลที่กำหนดโดยระบบในเมนูแบบเลื่อนลงอันแรก แล้วเลือกการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่ายในเมนูแบบเลื่อนลงอันที่สอง
    2. คลิกปุ่ม และ
    3. เลือกประเภทข้อความค้นหาในเมนูแบบเลื่อนลงอันแรก แล้วเลือกทั่วไปในเมนูแบบเลื่อนลงอันที่สอง
    4. คลิกเสร็จ
  7. (ไม่บังคับ) เปลี่ยนชื่อแชแนลการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่ายเริ่มต้นเป็นการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่าย (ไม่ทราบ) โดยการคลิกไอคอนแก้ไขที่อยู่ด้านข้าง แชแนลนี้จะรวมการเข้าชมจากการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่ายซึ่งจัดประเภทคำค้นหาหรือคีย์เวิร์ดไม่ได้ เช่น คำค้นหา (not set)

สำคัญ: กฎจะได้รับการประเมินตามลำดับสำหรับแต่ละเซสชัน ดังนั้นให้ตรวจสอบว่าแชแนลการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่ายของแบรนด์และการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่ายที่คุณสร้างใหม่อยู่เหนือแชแนลการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่ายเริ่มต้นในรายการค่ากำหนดแชแนล

อาจใช้เวลาถึง 24 ชั่วโมงเพื่อให้ข้อมูลปรากฏในรายงานการกระทำด้วยชื่อแชแนลใหม่

3. สร้างแชแนลใหม่ในการจัดกลุ่มแชแนล MCF

หากคุณใช้ช่องทางหลากหลายแชแนล คุณจะต้องสร้างการจัดกลุ่มช่องทาง MCF ที่กำหนดเองซึ่งรวมแชแนลสองแชแนล ได้แก่ การค้นหาที่เสียค่าใช้จ่ายของแบรนด์และการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่ายทั่วไปไว้ด้วย

การเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่คุณทำกับการจัดกลุ่มแชแนล MCF จะแสดงให้คุณเห็นคนเดียวเท่านั้น แต่ทั้งนี้คุณก็สามารถแชร์เทมเพลตกับผู้ใช้อื่นได้ง่ายๆ

คุณสามารถสร้างการจัดกลุ่มแชแนล MCF ที่กำหนดเองโดยการใช้เทมเพลตที่แชร์ หรือโดยการแก้ไขสำเนาของการจัดกลุ่มแชแนล MCF ด้วยตัวเอง

ตัวเลือกที่ 1: ใช้เทมเพลตที่แชร์เพื่อสร้างแชแนลใหม่

ไปยัง URL ต่อไปนี้เพื่อสร้างการจัดกลุ่มแชแนลที่กำหนดเองใหม่ในข้อมูลพร็อพเพอร์ตี้อันใดอันหนึ่งของคุณ: https://www.google.com/analytics/web/template?uid=yjJyuJIrTy-Jc3RQJq7TIQ

เลือกข้อมูลพร็อพเพอร์ตี้ที่คุณต้องการให้แชแนลใหม่ปรากฏ คุณสามารถเปิดลิงก์ที่แชร์ได้หลายครั้งเพื่อนำไปใช้กับข้อมูลพร็อพเพอร์ตี้หลายรายการ

ตัวเลือกที่ 2: สร้างแชแนลใหม่ด้วยตัวเอง

  1. ลงชื่อเข้าใช้บัญชี Analytics
  2. เปิดรายงาน
  3. เปิดรายงานช่องทางหลากหลายแชแนล > Conversion ที่ได้รับการสนับสนุน (หรือรายงาน MCF อื่นๆ ส่วนใหญ่)
  4. จากเมนูแบบเลื่อนลงการจัดกลุ่มแชแนลด้านบนตารางรายงาน (ข้างตัวเลือกมิติข้อมูลหลัก) ให้เลือกคัดลอกเทมเพลตการจัดกลุ่มแชแนล MCF
  5. ป้อนชื่อสำหรับการจัดกลุ่มใหม่ของคุณ เช่น แชแนลเริ่มต้นสำหรับแบรนด์และทั่วไป
  6. คลิกกำหนดแชแนลใหม่ แล้วสร้างแชแนลการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่ายของแบรนด์ดังนี้
    1. เลือกแชแนลที่กำหนดโดยระบบในเมนูแบบเลื่อนลงอันแรก แล้วเลือกการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่ายในเมนูแบบเลื่อนลงอันที่สอง
    2. คลิกปุ่ม และ
    3. เลือกประเภทข้อความค้นหาในเมนูแบบเลื่อนลงอันแรก แล้วเลือกแบรนด์ในเมนูแบบเลื่อนลงอันที่สอง
    4. คลิกเสร็จ
  7. คลิกกำหนดแชแนลใหม่ แล้วสร้างแชแนลการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่ายทั่วไปดังนี้
    1. เลือกแชแนลที่กำหนดโดยระบบในเมนูแบบเลื่อนลงอันแรก แล้วเลือกการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่ายในเมนูแบบเลื่อนลงอันที่สอง
    2. คลิกปุ่ม และ
    3. เลือกประเภทข้อความค้นหาในเมนูแบบเลื่อนลงอันแรก แล้วเลือกทั่วไปในเมนูแบบเลื่อนลงอันที่สอง
    4. คลิกเสร็จ
  8. (ไม่บังคับ) เปลี่ยนชื่อแชแนลการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่ายเริ่มต้นเป็นการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่าย (ไม่ทราบ) โดยการคลิกไอคอนแก้ไขที่อยู่ด้านข้าง คลิกเสร็จ แชแนลนี้จะรวมการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่ายซึ่งไม่สามารถระบุประเภทข้อความค้นหาหรือคีย์เวิร์ด เช่น ข้อความค้นหา (not set)
  9. คลิกปุ่มบันทึก

สำคัญ: กฎจะได้รับการประเมินตามลำดับสำหรับแต่ละเซสชัน ดังนั้นให้ตรวจสอบว่าแชแนลการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่ายของแบรนด์และการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่ายที่คุณสร้างใหม่อยู่เหนือแชแนลการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่ายเริ่มต้นในรายการค่ากำหนดแชแนล

อาจใช้เวลาถึง 24 ชั่วโมงกว่าข้อมูลจะปรากฏในรายงานช่องทางหลากหลายแชแนลเป็นชื่อแชแนลใหม่

ข้อมูลนี้มีประโยชน์ไหม

เราจะปรับปรุงได้อย่างไร
true
เลือกเส้นทางการเรียนรู้ของคุณเอง

โปรดไปที่ google.com/analytics/learn ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลใหม่ที่จะช่วยให้คุณได้รับประโยชน์สูงสุดจาก Google Analytics 4 เว็บไซต์ใหม่นี้มีทั้งวิดีโอ บทความ และขั้นตอนพร้อมคำแนะนำ รวมถึงลิงก์ไปยังแหล่งข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับ Google Analytics เช่น Discord, บล็อก, ช่อง YouTube ตลอดจนที่เก็บ GitHub

เริ่มเรียนรู้วันนี้เลย

ค้นหา
ล้างการค้นหา
ปิดการค้นหา
เมนูหลัก
1112307348206425791
true
ค้นหาศูนย์ช่วยเหลือ
true
true
true
true
true
69256
false
false