[UA] มิติข้อมูลและเมตริกที่กําหนดเอง

รวมข้อมูลที่ไม่ใช่ข้อมูลมาตรฐานในรายงานของคุณ
บทความนี้เกี่ยวข้องกับมิติข้อมูลและเมตริกที่กําหนดเองใน Universal Analytics ดูข้อมูลเกี่ยวกับมิติข้อมูลและเมตริกที่กําหนดเองใน Google Analytics 4 ได้ที่ [GA4] มิติข้อมูลและเมตริกที่กําหนดเอง

มิติข้อมูลและเมตริกที่กำหนดเองมีลักษณะเหมือนมิติข้อมูลและเมตริกที่เป็นค่าเริ่มต้นในบัญชี Analytics ของคุณ ต่างกันตรงที่คุณเป็นผู้สร้างด้วยตัวเอง คุณจะใช้มิติข้อมูลและเมตริกที่กำหนดเองเพื่อเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลที่ Analytics ไม่ได้ติดตามโดยอัตโนมัติได้

บทความนี้ประกอบด้วย

ภาพรวม

มิติข้อมูลและเมตริกที่กำหนดเองช่วยให้คุณรวมข้อมูลของ Analytics กับข้อมูลที่ไม่ใช่ของ Google Analytics เช่น ข้อมูล CRM ได้ เช่น

  • หากคุณเก็บเพศของผู้ใช้ที่ลงชื่อเข้าใช้ในระบบ CRM คุณจะรวมข้อมูลนี้กับข้อมูล Analytics เพื่อดูการดูหน้าเว็บตามเพศได้
  • หากคุณเป็นนักพัฒนาเกม เมตริกเช่น "อัตราการผ่านด่าน" หรือ "คะแนนสูงสุด" อาจเกี่ยวข้องกับคุณมากกว่าเมตริกที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เช่น การดูหน้าจอ คุณติดตามความคืบหน้าจากเมตริกที่สำคัญที่สุดได้ในรายงานที่กำหนดเองที่ยืดหยุ่นและอ่านง่าย ด้วยการติดตามข้อมูลนี้โดยใช้เมตริกที่กำหนดเอง

มิติข้อมูลที่กำหนดเองจะปรากฏเป็นมิติข้อมูลหลักในรายงานที่กำหนดเอง นอกจากนี้ คุณยังใช้เป็นกลุ่มและมิติข้อมูลรองในรายงานมาตรฐานได้ด้วย

ข้อกำหนดเบื้องต้น

มิติข้อมูลและเมตริกที่กำหนดเองจะใช้ได้กับพร็อพเพอร์ตี้ที่เปิดใช้สำหรับ Universal Analytics หรือมีข้อมูลพร็อพเพอร์ตี้สำหรับการรายงานบนแอปอย่างน้อย 1 รายการเท่านั้น มิติข้อมูลและเมตริกที่กำหนดเองได้รับการรองรับใน SDK ของ Google Analytics สำหรับ Android และ iOS เวอร์ชัน 2.x ขึ้นไป, analytics.js และ Measurement Protocol

มิติข้อมูลและเมตริกที่กำหนดเองจะต้องมีการตั้งค่าเพิ่มเติมในบัญชี Analytics และในโค้ดติดตามของคุณ เมื่อทำการติดตั้งเสร็จสิ้นทั้ง 2 ขั้นตอนแล้ว คุณจะใช้มิติข้อมูลและเมตริกที่กำหนดเองในรายงานได้

ข้อจำกัดและคำเตือน

พร็อพเพอร์ตี้แต่ละรายการจะมีดัชนี 20 รายการสำหรับมิติข้อมูลที่กำหนดเอง และดัชนี 20 รายการสำหรับเมตริกที่กำหนดเอง บัญชี 360 มีดัชนี 200 รายการสำหรับมิติข้อมูลที่กำหนดเอง และดัชนี 200 รายการสำหรับเมตริกที่กำหนดเอง

คุณลบมิติข้อมูลที่กำหนดเองไม่ได้ แต่ปิดใช้ได้ คุณควรหลีกเลี่ยงการนำมิติข้อมูลที่กำหนดเองมาใช้ใหม่ เมื่อคุณแก้ไขชื่อ ขอบเขต และค่าของมิติข้อมูลที่กำหนดเอง ทั้งค่าเก่าและค่าใหม่อาจจับคู่กับชื่อมิติข้อมูลเก่าหรือใหม่ได้ ซึ่งจะทำให้ข้อมูลในรายงานของคุณปนกันจนแยกด้วยตัวกรองได้อย่างไม่ถูกต้อง

มิติข้อมูลที่กําหนดเองบางรายการจะใช้ไม่ได้ในการรายงาน เมื่อใช้ร่วมกับข้อมูลประชากร คุณอาจพบปัญหาข้อจํากัดด้านเกณฑ์หรือความไม่เข้ากันในการรายงานหรือปัญหาที่เกิดกับ API เมื่อขอมิติข้อมูลที่กําหนดเองพร้อมข้อมูลประชากร

วงจรของมิติข้อมูลและเมตริกที่กำหนดเอง

วงจรของมิติข้อมูลและเมตริกที่กำหนดเองมี 4 ขั้นตอนดังนี้

  • การกำหนดค่า – คุณต้องให้คำจำกัดความมิติข้อมูลและเมตริกที่กำหนดเองพร้อมด้วยดัชนี ชื่อ และพร็อพเพอร์ตี้อื่นๆ เช่น ขอบเขต
  • การรวบรวม – คุณต้องส่งค่ามิติข้อมูลและเมตริกที่กำหนดเองไปยัง Analytics จากการใช้งานของคุณ
  • การประมวลผล – ข้อมูลจะได้รับการประมวลผลโดยใช้คำจำกัดความมิติข้อมูลและเมตริกที่กำหนดเอง และตัวกรองข้อมูลพร็อพเพอร์ตี้สำหรับการรายงาน
  • การรายงาน – คุณต้องสร้างรายงานใหม่โดยใช้มิติข้อมูลและเมตริกที่กำหนดเองในอินเทอร์เฟซผู้ใช้ Analytics

การกำหนดค่า

ก่อนที่คุณจะส่งค่ามิติข้อมูลและเมตริกที่กำหนดเองไปยัง Analytics ได้ ค่าเหล่านั้นต้องได้รับการจำกัดความในพร็อพเพอร์ตี้ Analytics ก่อน พร็อพเพอร์ตี้ Analytics แต่ละรายการมีดัชนี 20 รายการที่ใช้ได้สำหรับมิติข้อมูลที่กำหนดเอง และดัชนีอีก 20 รายการที่ใช้ได้สำหรับเมตริกที่กำหนดเอง

เมื่อคุณกำหนดมิติข้อมูลหรือเมตริกที่กำหนดเอง คุณจะต้องระบุชื่อและค่าการกำหนดค่าอื่นๆ และ Analytics จะกำหนดหมายเลขดัชนีที่คุณจะใช้ในภายหลังเพื่ออ้างอิงมิติข้อมูลหรือเมตริก มิติข้อมูลที่กำหนดเองมีการกำหนดค่าดังต่อไปนี้

  • ชื่อ – ชื่อของมิติข้อมูลที่กำหนดเองตามที่จะปรากฏในรายงาน
  • ขอบเขต - ระบุข้อมูลที่จะใช้มิติข้อมูลหรือเมตริกที่กำหนดเอง ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับขอบเขต
  • ใช้งานอยู่ – ระบุว่าค่ามิติข้อมูลหรือเมตริกที่กำหนดเองจะได้รับการประมวลผลหรือไม่ มิติข้อมูลที่กำหนดเองที่ไม่ได้ใช้งานอาจยังคงปรากฏในการรายงาน แต่ค่าของมิติข้อมูลนั้นจะไม่ได้รับการประมวลผล

เมตริกที่กำหนดเองมีการกำหนดค่าดังต่อไปนี้

  • ชื่อ – ชื่อของเมตริกที่กำหนดเองตามที่จะปรากฏในรายงาน
  • ประเภท - กำหนดวิธีการที่ค่าเมตริกที่กำหนดเองจะแสดงในรายงาน
  • ค่าต่ำสุด/สูงสุด – ค่าต่ำสุดและสูงสุดที่จะได้รับการประมวลผลและแสดงในรายงาน
  • ใช้งานอยู่ - ระบุว่าค่าเมตริกที่กำหนดเองจะได้รับการประมวลผลหรือไม่ เมตริกที่กำหนดเองที่ไม่ได้ใช้งานอาจยังคงปรากฏในการรายงาน แต่ค่าของเมตริกนั้นจะไม่ได้รับการประมวลผล

คุณกำหนดมิติข้อมูลและเมตริกที่กำหนดเองได้ในอินเทอร์เฟซผู้ใช้ Analytics

เมื่อสร้างมิติข้อมูลหรือเมตริกที่กำหนดเอง พยายามอย่าแก้ไขชื่อหรือขอบเขต ดูการพิจารณาการนำไปใช้เพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติมว่าการเปลี่ยนแปลงค่าเหล่านี้จะส่งผลอย่างไรต่อการรายงาน

การรวบรวม

ระบบจะส่งค่าของมิติข้อมูลและเมตริกที่กำหนดเองไปยัง Analytics เมื่อมีการรวบรวมในรูปแบบคู่ของพารามิเตอร์ดัชนีและค่า พารามิเตอร์ดัชนีจะสอดคล้องกับหมายเลขดัชนีของมิติข้อมูลหรือเมตริกที่กำหนดเองซึ่ง Analytics กำหนดขึ้นในขั้นตอนการกำหนดค่า

มิติข้อมูลและเมตริกที่กำหนดเองแตกต่างจากข้อมูลประเภทอื่นตรงที่จะมีการส่งไปยัง Analytics เป็นพารามิเตอร์ที่แนบมากับ Hit อื่นๆ เช่น การดูหน้าเว็บ เหตุการณ์ หรือธุรกรรมอีคอมเมิร์ซ ดังนั้นจึงต้องมีการกำหนดค่ามิติข้อมูลหรือเมตริกที่กำหนดเองก่อนที่จะทำการติดตามการโทร เพื่อให้มีการส่งค่านั้นไปยัง Analytics

ตัวอย่างเช่น ในการกำหนดค่าของมิติข้อมูลที่กำหนดเอง โค้ดอาจมีลักษณะเช่นนี้

ga('create', 'UA-XXXX-Y', 'auto');

// ตั้งค่าสำหรับมิติข้อมูลที่กำหนดเองที่ดัชนี 1
ga('set', 'cd1', 'Level 1');

// ส่งค่าของมิติข้อมูลที่กำหนดเองพร้อมกับ Hit การดูหน้าเว็บ
ga('send', 'pageview');

ประเภทเมตริกที่กำหนดเอง

เมตริกที่กำหนดเองประเภทจำนวนเต็มหรือเวลาควรมีการส่งเป็นจำนวนเต็ม ขณะที่เมตริกที่กำหนดเองประเภทสกุลเงินควรมีการส่งเป็นค่าทศนิยมที่มีตำแหน่งแน่นอนตามที่เหมาะสมกับสกุลเงินท้องถิ่น

การประมวลผล

เมื่อมีการประมวลผลมิติข้อมูลที่กำหนดเอง ขอบเขตจะกำหนดว่าค่ามิติข้อมูลที่กำหนดเองนั้นๆ จะใช้กับ Hit ใด ขณะที่ตัวกรองข้อมูลพร็อพเพอร์ตี้จะกำหนด Hit และค่าที่เกี่ยวข้องที่จะรวมไว้ในการรายงาน

ขอบเขตและลำดับความสำคัญ

ขอบเขตเป็นตัวกำหนดว่า Hit ใดจะเชื่อมโยงกับค่ามิติข้อมูลที่กำหนดเอง ขอบเขตมี 4 ระดับ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์, Hit, เซสชัน และผู้ใช้ โดยมีรายละเอียดดังนี้

  • ผลิตภัณฑ์ – ระบบจะใช้ค่ากับผลิตภัณฑ์ที่ได้กำหนดไว้ (อีคอมเมิร์ซที่เพิ่มประสิทธิภาพเท่านั้น)
  • Hit - ระบบจะใช้ค่ากับ Hit เดียวที่ได้กำหนดไว้
  • เซสชัน - ระบบจะใช้ค่ากับ Hit ทั้งหมดในเซสชันเดียว
  • ผู้ใช้ - ระบบจะใช้ค่ากับ Hit ทั้งหมดในเซสชันปัจจุบันและอนาคต จนกว่าค่าจะเปลี่ยนแปลงหรือมิติข้อมูลที่กำหนดเองจะมีสถานะไม่ใช้งาน
ขอบเขตระดับผลิตภัณฑ์

เมื่อมิติข้อมูลที่กำหนดเองมีขอบเขตระดับผลิตภัณฑ์ จะมีการใช้ค่ากับผลิตภัณฑ์ที่มีการกำหนดค่าไว้เท่านั้น เนื่องจากระบบจะส่งผลิตภัณฑ์หลายรายการได้ใน Hit เดียว ดังนั้นมิติข้อมูลที่กำหนดเองหลายรายการที่มีขอบเขตระดับผลิตภัณฑ์ก็จะส่งได้ใน Hit เดียวเช่นกัน

ขอบเขตระดับ Hit

เมื่อมิติข้อมูลที่กำหนดเองมีขอบเขตระดับ Hit จะมีการใช้ค่ากับ Hit ที่มีการกำหนดค่าไว้เท่านั้น ดังแสดงไว้ในรูป A รูป B และรูป C ด้านล่างนี้

รูป A: ผู้ใช้ส่ง Hit 2 ครั้ง (H1, H2) H2 มีค่า CD1 เป็น A ค่านั้นจะใช้กับ H2 เท่านั้น
 
รูป B: ผู้ใช้ส่ง Hit ครั้งที่ 3 (H3) H3 ไม่มีค่า CD
 
รูป C: ผู้ใช้ส่ง Hit ครั้งที่ 4 (H4) H4 มีค่า CD1 เป็น B ค่านั้นจะใช้กับ H4 เท่านั้น


ขอบเขตระดับเซสชัน

เมื่อมีการกำหนด 2 ค่าที่มีขอบเขตเซสชันที่ดัชนีเดียวกันในเซสชัน ค่าชุดสุดท้ายจะมีความสำคัญเหนือกว่า และใช้กับ Hit ทั้งหมดในเซสชันนั้น ในรูป D ด้านล่าง ชุดค่าล่าสุดจะเขียนทับค่าก่อนหน้าสำหรับดัชนีนั้น ดังต่อไปนี้

รูป A: ผู้ใช้ส่ง Hit (H1) ที่ไม่มีค่า CD
 
รูป B: ในเซสชันเดียวกันนี้ ผู้ใช้ส่ง Hit ครั้งที่ 2 (H2) ที่มีการกำหนดค่า CD1 เป็น A ขอบเขตเซสชันจะทำให้มีการใช้ค่า A กับ H1 ด้วย
 
รูป C: ผู้ใช้ส่ง Hit ครั้งที่ 3 (H3) แม้ว่าจะไม่มีการส่งค่า CD1 กับ H3 แต่ขอบเขตเซสชันจะทำให้มีการใช้ค่า A กับ H3 โดยอัตโนมัติ
 
รูป D: ผู้ใช้ส่ง Hit ครั้งที่ 4 (H4) ที่มีค่า CD1 ใหม่เป็น B ขอบเขตเซสชันจะใช้ค่า B กับ Hit ทั้งหมดในเซสชัน โดยจะเขียนทับค่า A ใน Hit ก่อนหน้า


ขอบเขตระดับผู้ใช้

และสุดท้าย หากมีการตั้งค่ามิติข้อมูลที่กำหนดเองที่มีขอบเขตระดับผู้ใช้ 2 ค่าภายในเซสชันเดียวกัน ชุดค่าสุดท้ายจะมีความสำคัญเหนือกว่าสำหรับเซสชันปัจจุบัน และจะใช้กับเซสชันในอนาคตสำหรับผู้ใช้นั้น

ในรูป B ที่ด้านล่าง มีการใช้ค่า A ของ CD กับ Hit ทั้งหมดในเซสชัน 2 เช่นเดียวกับ CD ระดับเซสชัน อย่างไรก็ตาม ในรูป C ซึ่งแตกต่างจากขอบเขตระดับเซสชัน ยังคงมีการใช้ค่า A ของ CD กับ Hit ในเซสชันที่ 3 เนื่องจาก CD1 มีขอบเขตระดับผู้ใช้

รูป A: ผู้ใช้มีเซสชันที่มี Hit 3 ครั้ง (H1, H2, H3) ไม่มีการกำหนดค่า CD
 
รูป B: ผู้ใช้คนเดียวกันนี้กลับมาและเกิดอีกเซสชันหนึ่ง ซึ่งมี Hit อีก 3 ครั้ง มีการกำหนดค่า CD1 เป็น A ใน H3 จากนั้นมีการใช้ค่า CD1 กับ Hit ทั้งหมดในเซสชัน
 
รูป C: ผู้ใช้กลับมาและเกิดเซสชันที่ 3 ซึ่งมี Hit อีก 3 ครั้ง ขอบเขตระดับผู้ใช้ของ CD1 จะทำให้มีการใช้ค่า A กับ Hit ทั้งหมดในเซสชันที่ 3

ตัวกรอง

ตัวกรองข้อมูลพร็อพเพอร์ตี้จะโต้ตอบกับมิติข้อมูลและเมตริกที่กำหนดเองได้หลายวิธี

ค่าของมิติข้อมูลและเมตริกที่กำหนดเองแต่ละค่าจะสอดคล้องกับ Hit ที่ได้รับ ไม่ว่าจะมีขอบเขตระดับใด หาก Hit นั้นถูกกรองโดยตัวกรองข้อมูลพร็อพเพอร์ตี้ มิติข้อมูลหรือเมตริกที่กำหนดเองอาจถูกกรองด้วย ซึ่งขึ้นอยู่ขอบเขต ดังนี้

  1. ขอบเขตระดับ Hit: ระบบจะกรองทั้งมิติข้อมูลที่กำหนดเองที่มีขอบเขตระดับ Hit และเมตริกที่กำหนดเองทั้งหมด หากมีการกรอง Hit ที่เชื่อมโยงด้วย
  2. ขอบเขตระดับเซสชันหรือผู้ใช้: ระบบจะไม่กรองมิติข้อมูลที่กำหนดเองที่มีขอบเขตระดับผู้ใช้หรือเซสชัน แม้ว่าจะมีการกรอง Hit ที่แนบมาด้วย ระบบจะยังคงใช้ค่าของมิติข้อมูลที่กำหนดเองกับ Hit ทั้งหมดในเซสชันปัจจุบัน รวมถึงเซสชันในอนาคตด้วยหากมิติข้อมูลมีขอบเขตระดับผู้ใช้

มิติข้อมูลที่กำหนดเองยังใช้ในการสร้างตัวกรองข้อมูลพร็อพเพอร์ตี้ได้ด้วย ซึ่งจะทำให้ Hit ได้รับการกรองตามขอบเขตของมิติข้อมูลที่กำหนดเอง เช่น การกรองในค่ามิติข้อมูลที่กำหนดเองที่มีขอบเขตระดับผู้ใช้จะกรองเซสชันปัจจุบันและอนาคตจากกลุ่มผู้ใช้ที่เชื่อมโยงกับค่านั้น

การรายงาน

หลังจากเสร็จสิ้นขั้นตอนของการรวบรวม การกำหนดค่า และการประมวลผลอื่นๆ ในกระบวนการแล้ว มิติข้อมูลและเมตริกที่กำหนดเองจะใช้งานได้ผ่านทางอินเทอร์เฟซการรายงานของผู้ใช้

มิติข้อมูลและเมตริกที่กำหนดเองจะใช้ได้ในรายงานที่กำหนดเอง และใช้ได้กับกลุ่มขั้นสูง มิติข้อมูลที่กำหนดเองยังใช้เป็นมิติข้อมูลรองในรายงานมาตรฐานได้ด้วย

ตัวอย่าง

ตัวอย่างต่อไปนี้แสดงให้เห็นว่านักพัฒนาเกมใช้มิติข้อมูลและเมตริกที่กำหนดเองอย่างไรในการเรียนรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้เล่น

นักพัฒนาเกมได้เปิดตัวเกมใหม่เมื่อเร็วๆ นี้

การใช้งาน Analytics ในปัจจุบันจะติดตามการดูหน้าจอแต่ละครั้งที่ผู้ใช้เล่นในด่านใดด่านหนึ่ง นักพัฒนาเกมทราบแล้วว่ามีการเล่นกี่ครั้งในแต่ละด่าน ตอนนี้พวกเขาต้องการทราบคำตอบของคำถามขั้นสูงขึ้น ดังนี้

  1. มีการเล่นระดับง่ายกี่ครั้งเทียบกับระดับปานกลางหรือระดับยาก
  2. มีการเล่นกี่ด่านในแต่ละวันในช่วงทดลองเล่นฟรี 3 วัน
  3. ผู้ใช้ในช่วงทดลองมีการเล่นกี่ด่านเทียบกับผู้ใช้ที่จ่ายเงินเพื่อเล่นเกม

ในการตอบคำถามเหล่านี้ มีการใช้มิติข้อมูลที่กำหนดเองเพื่อสร้างการจัดกลุ่มของ Hit, เซสชัน และผู้ใช้ขึ้นใหม่

นอกจากนี้ นักพัฒนาเกมยังขายฟีเจอร์พิเศษจำนวนหนึ่งเพื่ออัปเกรดการเล่นด้วย เช่น "ไอเทมเพิ่มพลัง" นักพัฒนาเกมใช้ช่องหมวดหมู่และตัวแปรอยู่แล้ว แต่ต้องการช่องเพิ่มอีกช่องเพื่อวัดประสิทธิภาพของไอเทมเพิ่มพลังที่มีการซื้อ วิธีนี้จะทำให้นักพัฒนาเกมตัดสินได้ว่าประสิทธิภาพของไอเทมเพิ่มพลังบางไอเทมเป็นที่นิยมมากกว่าไอเทมอื่นๆ ไหม

ขอบเขตระดับ Hit

ลองดูตัวอย่างว่านักพัฒนาเกมใช้มิติข้อมูลที่กำหนดเองระดับ Hit อย่างไรในการดูว่ามีการเล่นด่านที่แต่ละระดับความยาก ได้แก่ ง่าย ปานกลาง หรือยาก กี่ด่าน

นักพัฒนาเกมติดตามจำนวนครั้งที่มีการเล่นแต่ละด่านอยู่แล้วโดยใช้การดูหน้าจอ ตอนนี้พวกเขาต้องการที่จะทราบว่ามีการเล่นที่ระดับความยากใดมากที่สุด

รายงานจะมีลักษณะเช่นนี้

ระดับความยาก การดูหน้าจอ
ง่าย  
ปานกลาง  
ยาก  

ก่อนที่จะใช้มิติข้อมูลที่กำหนดเอง นักพัฒนาเกมจะดูการดูหน้าจอรวมตามด่านได้ แต่จัดกลุ่มการดูหน้าจอดังกล่าวตามระดับความยากไม่ได้

ด้วยการใช้มิติข้อมูลที่กำหนดเองระดับ Hit ระดับความยากจะเชื่อมโยงกับการดูหน้าจอแต่ละครั้งได้ ช่วยให้รายงานมีข้อมูลระดับความยากที่มีการเล่นมากที่สุด

ทำไมจึงใช้ขอบเขตระดับ Hit

ผู้ใช้อาจเล่นหลายด่านในช่วงเซสชันหนึ่ง การใช้ขอบเขตระดับ Hit จะทำให้ค่าระดับความยากเชื่อมโยงกับการดูหน้าจอที่มีการส่งค่าดังกล่าวเท่านั้น ซึ่งทำให้มั่นใจว่าการดูหน้าจอแต่ละด่านจะเชื่อมโยงกับระดับความยากที่ไม่ซ้ำกัน

การกำหนดค่า

ขั้นตอนแรกในการใช้มิติข้อมูลที่กำหนดเองคือ การจำกัดความมิติข้อมูลดังกล่าวในการตั้งค่าพร็อพเพอร์ตี้ในส่วนผู้ดูแลระบบของ Analytics ในตัวอย่างนี้ การจำกัดความมิติข้อมูลที่กำหนดเองมีลักษณะเช่นนี้

ดัชนี 1
ชื่อ ระดับความยาก
ขอบเขต Hit
ใช้งานอยู่ true

การรวบรวม

ในเกม นักพัฒนาเกมจะติดตามแต่ละด่านอยู่แล้วด้วยการดูหน้าจอ ในการเชื่อมโยงระดับความยากกับแต่ละด่าน คุณต้องกำหนดค่ามิติข้อมูลที่กำหนดเองก่อนที่จะเรียกใช้เพื่อติดตามการดูหน้าจอ

การติดตั้งใช้งานอาจมีลักษณะเช่นนี้

ga('create', 'UA-XXXX-Y', 'auto');

// ตั้งค่าสำหรับมิติข้อมูลที่กำหนดเองที่ดัชนี 1
ga('set', 'cd1', 'easy');

// ส่งค่ามิติข้อมูลที่กำหนดเองพร้อมกับ Hit การดูหน้าเว็บ
ga('send', 'pageview', '/level_1/');

ในตัวอย่างนี้ มิติข้อมูลที่กำหนดเองได้รับการตั้งค่าก่อนที่จะมีการติดตามการดูหน้าจอของด่าน ซึ่งจะเชื่อมโยงระดับความยากกับการดูหน้าจอ และทำให้จัดกลุ่ม Hit การดูหน้าจอตามระดับความยากในรายงานได้

การประมวลผล

หลังจากที่รวบรวม Hit และส่งไปยัง Analytics แล้ว ระบบจะประมวลผลข้อมูลและใช้ค่ามิติข้อมูลที่กำหนดเองกับ Hit ตามขอบเขต

เช่น ข้อมูลที่รวบรวมสำหรับผู้เล่นคนเดียวที่มี 1 เซสชัน และเล่น 6 ด่าน มีลักษณะเช่นนี้

รหัสผู้ใช้ = 5555
เซสชัน 1:
H1: screen_name=/level_1/ cd1_value=easy
H2: screen_name=/level_2/ cd1_value=medium
H3: screen_name=/level_3/ cd1_value=hard
H4: screen_name=/level_4/ cd1_value=easy
H5: screen_name=/level_5/ cd1_value=medium
H6: screen_name=/level_6/ cd1_value=medium

โปรดทราบว่าการใช้ขอบเขตระดับ Hit จะทำให้ค่าความยากเชื่อมโยงกับการดูหน้าจอที่มีการส่งค่าดังกล่าวเท่านั้น

การรายงาน

เมื่อประมวลผล นักพัฒนาเกมจะสร้างรายงานที่ใช้ทั้งชื่อหน้าจอและระดับความยากเป็นมิติข้อมูลและใช้การดูหน้าจอเป็นเมตริกได้ เนื่องจากการดูหน้าจอแต่ละครั้งต่างก็เชื่อมโยงกับค่าระดับความยากที่สอดคล้องกัน

ชื่อหน้าจอ ระดับความยาก การดูหน้าจอ
/ด่าน_1/ ง่าย 1
/ด่าน_2/ ปานกลาง 1
/ด่าน_3/ ยาก 1
/ด่าน_4/ ง่าย 1
/ด่าน_5/ ปานกลาง 1
/ด่าน_6/ ปานกลาง 1

รายงานที่กำหนดเองจะสร้างโดยใช้ระดับความยากเป็นมิติข้อมูลหลักในการจัดกลุ่มการดูหน้าจอ และดูจำนวนครั้งที่มีการเล่นในแต่ละระดับความยากได้ดังนี้

ระดับความยาก การดูหน้าจอ
ง่าย 2
ปานกลาง 3
ยาก 1

ในรายงานนี้ ระดับความยากปานกลางมีการเล่นมากที่สุด คุณจะดูข้อมูลเชิงลึกนี้ได้โดยใช้มิติข้อมูลที่กำหนดเองระดับ Hit ในการจัดกลุ่มการดูหน้าจอ

ขอบเขตระดับเซสชัน

มาดูตัวอย่างว่านักพัฒนาเกมจะใช้มิติข้อมูลที่กำหนดเองระดับเซสชันในการดูว่า ในแต่ละวันมีการเล่นกี่ด่านสำหรับการทดลองเล่นฟรี 3 วัน

นักพัฒนาเกมทราบแล้วว่ามีการเล่นในแต่ละด่านกี่ครั้ง โดยการติดตามการดูหน้าจอของแต่ละด่าน ตอนนี้พวกเขาต้องการทราบจำนวนด่านที่มีการเล่นในแต่ละวัน

รายงานที่นักพัฒนาเกมต้องการสร้างมีลักษณะเช่นนี้

วันที่ทดลองเล่น การดูหน้าจอ
วันที่ 1  
วันที่ 2  
วันที่ 3  

การใช้มิติข้อมูลที่กำหนดเองระดับเซสชันจะช่วยให้นักพัฒนาเกมจัดกลุ่มการดูหน้าจอตามวันที่ทดลองเล่นได้ และดูว่าตัวเลขมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรเมื่อผู้ใช้ใช้เวลามากขึ้นในช่วงทดลองเล่น

ทำไมจึงต้องใช้ขอบเขตระดับเซสชัน

คุณจะใช้ขอบเขตระดับเซสชันเพื่อจัดกลุ่มทั้งเซสชัน และ Hit ส่วนประกอบทั้งหมดในเซสชันนั้นอย่างมีประสิทธิภาพได้ ภายใต้แต่ละวันที่ทดลองเล่น

แม้ว่าจะใช้ขอบเขตระดับ Hit เพื่อทำงานเดียวกันนี้ได้ แต่การใช้ขอบเขตระดับเซสชันจะช่วยให้คุณกำหนดค่าวันที่ทดลองเล่นได้ง่ายๆ โดยใช้โค้ดเพิ่มเติมน้อยที่สุด

การกำหนดค่า

มิติข้อมูลที่กำหนดเองของวันที่ทดลองเล่นกำหนดอยู่ในส่วนการตั้งค่าพร็อพเพอร์ตี้ของอินเทอร์เฟซผู้ใช้ Analytics พร้อมด้วยค่าเหล่านี้

ดัชนี 2
ชื่อ วันที่ทดลองเล่น
ขอบเขต เซสชัน
ใช้งานอยู่ true

การรวบรวม

ในเกม นักพัฒนาเกมจะติดตามแต่ละด่านอยู่แล้วด้วยการดูหน้าจอ ในการเชื่อมโยงวันกับการดูหน้าจอทั้งหมดในเซสชัน คุณต้องตั้งค่ามิติข้อมูลที่กำหนดเองเพียง 1 ครั้งต่อเซสชัน

นักพัฒนาเกมอาจตั้งค่ามิติข้อมูลที่กำหนดเองเมื่อผู้ใช้เริ่มเล่นเกมครั้งแรก ดังนี้

ga('create', 'UA-XXXX-Y', 'auto');

// ตั้งค่าสำหรับมิติข้อมูลที่กำหนดเองที่ดัชนี 2
var day = getDayOfTrial();
ga('set', 'dimension2', day );

// ส่งค่ามิติข้อมูลที่กำหนดเองพร้อมกับ Hit การดูหน้าเว็บ
ga('send', 'pageview', '/level_1/');

โปรดทราบว่าคุณจะตั้งค่ามิติข้อมูลที่กำหนดเองระดับเซสชันได้ทุกเมื่อในระหว่างเซสชัน แต่ในตัวอย่างนี้จะสะดวกสำหรับนักพัฒนาเกมที่ต้องการพิจารณาวันที่ทดลองใช้ และตั้งค่าให้สอดคล้องตอนที่เริ่มต้นเซสชัน

การประมวลผล

หลังจากที่รวบรวม Hit และส่งไปยัง Analytics แล้ว ระบบจะประมวลผลข้อมูลและใช้ค่ามิติข้อมูลที่กำหนดเองกับ Hit ตามขอบเขต

เช่น มีการรวบรวมข้อมูลของผู้เล่นคนหนึ่งซึ่งเล่นเกม 2 ครั้งในวันแรก 1 ครั้งในวันที่สอง และ 1 ครั้งในวันที่สาม โดยมีข้อมูลดังต่อไปนี้

รหัสผู้ใช้ = 5555
เซสชัน 1:
H1: screen_name=/level_1/  cd2_value=1
H2: screen_name=/level_2/
H3: screen_name=/level_2/

เซสชัน 2:
H4: screen_name=/level_3/  cd2_value=1
H5: screen_name=/level_4/
H6: screen_name=/level_4/

เซสชัน 3:
H1: screen_name=/level_1/  cd2_value=2
H2: screen_name=/level_2/
H3: screen_name=/level_3/

เซสชัน 4:
H1: screen_name=/level_3/  cd2_value=3

โปรดทราบว่าค่าของมิติข้อมูลที่กำหนดเองได้รับการส่งพร้อมกับการดูหน้าจอ 1 ครั้งต่อเซสชันเท่านั้น

ขอบเขตเซสชันทำให้มั่นใจว่าค่าวันที่ทดลองใช้จะเชื่อมโยงกับ Hit ทั้งหมดในเซสชันนั้น ไม่ใช่แค่กับ Hit ที่ส่งไปด้วยเท่านั้น

การรายงาน

หลังการประมวลผล ค่ามิติข้อมูลที่กำหนดเองระดับเซสชันจะเชื่อมโยงกับการดูหน้าจอทั้งหมดที่ได้รับในเซสชันเดียวกัน ตอนนี้นักพัฒนาเกมจึงสร้างรายงานโดยใช้วันที่ทดลองเล่นและชื่อหน้าจอเป็นมิติข้อมูล และการดูหน้าจอเป็นเมตริกได้ดังนี้

วันที่ทดลองเล่น ชื่อหน้าจอ การดูหน้าจอ
1 /ด่าน_1/ 1
1 /ด่าน_2/ 2
1 /ด่าน_3/ 1
1 /ด่าน_4/ 2
2 /ด่าน_1/ 1
2 /ด่าน_2/ 1
2 /ด่าน_3/ 1
3 /ด่าน_3/ 1

และสุดท้าย นักพัฒนาเกมจะสร้างรายงานที่กำหนดเองที่ใช้วันที่ทดลองเล่นเป็นมิติข้อมูลหลักได้ เพื่อจัดกลุ่มการดูหน้าจอตามวันและดูจำนวนด่านที่มีการเล่นในแต่ละวัน

วันที่ทดลองเล่น การดูหน้าจอ
1 6
2 3
3 1

ข้อมูลแสดงให้เห็นว่ามีการเล่นด่านส่วนใหญ่ในวันแรก และเล่นด่านน้อยลงอย่างเห็นได้ชัดในวันที่ 2 และ 3 ข้อมูลเชิงลึกนี้ดูได้โดยใช้มิติข้อมูลที่กำหนดเองระดับเซสชันในการจัดกลุ่มเซสชันต่างๆ และ Hit ส่วนประกอบของเซสชันตามค่าเดียว

ขอบเขตระดับผู้ใช้

สุดท้ายมาดูตัวอย่างว่า นักพัฒนาเกมใช้มิติข้อมูลที่กำหนดเองระดับผู้ใช้อย่างไรเพื่อดูจำนวนด่านที่เล่นโดยผู้ใช้ที่จ่ายเงินเทียบกับผู้ใช้ที่ทดลองเล่นฟรี

เช่นเดียวกับตัวอย่างก่อนหน้า นักพัฒนาเกมติดตามจำนวนครั้งทั้งหมดที่มีการเล่นในแต่ละด่านด้วยการดูหน้าจอ แต่ตอนนี้พวกเขาต้องการจัดกลุ่มการดูหน้าจอตามผู้ใช้ฟรีและผู้ใช้ที่จ่ายเงิน

รายงานที่นักพัฒนาเกมต้องการดูมีลักษณะเช่นนี้

ประเภทของผู้เล่น การดูหน้าจอ
ฟรี  
จ่ายเงิน  

มิติข้อมูลที่กำหนดเองระดับผู้ใช้จะช่วยให้นักพัฒนาเกมดูข้อมูลนี้โดยการเชื่อมโยงการดูหน้าจอทั้งหมดของผู้ใช้รายนั้นๆ ในเซสชันปัจจุบันและอนาคตกับค่าประเภทของผู้เล่น

ทำไมจึงใช้ขอบเขตระดับผู้ใช้

ขอบเขตระดับผู้ใช้ช่วยให้คุณจัดกลุ่มเซสชันส่วนประกอบของผู้ใช้และ Hit ตามค่าเดียวได้โดยสะดวก และเหมาะอย่างยิ่งสำหรับค่าที่ไม่เปลี่ยนแปลงบ่อยนักสำหรับผู้ใช้รายนั้นๆ เช่น ประเภทของผู้เล่นในตัวอย่างนี้

โปรดสังเกตว่า แม้ว่าฟังก์ชันนี้จะทำได้โดยใช้ Hit หรือขอบเขตระดับเซสชัน แต่ขอบเขตระดับผู้ใช้เป็นโซลูชันที่สะดวกที่สุดและใช้โค้ดน้อยที่สุด

การกำหนดค่า

มิติข้อมูลที่กำหนดเองประเภทของผู้เล่นจะกำหนดในส่วนผู้ดูแลระบบพร้อมด้วยค่าเหล่านี้

ดัชนี 3
ชื่อ ประเภทของผู้เล่น
ขอบเขต ผู้ใช้
ใช้งานอยู่ true

การรวบรวม

ในตัวอย่างก่อนหน้า นักพัฒนาเกมติดตามแต่ละด่านด้วยการดูหน้าจอ ในการจัดกลุ่มการดูหน้าจอเหล่านั้นตามประเภทของผู้เล่น นักพัฒนาเกมจะต้องตั้งค่ามิติข้อมูลประเภทของผู้เล่นเมื่อผู้ใช้เริ่มต้นเกม และตั้งค่าครั้งที่ 2 หากผู้ใช้จ่ายเงินเพื่อเข้าเล่นเกมเวอร์ชันเต็มในภายหลัง

นักพัฒนาเกมอาจตั้งค่ามิติข้อมูลที่กำหนดเองเมื่อผู้ใช้เริ่มเล่นเกมครั้งแรก ดังนี้

ga('create', 'UA-XXXX-Y', 'auto');

// ตั้งค่าสำหรับมิติข้อมูลที่กำหนดเองที่ดัชนี 3
ga('set', 'dimension3', 'Free' );

// ส่งค่ามิติข้อมูลที่กำหนดเองพร้อมกับ Hit การดูหน้าเว็บ
ga('send', 'pageview', '/level_1/');

นักพัฒนาเกมต้องตั้งค่ามิติข้อมูลที่กำหนดเองเมื่อผู้ใช้จ่ายเงินสำหรับเกมเวอร์ชันเต็ม ดังนี้

ga('create', 'UA-XXXX-Y', 'auto');

// ตั้งค่าสำหรับมิติข้อมูลที่กำหนดเองที่ดัชนี 3
ga('set', 'dimension3', 'Paid' );

// ส่งค่ามิติข้อมูลที่กำหนดเองพร้อมกับ Hit การดูหน้าเว็บ
ga('send', 'pageview', '/level_1/');

การประมวลผล

เช่นเดียวกับตัวอย่างก่อนหน้า หลังจากที่รวบรวมข้อมูลแล้ว ระบบจะประมวลผลข้อมูลและใช้ค่ามิติข้อมูลที่กำหนดเองกับ Hit ตามขอบเขต

เช่น มีการรวบรวมข้อมูลของผู้เล่นคนหนึ่งซึ่งเล่นเกม 2 ครั้งในฐานะผู้ใช้ฟรี และ 1 ครั้งในฐานะผู้ใช้ที่จ่ายเงิน โดยมีลักษณะเช่นนี้

รหัสผู้ใช้ = 5555
เซสชัน 1:
H2: screen_name=/level_1/ cd3_value=free
H3: screen_name=/level_2/

เซสชัน 2:
H1: screen_name=/level_2/
H2: screen_name=/level_3/
H3: screen_name=/level_3/

เซสชัน 3:
H1: screen_name=/level_3/ cd3_value=paid
H2: screen_name=/level_4/

โปรดทราบว่าค่า ฟรี ที่กำหนดในเซสชัน 1 จะใช้กับ Hit ทั้งหมดในเซสชันนั้นรวมทั้งเซสชัน 2 จนกระทั่งมีค่า จ่ายเงิน ใหม่ในเซสชัน 3

การรายงาน

หลังการประมวลผล ระบบจะเชื่อมโยงมิติข้อมูลที่กำหนดเองประเภทของผู้เล่นกับเซสชันที่มีการตั้งค่า รวมถึงเซสชันและ Hit ในอนาคตทั้งหมด

ตอนนี้นักพัฒนาเกมจะสร้างรายงานโดยใช้ประเภทของผู้เล่นและชื่อหน้าจอเป็นมิติข้อมูล และการดูหน้าจอเป็นเมตริกได้ดังนี้

ประเภทของผู้เล่น ชื่อหน้าจอ การดูหน้าจอ
ฟรี /ด่าน_1/ 1
ฟรี /ด่าน_2/ 2
ฟรี /ด่าน_3/ 2
จ่ายเงิน /ด่าน_3/ 1
จ่ายเงิน /ด่าน_4/ 1

และสุดท้าย นักพัฒนาเกมจะสร้างรายงานที่กำหนดเองที่ใช้ประเภทของผู้เล่นเป็นมิติข้อมูลหลักได้ เพื่อจัดกลุ่มการดูหน้าจอตามประเภทของผู้เล่นและดูจำนวนด่านที่มีการเล่นโดยผู้เล่นฟรีและผู้เล่นที่จ่ายเงิน

ประเภทของผู้เล่น การดูหน้าจอ
ฟรี 5
จ่ายเงิน 2

ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าผู้ใช้ฟรีเล่นเกมในจำนวนด่านที่มากกว่าผู้ใช้ที่จ่ายเงิน ข้อมูลเชิงลึกนี้ดูได้โดยใช้มิติข้อมูลที่กำหนดเองระดับผู้ใช้ในการจัดกลุ่มผู้ใช้และเซสชันส่วนประกอบของผู้ใช้และ Hit ตามค่าเดียว

ขอบเขตระดับผลิตภัณฑ์

ลองดูตัวอย่างว่านักพัฒนาเกมใช้มิติข้อมูลที่กำหนดเองระดับผลิตภัณฑ์อย่างไร ในการดูว่ามีการซื้อไอเทมเพิ่มพลังระดับใดบ้าง ได้แก่ อ่อน ปานกลาง แข็งแกร่ง

นักพัฒนาเกมติดตามจำนวนครั้งที่มีการซื้อไอเทมเพิ่มพลังอยู่แล้วโดยใช้อีคอมเมิร์ซที่เพิ่มประสิทธิภาพ ตอนนี้พวกเขาต้องการทราบว่ามีการซื้อไอเทมเพิ่มพลังที่ระดับใดมากที่สุด

รายงานจะมีลักษณะเช่นนี้

ระดับพลังของการเพิ่มพลัง รายได้จากผลิตภัณฑ์
อ่อน  
ปานกลาง  
แข็งแกร่ง  

ก่อนที่จะใช้มิติข้อมูลที่กำหนดเอง นักพัฒนาเกมจะดูรายได้จากผลิตภัณฑ์รวมจากไอเทมเพิ่มพลัง แต่จัดกลุ่มรายได้นั้นตามระดับการเพิ่มพลังไม่ได้

เมื่อใช้มิติข้อมูลที่กำหนดเองระดับผลิตภัณฑ์ ระดับการเพิ่มพลังจะเชื่อมโยงกับแต่ละผลิตภัณฑ์ ทำให้รวมระดับพลังที่มีการซื้อมากที่สุดไว้ในรายงาน (รวมถึงไอเทมที่ดู ที่คลิก และการทำงานอื่นๆ ของอีคอมเมิร์ซที่เพิ่มประสิทธิภาพ)

ทำไมจึงใช้ขอบเขตระดับผลิตภัณฑ์

ผู้ใช้จะซื้อไอเทมเพิ่มพลังจำนวนมากได้ในการซื้อครั้งเดียว การใช้ขอบเขตระดับผลิตภัณฑ์จะทำให้ค่าระดับการเพิ่มพลังเชื่อมโยงกับผลิตภัณฑ์ที่มีการส่งค่าดังกล่าวเท่านั้น ซึ่งทำให้มั่นใจว่าการซื้อไอเทมเพิ่มพลังแต่ละครั้งจะเชื่อมโยงกับระดับการเพิ่มพลังที่ไม่ซ้ำกัน

การกำหนดค่า

มิติข้อมูลที่กำหนดเองของระดับการเพิ่มพลังได้รับการกำหนดอยู่ในส่วนการตั้งค่าพร็อพเพอร์ตี้ของผู้ดูแลระบบ Analytics พร้อมด้วยค่าเหล่านี้

ดัชนี 4
ชื่อ ระดับพลังของการเพิ่มพลัง
ขอบเขต ผลิตภัณฑ์
ใช้งานอยู่ true

การรวบรวม

นักพัฒนาเกมติดตามการซื้อไอเทมเพิ่มพลังแต่ละครั้งในเกมอยู่แล้ว พวกเขาต้องตั้งค่ามิติข้อมูลที่กำหนดเองพร้อมกับข้อมูลผลิตภัณฑ์ เพื่อเชื่อมโยงระดับพลังกับไอเทมเพิ่มพลังแต่ละอย่าง

การเพิ่มมิติข้อมูลนี้ให้กับผลิตภัณฑ์อาจมีลักษณะเช่นนี้

ga('ec:addProduct', {               // ระบุรายละเอียดผลิตภัณฑ์ใน productFieldObject
  'id': 'P12345',                   // รหัสผลิตภัณฑ์ (สตริง)
  'name': 'Powerup',                // ชื่อผลิตภัณฑ์ (สตริง)
  'category': 'Extras',             // หมวดหมู่ผลิตภัณฑ์ (สตริง)
  'variant': 'red',                 // ความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ (สตริง)
  'price': '10.00',                 // ราคาผลิตภัณฑ์ (สกุลเงิน)
  'quantity': 2,                    // ปริมาณผลิตภัณฑ์ (ตัวเลข)
  'dimension4': 'strong'            // มิติข้อมูลที่กำหนดเองขอบเขตระดับผลิตภัณฑ์ (สตริง)
});
ga('ec:setAction', 'purchase', {
  'id': 'T12345',
  'revenue': '20.00'
});

ga('send', 'pageview');     // ส่งข้อมูลธุรกรรมพร้อมด้วยจำนวนหน้าที่มีการเปิดครั้งแรก

ในตัวอย่างนี้มีการตั้งค่ามิติข้อมูลที่กำหนดเองพร้อมกับข้อมูลผลิตภัณฑ์ ซึ่งเชื่อมโยงระดับพลังกับการเพิ่มพลังนี้

การประมวลผล

เช่นเดียวกับในตัวอย่างก่อนหน้า หลังจากระบบรวบรวม Hit และส่งไปยัง Analytics แล้ว ระบบจะประมวลผลข้อมูลและใช้ค่ามิติข้อมูลที่กำหนดเองกับผลิตภัณฑ์ที่มีการตั้งค่า

เช่น ข้อมูลที่รวบรวมสำหรับผู้เล่นคนเดียวที่มี 1 เซสชัน และซื้อไอเทมเพิ่มพลัง 3 ครั้ง มีลักษณะเช่นนี้

รหัสผู้ใช้ = 5555
เซสชัน 1:
H1: product_name=powerup cd4_value=weak
    product_name=powerup cd4_value=strong
H2: product_name=powerup cd4_value=weak

โปรดทราบว่าการใช้ขอบเขตระดับผลิตภัณฑ์จะทำให้ค่าการเพิ่มพลังแต่ละค่าเชื่อมโยงกับผลิตภัณฑ์ที่มีการตั้งค่าเท่านั้น

การรายงาน

เมื่อประมวลผล นักพัฒนาเกมจะสร้างรายงานที่กำหนดเองซึ่งแสดงรายได้ตามระดับพลังของไอเทมเพิ่มพลังได้ เพราะผลิตภัณฑ์แต่ละรายการเชื่อมโยงอยู่กับค่าระดับพลังที่สอดคล้องกัน ดังนี้

ระดับพลังของไอเทมเพิ่มพลัง รายได้จากผลิตภัณฑ์
อ่อน 20.00
แข็งแรง 10.00

ในรายงานนี้ การเพิ่มพลังแบบอ่อนให้รายได้มากที่สุด

เมตริกที่กำหนดเอง

ขอบเขต

เมตริกที่กำหนดเองจะมีขอบเขตที่แตกต่างกันได้ เช่นเดียวกับมิติข้อมูลที่กำหนดเอง เมตริกที่กำหนดเองระดับ Hit ได้รับการเชื่อมโยงกับมิติข้อมูลระดับ Hit ทั้งหมดที่มีการส่งพร้อมกัน ในทำนองเดียวกัน เมตริกที่กำหนดเองระดับผลิตภัณฑ์ก็ได้รับการเชื่อมโยงกับผลิตภัณฑ์ที่มีการส่งพร้อมกันเท่านั้น ตัวอย่างต่อไปนี้แสดงให้เห็นถึงเมตริกที่กำหนดเอง 2 ประเภทเหล่านี้

ตัวอย่างเมตริกที่กำหนดเองขอบเขตระดับ Hit

ในตัวอย่างข้างต้น นักพัฒนาเกมได้ติดตามการเล่นในแต่ละด่านด้วยการดูหน้าจอ โดยการใช้เมตริกการดูหน้าจอในรายงานที่สร้างขึ้นแต่ละครั้งเพื่อแสดงความพยายามในการผ่านแต่ละด่านของผู้ใช้

แต่นักพัฒนาเกมยังต้องการทราบอัตราการผ่านแต่ละด่านด้วย

ในการพิจารณาอัตราการผ่านด่าน นักพัฒนาเกมจะใช้เมตริกที่กำหนดเองใหม่ที่ชื่อว่าการผ่านด่าน และเปรียบเทียบเมตริกนั้นกับการดูหน้าจอสำหรับแต่ละด่าน

รายงานที่นักพัฒนาเกมต้องการมีลักษณะเช่นนี้

ชื่อหน้าจอ การดูหน้าจอ การสำเร็จระดับ
/ด่าน_1/    
/ด่าน_2/    
/ด่าน_3/    

ทำไมจึงใช้เมตริกที่กำหนดเอง

ในหลายกรณี คุณจะมีตัวเลือกในการใช้เหตุการณ์ การดูหน้าจอ และ/หรือเมตริกที่กำหนดเอง เพื่อติดตามเมตริกที่สำคัญที่สุด อย่างไรก็ตาม เมตริกที่กำหนดเองอาจให้ความยืดหยุ่นมากกว่า สร้างรายงานที่กำหนดเองที่อ่านง่ายกว่า และเป็นวิธีการที่สะดวกในการติดตามเมตริกที่สำคัญที่สุด

ในตัวอย่างนี้ หากไม่นับจำนวนการดูหน้าจอ 2 ครั้งต่อด่านก็จะติดตามการผ่านด่านด้วยการดูหน้าจอไม่ได้ คุณจึงอาจต้องหาตัวเลือกอื่น

แม้ว่าจะใช้ค่าเหตุการณ์เพียงค่าเดียวได้ แต่เนื่องด้วยความเป็นลำดับขั้นจึงทำให้ยากต่อการสร้างรายงานข้างต้นโดยรวมการดูหน้าจอและการผ่านด่านไว้ภายใต้มิติข้อมูลเดียว

เนื่องจากข้อจำกัดดังกล่าว และเพราะการผ่านด่านเป็นเมตริกที่สำคัญต่อนักพัฒนาเกม การติดตามการผ่านด่านเป็นเมตริกที่กำหนดเองจึงสะดวกที่สุด

การกำหนดค่า

เมตริกที่กำหนดเอง "การผ่านด่าน" จะจำกัดความได้ที่ส่วนการจัดการของอินเทอร์เฟซผู้ใช้พร้อมด้วยค่าเหล่านี้

ดัชนี 1
ชื่อ การสำเร็จระดับ
ขอบเขต Hit
ประเภทการจัดรูปแบบ จำนวนเต็ม
ใช้งานอยู่ true

การรวบรวม

นักพัฒนาเกมติดตามการเริ่มต้นแต่ละด่านอยู่แล้วโดยใช้การดูหน้าจอ ตอนนี้พวกเขาต้องการติดตามการผ่านด่านโดยใช้เมตริกที่กำหนดเองใหม่

เช่นเดียวกับมิติข้อมูลที่กำหนดเอง ระบบจะส่งเมตริกที่กำหนดเองไปยัง Analytics เป็นพารามิเตอร์ที่แนบกับ Hit อื่นๆ และนักพัฒนาเกมจะต้องส่ง Hit เพิ่มเติมเพื่อบันทึกผู้ใช้ที่ผ่านด่านด้วย เพื่อที่จะส่งค่าเมตริกที่กำหนดเอง ในตัวอย่างนี้ เหตุการณ์จะเริ่มทำงานเมื่อมีการผ่านด่าน และระบบจะเชื่อมโยงเมตริกที่กำหนดเองกับเหตุการณ์นี้

การใช้งานอาจมีลักษณะเช่นนี้

ga('create', 'UA-XXXX-Y', 'auto');

// เพิ่มเมตริกการผ่านด่านขึ้นทีละ 1
ga('set', 'metric1', 1 );

// ส่งค่าเมตริกที่กำหนดเองพร้อมกับ Hit เหตุการณ์
ga('send', 'event', 'Level', 'completion');

การประมวลผล

ก่อนการประมวลผล ข้อมูลสำหรับผู้เล่นรายเดียวที่เล่น 3 ด่านในเกมในเซสชันเดียวจะมีลักษณะเช่นนี้

รหัสผู้ใช้ = 5555
เซสชัน 1
H1: type=screen_view screen_name=/level_1/
H2: type=event screen_name=/level_1/ cm1_value=1
H3: type=screen_view screen_name=/level_2/
H4: type=screen_view screen_name=/level_2/
H5: type=screen_view screen_name=/level_2/
H6: type=event screen_name=/level_2/ cm1_value=1
H7: type=screen_view screen_name=/level_3/
H8: type=event screen_name=/level_3/ cm1_value=1

การรายงาน

หลังการประมวลผล นักพัฒนาเกมจะสร้างรายงานที่ใช้ชื่อหน้าจอเป็นมิติข้อมูล และใช้การดูหน้าจอ เหตุการณ์ทั้งหมด และการผ่านด่านเป็นเมตริกได้ดังนี้

ชื่อหน้าจอ การดูหน้าจอ เหตุการณ์ทั้งหมด การสำเร็จระดับ
/ด่าน_1/ 1 1 1
/ด่าน_2/ 3 1 1
/ด่าน_3/ 1 1 1

เนื่องจากนักพัฒนาเกมได้ติดตามการผ่านด่านเป็นเมตริกที่กำหนดเอง ในอนาคตจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกรองเหตุการณ์การผ่านด่านจากเหตุการณ์ทั้งหมด

แต่นักพัฒนาเกมจะสร้างรายงานที่กำหนดเองต่อไปนี้ได้ง่ายๆ โดยใช้เมตริกที่กำหนดเอง "การผ่านด่าน"

ชื่อหน้าจอ การดูหน้าจอ การสำเร็จระดับ
/ด่าน_1/ 1 1
/ด่าน_2/ 3 1
/ด่าน_3/ 1 1

ข้อมูลแสดงว่าด่านที่ 2 มีความยากกว่าเมื่อเทียบกับด่านที่ 1 และ 3 เนื่องจากมีอัตราการผ่านด่านเพียง 33% จากการดูหน้าจอ ด้วยการติดตามการผ่านด่านเป็นเมตริกที่กำหนดเอง นักพัฒนาเกมจะตอบคำถามเกี่ยวกับเมตริกหลักและสร้างรายงานที่เรียบง่ายเพื่อแชร์กับผู้อื่นได้โดยง่ายดาย

ตัวอย่างเมตริกที่กำหนดเองขอบเขตระดับผลิตภัณฑ์

ในตัวอย่างข้างต้น นักพัฒนาเกมได้ติดตามการซื้อไอเทมเพิ่มพลังแต่ละครั้ง มีเมตริกจำนวนมากที่เชื่อมโยงกับการซื้อแต่ละครั้งได้ เช่น ปริมาณ และรายได้จากผลิตภัณฑ์

อย่างไรก็ตาม เมื่อเร็วๆ นี้นักพัฒนาเกมได้จัดโปรโมชัน โดยให้เครดิต $100 แก่ผู้ใช้ทุกคน นักพัฒนาเกมต้องการวัดว่าผู้คนซื้อไอเทมเพิ่มพลังระดับใดบ้างด้วยเครดิตของตน

ในการพิจารณาเครดิตที่ใช้ต่อการซื้อผลิตภัณฑ์ นักพัฒนาเกมจะใช้เมตริกที่กำหนดเองใหม่ที่ชื่อ "เครดิตที่ใช้"

รายงานที่นักพัฒนาเกมต้องการมีลักษณะเช่นนี้

ระดับพลังของการเพิ่มพลัง รายได้จากผลิตภัณฑ์ เครดิตที่ใช้
แข็งแรง    
ปานกลาง    
อ่อน    

การกำหนดค่า

เมตริกที่กำหนดเอง "เครดิตที่ใช้" จะกำหนดที่ส่วนผู้ดูแลระบบพร้อมด้วยค่าหล่านี้

ดัชนี 2
ชื่อ เครดิตที่ใช้
ขอบเขต ผลิตภัณฑ์
ประเภทการจัดรูปแบบ จำนวนเต็ม
ใช้งานอยู่ true

การรวบรวม

เช่นเดียวกับมิติข้อมูลที่กำหนดเองระดับผลิตภัณฑ์ เมตริกที่กำหนดเองระดับผลิตภัณฑ์จะได้รับการส่งไปยัง Analytics เป็นพารามิเตอร์ที่แนบกับข้อมูลผลิตภัณฑ์

การใช้งานอาจมีลักษณะเช่นนี้

ga('ec:addProduct', {               // ระบุรายละเอียดผลิตภัณฑ์ใน productFieldObject
  'id': 'P12345',                   // รหัสผลิตภัณฑ์ (สตริง)
  'name': 'Powerup',                // ชื่อผลิตภัณฑ์ (สตริง)
  'category': 'Extras',             // หมวดหมู่ผลิตภัณฑ์ (สตริง)
  'variant': 'red',                 // ความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ (สตริง)
  'price': '10.00',                 // ราคาผลิตภัณฑ์ (สกุลเงิน)
  'quantity': 2,                    // ปริมาณผลิตภัณฑ์ (ตัวเลข)
  'dimension4': 'strong',           // มิติข้อมูลที่กำหนดเองขอบเขตระดับผลิตภัณฑ์ (สตริง)
  'metric2': 5                      // เมตริกที่กำหนดเองขอบเขตระดับผลิตภัณฑ์ (จำนวนเต็มr)
});
ga('ec:setAction', 'purchase', {
  'id': 'T12345',
  'revenue': '20.00'
});

ga('send', 'pageview');     // ส่งข้อมูลธุรกรรมพร้อมด้วยจำนวนหน้าที่มีการเปิดครั้งแรก


การประมวลผล

ก่อนการประมวลผล ข้อมูลสำหรับผู้เล่นรายเดียวที่ซื้อไอเทมเพิ่มพลังจำนวนหนึ่งอาจมีลักษณะเช่นนี้

รหัสผู้ใช้ = 5555
เซสชัน 1
H1: type=screen_view screen_name=/level_1/
H2: type=screen_view screen_name=/level_2/
    product_name=powerup cd4_value=weak cm2_value=5
    product_name=powerup cd4_value=strong cm2_value=5
H4: type=screen_view screen_name=/level_2/
    product_name=powerup cd4_value=medium cm2_value=1
    product_name=powerup cd4_value=weak cm2_value=10

การรายงาน

หลังการประมวลผล นักพัฒนาเกมจะสร้างรายงานที่ใช้ระดับพลังของไอเทมเพิ่มพลังเป็นมิติข้อมูล รวมทั้งใช้รายได้จากผลิตภัณฑ์และเครดิตที่ใช้เป็นเมตริกได้

ระดับพลังของไอเทมเพิ่มพลัง รายได้จากผลิตภัณฑ์ เครดิตที่ใช้
อ่อน 20 15
แข็งแรง 10 5
ปานกลาง 10 1

ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าผู้เล่นจะใช้เครดิตของตนในการเพิ่มพลังแบบอ่อน นักพัฒนาเกมสร้างกำไรสูงสุดจากการเพิ่มพลังแบบปานกลาง

ข้อควรพิจารณาในการติดตั้งใช้งาน

เมื่อติดตั้งใช้งานมิติข้อมูลหรือเมตริกที่กำหนดเอง โปรดคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้

การแก้ไขมิติข้อมูลหรือเมตริกที่มีอยู่

เมื่อคุณแก้ไขชื่อหรือขอบเขตของมิติข้อมูลหรือเมตริกที่กำหนดเองที่มีอยู่ ข้อมูลของคุณอาจได้รับผลกระทบดังนี้

  • การแก้ไขชื่อ: ส่งผลกระทบต่อข้อมูลที่ประมวลผลแล้ว คุณจะเข้าถึงข้อมูลเก่าได้โดยการใช้ชื่อใหม่เท่านั้น
  • การแก้ไขขอบเขต: ไม่ส่งผลกระทบต่อข้อมูลที่ประมวลผลแล้ว เฉพาะข้อมูลใหม่เท่านั้นที่จะได้รับการประมวลผลโดยใช้ขอบเขตใหม่
  • การเปลี่ยนสถานะการใช้งาน: ช่องที่ใช้งานอยู่เป็นตัวกำหนดว่าค่ามิติข้อมูลหรือเมตริกที่กำหนดเองจะได้รับการประมวลผลหรือไม่ โปรดทราบว่าเมื่อสถานะการใช้งานเป็น เท็จ มิติข้อมูลหรือเมตริกที่กำหนดเองจะยังคงปรากฏในการรายงาน แต่เนื่องจากค่าจะไม่ได้รับการประมวลผล จึงไม่มีข้อมูลที่เชื่อมโยง

วางแผนล่วงหน้าเมื่อกำหนดขอบเขต

เมื่อตัดสินใจว่าจะใช้ขอบเขตกับมิติข้อมูลที่กำหนดเองนั้นๆ ให้พิจารณาถึงความถี่ของการเปลี่ยนแปลงค่านั้นที่คุณคาดไว้ หากค่าของขอบเขตอาจเปลี่ยนแปลงหลายครั้งในระหว่างเซสชัน เช่น ชื่อของด่านในเกม ให้ใช้ขอบเขต Hit และกำหนดค่าก่อนแต่ละ Hit ในทางตรงกันข้าม มิติข้อมูลที่กำหนดเอง เช่น เพศ อาจกำหนดไว้ที่ระดับผู้ใช้เพียงครั้งเดียว การส่งค่าเพศกับแต่ละ Hit อาจเป็นงานที่ไม่จำเป็น และการกำหนดค่ามิติข้อมูลที่กำหนดเองที่มีการเปลี่ยนแปลงบ่อยๆ ด้วยขอบเขตผู้ใช้อาจทำให้มีการเชื่อมโยง Hit จำนวนมากกับค่านั้นอย่างไม่ถูกต้อง

ข้อมูลนี้มีประโยชน์ไหม

เราจะปรับปรุงได้อย่างไร
true
เลือกเส้นทางการเรียนรู้ของคุณเอง

โปรดไปที่ google.com/analytics/learn ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลใหม่ที่จะช่วยให้คุณได้รับประโยชน์สูงสุดจาก Google Analytics 4 เว็บไซต์ใหม่นี้มีทั้งวิดีโอ บทความ และขั้นตอนพร้อมคำแนะนำ รวมถึงลิงก์ไปยังแหล่งข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับ Google Analytics เช่น Discord, บล็อก, ช่อง YouTube ตลอดจนที่เก็บ GitHub

เริ่มเรียนรู้วันนี้เลย

ค้นหา
ล้างการค้นหา
ปิดการค้นหา
เมนูหลัก
11599998473008038457
true
ค้นหาศูนย์ช่วยเหลือ
true
true
true
true
true
69256
false
false