การแจ้งเตือน

ใช้ได้เฉพาะใน Google Ad Manager 360 เท่านั้น

เกี่ยวกับตัวระบุที่ผู้เผยแพร่โฆษณามีให้

ใช้ได้เฉพาะใน Google Ad Manager 360 เท่านั้น

PPID (ตัวระบุที่ผู้เผยแพร่โฆษณามีให้) เป็นฟีเจอร์ของ Google Ad Manager 360 ที่อาจไม่ได้เปิดใช้กับเครือข่ายของคุณ โปรดติดต่อผู้จัดการฝ่ายดูแลลูกค้าเพื่อเปิดใช้งาน PPID 

ตัวระบุที่ผู้เผยแพร่โฆษณามีให้ (PPID) ช่วยให้ผู้เผยแพร่โฆษณาสามารถส่งตัวระบุให้กับ Google Ad Manager เพื่อใช้ในการกำหนดความถี่สูงสุด การแบ่งกลุ่มเป้าหมายและการกำหนดเป้าหมาย การหมุนเวียนโฆษณาตามลำดับ และการควบคุมการแสดงโฆษณาตามกลุ่มเป้าหมายแบบอื่นๆ ในทุกอุปกรณ์ #PPID

เคล็ดลับ: แม้ว่าตัวระบุของบุคคลที่สามจะยังใช้ได้อยู่ แต่เราขอแนะนําให้เปลี่ยนไปใช้ PPID เพื่อเป็นตัวระบุที่ใช้งานได้นานสำหรับใช้ในกลุ่มเป้าหมาย
หมายเหตุ: ในปัจจุบันการรายงานการเข้าถึงหรือเครื่องมือวัด Conversion ของ Ad Manager ยังไม่รองรับ PPID

บุ๊กมาร์กข้ามไปที่

วิธีการทำงานของ PPID

  • ตัวระบุที่ส่งไปยัง Ad Manager นั้นต้องมีการแฮชหรือเข้ารหัสไว้ไม่ให้มีความหมายสำหรับ Google และต้องเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่ระบุตัวบุคคลนั้นได้ที่ผ่านการแฮชหรือเข้ารหัสแล้ว
  • หาก Google ทราบว่าผู้ใช้เลือกไม่รับโฆษณาที่ปรับตามโปรไฟล์ของผู้ใช้ (เช่น โดยใช้เครื่องมือตั้งค่าโฆษณา ส่วนควบคุมการให้ความยินยอมของผู้ใช้ EU หรือการตั้งค่าการประมวลผลข้อมูลแบบจำกัด (RDP) ) ระบบจะปิดใช้ฟีเจอร์ที่อนุญาตการใช้ PPID ในการกำหนดเป้าหมายโฆษณาไปยังเว็บเบราว์เซอร์ของผู้ใช้
  • ผู้ใช้ต้องมีสิทธิ์เข้าถึงกลไกในการเลือกไม่รับโฆษณาที่ปรับตามโปรไฟล์ของผู้ใช้
  • หากผู้ใช้เลือกไม่ให้ผู้เผยแพร่โฆษณาใช้ PPID ในรูปแบบที่เกี่ยวข้องกับโฆษณา หรือลบบัญชีของตน ผู้เผยแพร่โฆษณาต้องหยุดส่ง PPID ที่เชื่อมโยงกับผู้ใช้ดังกล่าวให้ Google ทันที

การสร้าง PPID ด้วยข้อมูลจากบุคคลที่หนึ่ง

สำหรับผู้เผยแพร่โฆษณาที่ใช้โซลูชันกลุ่มเป้าหมาย PPID จะช่วยสร้างกลุ่มเป้าหมายที่ยั่งยืนและเน้นความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ที่รู้จักได้โดยไม่ต้องอาศัยคุกกี้หรือรหัสของบุคคลที่สาม PPID อาจอิงตามข้อมูลการลงชื่อเข้าใช้หรือคุกกี้ของบุคคลที่หนึ่งแบบไม่ให้ระบุตัวบุคคลนั้นได้ ขั้นตอนแรกคือการเลือกข้อมูลจากบุคคลที่หนึ่งที่พร้อมใช้งานเพื่อช่วยให้คุณจดจำผู้ใช้แต่ละรายได้

เมื่อมีผู้ใช้ที่ลงชื่อเข้าใช้ คุณจะพัฒนา PPID ได้โดยอิงตามข้อมูลการลงชื่อเข้าใช้ เช่น อีเมลหรือรหัสที่ไม่ซ้ำกันซึ่งเชื่อมโยงกับผู้ใช้หนึ่งๆ ข้อมูลนี้ยังช่วยให้คุณระบุผู้ใช้รายเดียวกันเมื่อลงชื่อเข้าใช้ในอุปกรณ์หลายเครื่องได้ด้วย

สำหรับผู้เผยแพร่โฆษณาที่ไม่มีผู้ใช้ที่ลงชื่อเข้าใช้ PPID จะมีประโยชน์เมื่อพัฒนาโดยใช้คุกกี้ของบุคคลที่หนึ่งหรือตัวระบุที่เจาะจงโดเมนซึ่งผู้เผยแพร่โฆษณาตั้งไว้ ซึ่งมักจะอยู่ในฝั่งเซิร์ฟเวอร์ ตัวระบุที่ไม่ระบุตัวบุคคลควรคงอยู่ตลอดสำหรับผู้ใช้แต่ละรายในเซสชันต่างๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการสร้าง PPID ใหม่สำหรับทุกเซสชันของผู้ใช้

การลบ PPID

หากผู้ใช้ขอให้ผู้เผยแพร่โฆษณาลบข้อมูลผู้ใช้ ผู้เผยแพร่โฆษณาอาจส่งคำขอลบข้อมูลของผู้ใช้ไปยัง Ad Manager เพื่อลบข้อมูลผู้ใช้ออกจากระบบการจัดเก็บข้อมูลภายในของ Google

หากการเข้ารหัสข้อความที่ใช้เพื่อปรับตัวระบุให้ยากต่อการอ่าน (Obfuscate) มี +, =, / หรือ $ คุณต้องเข้ารหัส URL ค่าดังกล่าวก่อนที่จะแทรกลงในตัวยึดตำแหน่ง URL

หากต้องการขอลบข้อมูล PPID ผู้เผยแพร่โฆษณาควรเริ่มร่างคำขอโดยใช้ URL นี้ 

https://securepubads.g.doubleclick.net/user_data_deletion?ppid={user's_PPID}&iu={publisher's_AdManager_network_code}

ตัวอย่าง

https://securepubads.g.doubleclick.net/user_data_deletion?ppid=12JD92JD8078S8J29SDOAKC0EF230337&iu=12345

  • ผู้เผยแพร่โฆษณาอาจเริ่มกระบวนการนี้ทันทีที่ได้สัญญาณจากผู้ใช้ที่ขอให้ลบข้อมูล
  • หลังจากได้รับสัญญาณนี้จากผู้เผยแพร่โฆษณาเรียบร้อยแล้ว ระบบภายในของเราจะยกเลิกการเชื่อมโยงข้อมูลผู้ใช้ที่มีอยู่จาก PPID ทันที และข้อมูลดังกล่าวจะถูกลบออกอย่างสมบูรณ์ภายใน 63 วัน

การตอบกลับที่คาดหวัง

คำขอที่สําเร็จจะแสดงรหัสสถานะการตอบกลับ HTTP “200” คำขอที่ไม่สำเร็จจะแสดงรหัสสถานะการตอบกลับ HTTP “400” หากไม่ได้เปิดใช้ API การลบข้อมูล PPID ระบบจะแสดงรหัสสถานะการตอบกลับ HTTP "404"

ตั้งค่าตัวระบุ

หากเว็บไซต์/แอปของคุณไม่ได้ส่งคำขอโฆษณา Google Ad Manager (หรือคำขอพิกเซลกลุ่มเป้าหมาย) พร้อม PPID ที่กำหนดไว้เป็นระยะเวลา 180 วัน คุณต้องส่งคำขออีกครั้งเพื่อให้ PPID ใช้งานได้ โดย Google อาจนํา PPID ออกหลังจากไม่มีการใช้งานเป็นระยะเวลาที่สั้นลง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทรัพยากร PPID อย่างชาญฉลาด

แท็กผู้เผยแพร่โฆษณาผ่าน Google

สำหรับเว็บไซต์ ใช้เมธอด PublisherProvidedId ดังนี้

รายละเอียดเมธอดสำหรับ pubService

pubService.setPublisherProvidedId(identifier)

ตั้งค่ารหัสที่ผู้เผยแพร่โฆษณามีให้สำหรับใช้ในการกำหนดความถี่สูงสุด และกิจกรรมอื่นๆ ที่อิงตามกลุ่มเป้าหมาย

พารามิเตอร์

ตัวระบุสตริง คือรหัสตัวอักษรผสมตัวเลขที่ผู้เผยแพร่โฆษณามีให้ โดยแนะนำให้มีความยาวอักขระไม่เกิน 150 ตัว

ตัวอย่าง

<script type="text/javascript">
       googletag.pubads().setPublisherProvidedId('12JD92JD8078S8J29SDOAKC0EF230337');
       googletag.enableServices();
     </script>

Google Mobile Ads SDK

คลาส GoogleAdManagerExtras มีเมธอดชื่อ setPublisherProvidedId(string ID) ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ในเอกสาร SDK โฆษณาในอุปกรณ์เคลื่อนที่ของ Google

Google IMA SDK

SDK ของ HTML5, iOS และ Android มีเมธอดหรือพร็อพเพอร์ตี้ดังต่อไปนี้สำหรับการตั้งค่า PPID

คำขอที่ไม่ใช่ JS (หรือที่เรียกว่าคำขอโฆษณาแบบไร้แท็ก)

คำขอที่ส่งไปยัง Google Ad Manager โดยตรงที่ใช้ /adx หรือ /ad+/jump ซึ่งต้องส่ง PPID ต้องมีพารามิเตอร์ ppid=

หากการเข้ารหัสข้อความที่ใช้เพื่อปรับตัวระบุให้ยากต่อการอ่าน (Obfuscate) มี +, =, / หรือ $ คุณต้องเข้ารหัส URL ค่าดังกล่าวก่อนที่จะแทรกลงในตัวยึดตำแหน่ง URL

แท็กพิกเซลของโซลูชันกลุ่มเป้าหมาย

คำขอที่ส่งไปยัง Google Ad Manager โดยตรงที่ใช้แท็กพิกเซลของโซลูชันกลุ่มเป้าหมายต้องมีพารามิเตอร์ ppid=

หากการเข้ารหัสข้อความที่ใช้เพื่อปรับตัวระบุให้ยากต่อการอ่าน (Obfuscate) มี +, =, / หรือ $ คุณต้องเข้ารหัส URL ค่าดังกล่าวก่อนที่จะแทรกลงในตัวยึดตำแหน่ง URL

ตัวอย่างแท็กสำหรับเว็บ

<script async id="google-pcd-tag" src="https://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/pcd.js" data-audience-pixel="dc_iu=/{ad-manager-network_code}/DFPAudiencePixel;dc_seg={segment_ID};ppid={your_ID}"></script>

ตัวอย่างแท็กสำหรับแอป

https://pubads.g.doubleclick.net/activity;dc_iu=/{ad-manager-network_code}/DFPAudiencePixel;ord=%%CACHEBUSTER%%;dc_seg={segment_ID};ppid={your_ID}?gdpr=<0,1>&gdpr_consent=<tc string>&tfua=<0,1>&tfcd=<0,1>

ข้อจำกัดและข้อกำหนด

ระบบอาจข้ามหรือยกเลิก PPID หากไม่เป็นไปตามข้อกำหนดต่อไปนี้

ค่า PPID ต้องเป็น

  • ตัวอักษรและตัวเลขคละกัน ([0-9a-zA-Z], ‘+', ‘.', ‘=' ,  '/' , ‘_' , ‘-' , ‘$', ‘,', ‘{‘, ‘}') หรือ UUID HEX (8-4-4-4-12)

    ตัวอย่าง

    ตัวอย่างของ PPID ที่ถูกต้องมีดังนี้

    • 12JD92JD8078S8J29SDOAKC0EF230337
    • 12jd92jd8078s8j29sdoakc0ef230337
    • 12Jd92jD8078s8j29sDoakc0ef230337
    • 123e4567-e89b-12d3-a456-426614174000
    ผู้เผยแพร่โฆษณาตรวจสอบได้ว่า PPID ถูกต้องหรือไม่โดยใช้เครื่องมือต่อไปนี้ที่มีนิพจน์ทั่วไป
    ^[0-9a-zA-Z+.=\/_\-$,{}]{22,150}$

    เครื่องมือ

  • มีจำนวนอักขระอย่างน้อย 22 ตัว

  • มีจำนวนอักขระไม่เกิน 150 ตัว

  • มีการแฮชหรือเข้ารหัสแล้ว กล่าวคือต้องไม่มีความหมายกับ Google

  • เข้ารหัส URL หากมี +, =, / หรือ $

    อักขระบางตัวที่อนุญาตให้ใช้ในค่า PPID ที่ถูกต้องจะมีความหมายพิเศษเมื่ออยู่ใน URL หากการเข้ารหัสข้อความที่ใช้เพื่อปรับตัวระบุให้ยากต่อการอ่าน (Obfuscate) มี +, =, / หรือ $ คุณต้องเข้ารหัส URL ค่าดังกล่าวก่อนที่จะแทรกลงในตัวยึดตำแหน่ง URL ซึ่งแตกต่างจากการใช้เมธอด SDK เช่น pubService.setPublisherProvidedId(identifier) ของ GPT ที่ SDK เข้ารหัส URL ของค่าที่ระบุ
    ตัวอย่าง
    เมื่อใช้การเข้ารหัส AES คุณจะปรับรหัสผู้ใช้ให้ยากต่อการอ่าน (Obfuscate) และค่า PPID ที่ได้คือ n6lvihJocabdNhFQqRbBt552lNGh74k7/1kZ2dC0dXk= อักขระ / และ = ในค่าต้องมีการเข้ารหัส URL ก่อนที่จะแทรกตัวระบุลงในพารามิเตอร์ URL ของ PPID
     
    ผลลัพธ์พารามิเตอร์ของ URL ที่เข้ารหัสอย่างถูกต้องจะกลายเป็น ppid=n6lvihJocabdNhFQqRbBt552lNGh74k7%2F1kZ2dC0dXk%3D
  • ส่งได้เฉพาะเมื่อระบุผู้ใช้สำหรับเซสชันมากกว่า 1 เซสชันเท่านั้น (เช่น อาจมีการใช้คุกกี้ของบุคคลที่หนึ่งที่พร้อมใช้งานในหลายๆ เซสชันเพื่อสร้าง PPID)

หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงอัลกอริทึมในการสร้างค่า PPID เพราะจะทำให้ระบบรีเซ็ตฟีเจอร์ต่างๆ รวมถึงการกำหนดความถี่สูงสุด การแบ่งกลุ่มเป้าหมายและการกำหนดเป้าหมาย การหมุนเวียนโฆษณาตามลำดับ และฟีเจอร์การแสดงโฆษณาอื่นๆ ที่อิงตามกลุ่มเป้าหมาย

เปิดใช้ PPID สำหรับการทำงานแบบเป็นโปรแกรม

เมื่อเปิดใช้ Google และดีมานด์แบบเป็นโปรแกรมอาจใช้ PPID เพื่อรองรับการกำหนดความถี่สูงสุดของผู้ซื้อและการปรับเปลี่ยนโฆษณาตามความสนใจในการเข้าชมแบบเป็นโปรแกรม เมื่อคุกกี้ของบุคคลที่สามหรือรหัสอุปกรณ์ของ Ad Manager ไม่พร้อมใช้งาน ซึ่งอาจเพิ่มรายได้แบบเป็นโปรแกรมให้กับผู้เผยแพร่โฆษณาไปพร้อมกับจํากัดการติดตามกิจกรรมของผู้ใช้เฉพาะในเครือข่าย Ad Manager เดียวกัน

  • ก่อนที่จะแชร์ PPID กับ Google และดีมานด์แบบเป็นโปรแกรม Ad Manager จะเปลี่ยนตัวระบุดังกล่าวให้เป็นรหัสที่แบ่งพาร์ติชันต่อผู้เผยแพร่โฆษณา เพื่อที่จะได้ไม่สามารถระบุผู้ใช้ในเว็บไซต์และแอปของผู้เผยแพร่โฆษณารายอื่น

  • นอกจากการเปิดใช้ PPID แล้ว คุณยังต้องเลือกผู้ที่จะแชร์ PPID กับการทำงานแบบเป็นโปรแกรม (เช่น ดีมานด์จาก Google, Authorized Buyers และผู้เสนอราคาแบบเปิด) ซึ่งคุณจะทำได้ผ่านการตั้งค่าแชแนลดีมานด์ โปรดทราบว่าขณะนี้ PPID สำหรับดีมานด์ที่ไม่ได้มาจาก Google มีให้บริการนอก EEA, สวิตเซอร์แลนด์, สหราชอาณาจักร, แคลิฟอร์เนีย และบางรัฐของสหรัฐอเมริกาเท่านั้น

  • คุณส่งข้อมูล (รวมถึงข้อมูลจากบุคคลที่หนึ่ง) ไปยังผู้เสนอราคาบุคคลที่สามที่คุณเลือกได้โดยใช้สัญญาณที่ปลอดภัย

ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้เพื่อเปิดใช้ PPID สำหรับการทำงานแบบเป็นโปรแกรม

  1. ลงชื่อเข้าใช้ Google Ad Manager

  2. คลิกการแสดงโฆษณา ตามด้วยการตั้งค่าแชแนลดีมานด์

  3. ในส่วน "การแชร์ข้อมูลของผู้เผยแพร่โฆษณา" ให้คลิกตัวระบุที่ผู้เผยแพร่โฆษณามีให้ (PPID) สำหรับการทำงานแบบเป็นโปรแกรม

  4. หากต้องการเปิดใช้ PPID สำหรับการทำงานแบบเป็นโปรแกรมสำหรับแชแนลดีมานด์ ให้เปิดสวิตช์ เปิดใช้อยู่ 

  5. คลิก Save

รายงานเกี่ยวกับ PPID

ใช้มิติข้อมูล "สถานะ PPID" ในการรายงานของ Ad Manager เพื่อดูการครอบคลุมโดยแบ่งตามคำขอโฆษณาที่มี (ค่า "มีอยู่") และไม่มี (ค่า "ไม่มี") PPID โดยมิติข้อมูลนี้ครอบคลุมทั้งการเข้าชมที่จองไว้และการเข้าชมแบบเป็นโปรแกรม

  • ใช้มิติข้อมูล "สถานะ PPID" เพื่อแก้ปัญหาการครอบคลุมของ PPID ในการเข้าชมที่จองไว้และการเข้าชมแบบเป็นโปรแกรม เช่น หากต้องการทราบว่าพื้นที่โฆษณาบางส่วนขาดการกำหนดค่า PPID ที่ถูกต้องหรือไม่ คุณสามารถรายงานเกี่ยวกับคำขอโฆษณาทั้งหมดตามหน่วยโฆษณาและ/หรือประเภทคำขอ โดยเพิ่มสถานะ PPID จากนั้นเพิ่มเป็นรายการใดก็ได้ของ ต่อด้วยตัวกรองที่ไม่มี
  • PPID สำหรับการทำงานแบบเป็นโปรแกรมใช้ได้เฉพาะกับส่วนแบ่งการเข้าชมที่ไม่มีตัวระบุของบุคคลที่สามเท่านั้น กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ การดำเนินการนี้จะไม่ส่งผลต่อการเข้าชมแบบเป็นโปรแกรมที่มีคุกกี้ของบุคคลที่สาม ดังนั้น เมื่อวิเคราะห์ประสิทธิภาพแบบเป็นโปรแกรมในการแสดงข้อมูล PPID ขอแนะนำให้เลือกสถานะรหัสของบุคคลที่สามจากนั้นเลือกเป็นรายการใดก็ได้ของ แล้วเลือกตัวกรองที่ไม่มี เพื่อจำกัดการวิเคราะห์คำขอโฆษณาในกรณีที่ไม่มีคุกกี้ของบุคคลที่สามหรือรหัสอุปกรณ์
  • คุณใช้มิติข้อมูล "สถานะ PPID" เพื่อระบุผลกระทบต่อรายได้อย่างแม่นยำไม่ได้ แต่สามารถใช้เป็นตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพได้ หากต้องการทำความเข้าใจเกี่ยวกับรายได้ที่เพิ่มขึ้นให้ดียิ่งขึ้น เราขอแนะนำให้ผู้เผยแพร่โฆษณาทำการทดสอบ A/B ของตนเองเพื่อพิจารณาประเภทพื้นที่โฆษณาต่างๆ รวมถึงการแสดงตัวระบุของบุคคลที่สามด้วย

คําขอที่มีตัวระบุหลายตัว

ดังที่กล่าวมาแล้ว PPID จะทำการปรับปรุง ไม่ใช่แทนที่ตัวระบุอื่นๆ ที่ Google Ad Manager ใช้ (เช่น คุกกี้ในสภาพแวดล้อมเดสก์ท็อป หรือรหัสโฆษณาบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ที่รีเซ็ตได้ เช่น รหัสโฆษณาและ IDFA) ในกรณีส่วนใหญ่ ลักษณะการทำงานเช่นนี้หมายความว่าคำขอโฆษณาที่ใช้ PPID ซึ่งส่งไปยัง Google Ad Manager จะเป็นคำขอที่มีตัวระบุหลายตัว ที่ประกอบไปด้วยตัวระบุหลักสำหรับ PPID และตัวระบุรองสำหรับเดสก์ท็อป/อุปกรณ์เคลื่อนที่ คุณสามารถส่ง PPID ได้เพียง 1 รายการต่อการเรียกโฆษณา 1 ครั้ง

ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อลักษณะการทำงานของ Google Ad Manager หลายประการตามรายละเอียดด้านล่าง

การกำหนดกลุ่มเป้าหมาย

ตัวระบุรองและ PPID จะได้รับการจัดการความเป็นสมาชิกของกลุ่มเป้าหมายแยกกัน เมื่อได้รับคำขอที่มีตัวระบุหลายตัว คำขอจะมีสิทธิ์แสดงรายการโฆษณาที่กำหนดเป้าหมายไปยังความเป็นสมาชิกกลุ่มที่รวมกันจากตัวระบุทั้ง 2 ประเภท

ตัวอย่าง

ผู้ใช้เข้าชมเว็บไซต์หรือแอปกีฬาที่รองรับ PPID สำหรับผู้ใช้ที่ลงชื่อเข้าใช้ แต่ผู้ใช้รายนี้ไม่ได้ลงชื่อเข้าใช้ ผู้ใช้รายนี้เข้าชมหน้าในเว็บไซต์หรือแอปที่ทำให้ระบบเพิ่มตัวผู้ใช้ไปยังกลุ่มเป้าหมายสำหรับผู้ที่ชื่นชอบบาสเกตบอล (กลุ่ม S1) เนื่องจากผู้ใช้ไม่ได้ลงชื่อเข้าใช้ ระบบจะเพิ่มตัวระบุรองเข้าไปในกลุ่มเป้าหมาย จากนั้น ผู้ใช้ได้ลงชื่อเข้าใช้เว็บไซต์หรือแอป ซึ่งส่งผลให้มีการเพิ่ม PPID ในคำขอโฆษณาเพิ่มเติม ระบบทราบว่าผู้ใช้รายนี้อยู่ในช่วงอายุ 25-34 ปี และ PPID ของผู้ใช้ได้รับการบันทึกอยู่ในกลุ่มเป้าหมายตามอายุ (กลุ่ม S2) ผ่านการอัปโหลดตัวระบุแบบเป็นกลุ่ม สำหรับคำขอที่มีตัวระบุหลายตัว รายการโฆษณาที่กำหนดเป้าหมายไปยังกลุ่ม S1 และ/หรือ S2 จะมีสิทธิ์แสดงผล

การแชร์กลุ่มเป้าหมาย

PPID จะได้รับการพิจารณาแยกกันในแต่ละเครือข่าย ซึ่งหมายความว่าแต่ละเครือข่ายมีเนมสเปซ PPID ของตัวเอง ซึ่งป้องกันไม่ให้เกิดการขัดแย้งหากทั้งสองเครือข่ายมอบหมาย PPID เดียวกันให้กับผู้ใช้หลายราย กลุ่มเป้าหมายที่สร้างขึ้นจาก PPID ของเครือข่ายหนึ่งจะไม่สามารถแชร์กับเครือข่ายหรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ ได้ (กล่าวคือ PPID จากคำขอของเครือข่ายหนึ่งจะไม่มีทางตรงกับ PPID ของกลุ่มเป้าหมายในอีกเครือข่ายหนึ่ง) เฉพาะกลุ่มที่สร้างขึ้นจากคุกกี้และรหัสอุปกรณ์เท่านั้นจึงจะสามารถแชร์กับหลายๆ เครือข่ายได้ สามารถแชร์กลุ่มเป้าหมายที่มีทั้ง PPID และรหัสรองได้ แต่โฆษณาที่กำหนดเป้าหมายไปยังกลุ่มนี้จะมีสิทธิ์แสดงตามคำขอที่มีตัวระบุหลายตัวก็ต่อเมื่อตัวระบุรองในคำขอโฆษณาตรงกับตัวระบุรองภายในกลุ่มเท่านั้น

ความเป็นสมาชิกของกลุ่มเป้าหมาย

หากได้รับคำขอที่มีตัวระบุหลายตัว ระบบจะพิจารณา PPID หลักเพื่อการทริกเกอร์หรือรีเฟรชความเป็นสมาชิกของกลุ่มเป้าหมายเท่านั้น ตัวระบุรองที่ส่งไปในคำขอจะไม่ได้รับการพิจารณาสำหรับจุดประสงค์นี้

ตัวอย่าง

ผู้ใช้อีกรายหนึ่งเข้าชมเว็บไซต์กีฬาจากตัวอย่างก่อนหน้านี้ และปัจจุบันได้ลงชื่อเข้าใช้เว็บไซต์นี้ (มีการส่งคำขอที่มีตัวระบุหลายตัวไปยัง Google Ad Manager) ผู้ใช้รายนี้ยังเข้าชมหน้าต่างๆ ในเว็บไซต์ด้วยซึ่งทำให้ PPID ของผู้ใช้เพิ่มเข้าไปในกลุ่มผู้ที่ชื่นชอบบาสเกตบอล (กลุ่ม S1) และเพื่อให้เห็นรายการโฆษณาที่กำหนดเป้าหมายไปยังกลุ่มนี้ จากนั้น ผู้ใช้ก็ออกจากระบบบัญชีของตน แต่ยังคงท่องเว็บไซต์ต่อไป ผู้ใช้จะไม่ได้มีสิทธิ์ดูโฆษณาที่กำหนดเป้าหมายไปยังกลุ่ม S1 อีกต่อไป จนกว่าจะเป็นไปตามเกณฑ์เงื่อนไขความเป็นสมาชิก S1 ภายใต้ตัวระบุรอง

การกำหนดความถี่สูงสุด

หากได้รับคำขอที่มีตัวระบุหลายตัว ระบบจะพิจารณาเฉพาะ PPID หลักเพื่อการคำนวณการกำหนดความถี่สูงสุดเท่านั้น ตัวระบุรองที่ส่งไปในคำขอจะไม่ได้รับการพิจารณาสำหรับจุดประสงค์นี้

ตัวอย่าง

ผู้ใช้อีกรายหนึ่งเข้าชมเว็บไซต์กีฬาจากตัวอย่างก่อนหน้านี้ และปัจจุบันได้ลงชื่อเข้าใช้เว็บไซต์นี้ (มีการส่งคำขอที่มีตัวระบุหลายตัวไปยัง Google Ad Manager) ผู้ใช้รายนี้ดูรายการโฆษณา L ที่แสดงผลสูงสุดที่ 1 ครั้งต่อ 24 ชั่วโมง จากนั้น ผู้ใช้ก็ออกจากระบบบัญชีของตน แต่ยังคงท่องเว็บไซต์ต่อไป ผู้ใช้สามารถเห็นรายการโฆษณา L ได้อีกครั้ง ซึ่งจะทริกเกอร์การกำหนดความถี่สูงสุดตามตัวระบุรองของผู้ใช้

การหมุนเวียนครีเอทีฟโฆษณาตามลำดับ

หากได้รับคำขอที่มีตัวระบุหลายตัว ระบบจะพิจารณาเฉพาะ PPID หลักเพื่อระบุครีเอทีฟโฆษณาที่จะแสดงลำดับถัดไปในการหมุนเวียนตามลำดับ ตัวระบุรองที่ส่งไปในคำขอจะไม่ได้รับการพิจารณาสำหรับจุดประสงค์นี้

ตัวอย่าง

ผู้ใช้อีกรายหนึ่งเข้าชมเว็บไซต์กีฬาจากตัวอย่างก่อนหน้านี้ และปัจจุบันได้ลงชื่อเข้าใช้เว็บไซต์นี้ (มีการส่งคำขอที่มีตัวระบุหลายตัวไปยัง Google Ad Manager) ผู้ใช้รายนี้ดูรายการโฆษณา L (ครั้งเดียว) ที่มีครีเอทีฟโฆษณา C1 และ C2 ที่ตั้งค่าสำหรับการหมุนเวียนครีเอทีฟโฆษณาตามลำดับ จากนั้น ผู้ใช้ก็ออกจากระบบบัญชีของตน แต่ยังคงท่องเว็บไซต์ต่อไป เมื่อผู้ใช้ดูรายการโฆษณา L ในครั้งถัดไป ก็จะเห็นโฆษณาครีเอทีฟ C1 อีกครั้ง (ขึ้นอยู่กับตัวระบุรอง)

การรายงานการโอนข้อมูล

การรายงานการโอนข้อมูลพร้อมให้ใช้งานสำหรับผู้เผยแพร่โฆษณา Google Ad Manager 360 เท่านั้น

ตัวระบุทั้งสองที่ส่งผ่านเข้ามาในคำขอที่มีตัวระบุหลายตัวจะเข้าสู่กระบวนการรายงานการโอนข้อมูล แต่จะอยู่ในรูปแบบที่เข้ารหัส ผู้เผยแพร่โฆษณาจะย้อนกระบวนการเข้ารหัส (คืนค่า PPID หรือตัวระบุรองกลับเป็นรูปแบบเดิม) ไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ตัวระบุที่เข้ารหัสไว้จะอัปโหลดแบบเป็นกลุ่มไปยังรายการกลุ่มเป้าหมายเพื่อรีมาร์เก็ตติ้ง/กำหนดเป้าหมายในภายหลังได้

ตัวอย่าง

ผู้ใช้อีกรายหนึ่งเข้าชมเว็บไซต์กีฬาจากตัวอย่างก่อนหน้านี้ และปัจจุบันได้ลงชื่อเข้าใช้เว็บไซต์นี้ (มีการส่งคำขอที่มีตัวระบุหลายตัวไปยัง Google Ad Manager) ระบบจะส่งผ่านตัวระบุของผู้ใช้ไปยังรายงานการโอนข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ตัวระบุ PPID หลักของผู้ใช้ที่มีการเข้ารหัสจะปรากฏในช่อง PublisherProvidedID และตัวระบุรองของผู้ใช้ที่มีการเข้ารหัสจะปรากฏในช่อง UserId

ข้อมูลนี้มีประโยชน์ไหม

เราจะปรับปรุงได้อย่างไร
ค้นหา
ล้างการค้นหา
ปิดการค้นหา
เมนูหลัก
2375950293148898163
true
ค้นหาศูนย์ช่วยเหลือ
true
true
true
true
true
148
false
false