รายงานประสิทธิภาพ (Search)

รายงานประสิทธิภาพแสดงเมตริกที่สำคัญเกี่ยวกับประสิทธิภาพของเว็บไซต์ในผลการค้นหาของ Google เช่น

  • ดูว่าปริมาณการค้นหาเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรในช่วงเวลาที่ผ่านมา การค้นหามาจากที่ไหน และคำค้นหาใดมีแนวโน้มที่จะแสดงเว็บไซต์ของคุณมากที่สุด
  • ศึกษาว่าคำค้นหาใดเป็นการค้นหาในอุปกรณ์เคลื่อนที่ และนำมาใช้เพื่อปรับปรุงการกำหนดเป้าหมายมือถือ
  • ดูว่าหน้าใดมีอัตราการคลิกผ่านสูงสุด (และต่ำสุด) จากผลการค้นหาของ Google
หากเป็นผู้ใช้ใหม่
หากคุณเพิ่งเริ่มใช้การวิเคราะห์เว็บไซต์ โปรดเริ่มด้วยการอ่านข้อมูลเบื้องต้นที่เข้าใจง่ายเกี่ยวกับรายงานนี้

 

เปิดรายงานประสิทธิภาพ

 

รายงานประสิทธิภาพใน Search Console - การฝึกอบรม Google Search Console

งานทั่วไป

ข้อความค้นหายอดนิยมของคุณคืออะไร

ดูแท็บข้อความค้นหาเพื่อดูคำค้นหายอดนิยมสำหรับเว็บไซต์ของคุณได้สูงสุด 1,000 รายการ (ระบบจะไม่แสดงคำค้นหาที่พบน้อยมากเพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้)
จัดเรียงตามจำนวนคลิก, CTR หรือการแสดงผลโดยคลิกคอลัมน์ที่ด้านบนของตาราง
คุณอาจสังเกตเห็นว่าข้อความค้นหาเป็นข้อความที่ตรงกันทั้งหมด (ไม่คำนึงถึงตัวพิมพ์เล็กและตัวพิมพ์ใหญ่) หลายข้อความค้นหาจึงคล้ายกันมาก ในการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของเว็บไซต์หรือหน้าเว็บ คุณจึงควรมองว่าข้อความค้นหาที่คล้ายกันแบบนี้เป็นข้อความเดียวกันทั้งหมด คุณสร้างตัวกรองเพื่อจับคู่ข้อความค้นหาหลายรายการที่ตรงกันใน Search Console ได้ เราขอแนะนำให้จับคู่ข้อความค้นหาที่คล้ายกัน เช่น "บอลโลก" "ฟุตบอลโลก" และ "บอลโลก 2023"
คุณติดตามประสิทธิภาพของข้อความค้นหาในช่วงระยะเวลาหนึ่งๆ ได้โดยกรองตามข้อความค้นหานั้น (คลิกข้อความค้นหาในแท็บข้อความค้นหา) Search Console ไม่รองรับวิธีการติดตามประสิทธิภาพของข้อความค้นหาแบบหลายรายการในช่วงระยะเวลาหนึ่งๆ แยกทีละรายการ แต่คุณใช้นิพจน์ทั่วไปกรองข้อความค้นหาแบบหลายรายการได้ (หรือจับคู่ข้อความค้นหาที่มีสตริงเหมือนกัน)

หน้าเว็บใดของคุณที่ได้รับความนิยมมากที่สุดใน Search

ดูแท็บหน้าเว็บและเลือกเมตริกการคลิกและ CTR จัดเรียงผลลัพธ์ตามจำนวนคลิกหรือ CTR

หน้าเว็บใดของคุณมีประสิทธิภาพน้อยที่สุดใน Search

CTR เป็นปัจจัยที่ช่วยให้ทราบถึง "ประสิทธิภาพ" ใน Search เนื่องจาก CTR ที่ต่ำบ่งบอกว่าผู้ใช้เห็นหน้าเว็บของคุณใน Search แต่ไม่คิดว่าเว็บไซต์จะตอบโจทย์ความต้องการของตนเองได้
หากเห็นว่าหน้าเว็บมี CTR ต่ำ ให้พิจารณาว่าควรจะเก็บหน้านั้นไว้ต่อไปไหม หากควร ให้พยายามปรับปรุงชื่อและตัวอย่างข้อมูลของหน้าเว็บเพื่อให้แสดงเนื้อหาได้ดียิ่งขึ้น หรืออาจเปลี่ยนแปลงเนื้อหาให้สอดคล้องมากขึ้นกับข้อความค้นหาของผู้ใช้ที่แสดงหน้าเว็บนี้
วิธีดูหน้าเว็บที่มี CTR ต่ำที่สุด
  1. เลือก CTR เป็นเมตริก
  2. เปิดแท็บหน้าเว็บ
  3. จัดเรียงตาม CTR

หน้าใดจากเว็บไซต์ของคุณที่ Google แสดงสำหรับข้อความค้นหาหนึ่งๆ

คลิกแท็บข้อความค้นหาเพื่อดูคำค้นหายอดนิยมสำหรับเว็บไซต์ของคุณได้สูงสุด 1,000 รายการ (ระบบจะไม่แสดงคำค้นหาที่พบน้อยมากเพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้)
คลิกข้อความค้นหาเพื่อกรองข้อมูลการรายงานทั้งหมดไปยังข้อความค้นหาที่เลือก หรือเพิ่มตัวกรองข้อความค้นหาเพื่อระบุข้อความค้นหาด้วยตนเองแทนการเลือกข้อความค้นหาจากตาราง การกรองข้อความค้นหาจะไม่คำนึงถึงตัวพิมพ์เล็กและตัวพิมพ์ใหญ่
ข้อความค้นหาหลายรายการแทบจะเหมือนกันทุกประการ เราจึงแนะนำให้ส่งข้อความค้นหาที่ตรงกันแบบหลายรายการโดยใช้นิพจน์ทั่วไป (ฟุตบอลโลก | บอลโลก | บอลโลก 2022) หรือกรอง "ข้อความที่มี" และใช้คำทั่วไป ("บอลโลก" แทน "ฟุตบอลโลก") ผู้ใช้มีแนวโน้มที่จะค้นหาคำจำนวนมากที่คล้ายกัน
โปรดทราบว่าแม้ว่าข้อความค้นหาจะปรากฏในรายการ แต่คุณอาจไม่เห็นเว็บไซต์ของตนเองในผลการค้นหาหากใช้ข้อความค้นหาเดียวกันใน Google Search นั่นเป็นเพราะผลการค้นหาของ Search มีความเฉพาะเจาะจงอย่างมากกับเวลา สถานที่ อุปกรณ์ และประวัติการค้นหาล่าสุดของผู้ค้นหา รวมถึงปัจจัยอื่นๆ อีกหลายอย่าง ดังนั้นผู้ใช้ที่ค้นหาด้วยสตริงเดียวกันอาจได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน ตามที่ Google คิดว่าผู้ใช้กำลังค้นหา

เหตุใดจำนวนการเข้าชมถึงลดลงหรือเพิ่มขึ้น

การเข้าชมจากการค้นหาทั่วไปใน Search ที่ลดลงอาจเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุด้วยกัน และโดยส่วนมากจะแก้ไขให้กลับเป็นเหมือนเดิมได้ ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสาเหตุหลักที่ทำให้การเข้าชมลดลงได้ที่การแก้ไขข้อบกพร่องของการเข้าชมใน Google Search ที่ลดลง

เปรียบเทียบข้อมูลของหน้าเว็บ 2 หน้า ช่วงวันที่ ข้อความค้นหา หรืออื่นๆ

ดูวิธีเปรียบเทียบประสิทธิภาพสำหรับช่วงวันที่ที่ต่างกัน 2 ช่วงหรือสิ่งอื่นๆ ได้ที่การเปรียบเทียบกลุ่ม

วิธีวัดว่าการเปลี่ยนแปลงในหน้าเว็บมีประโยชน์หรือไม่

การพิจารณาว่าการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในหน้าเว็บเป็นสาเหตุของการปรับปรุงนั้นเป็นเรื่องยากกว่าที่คิด เนื่องจากเหตุการณ์อื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของคุณอาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านประสิทธิภาพใน Search ได้ เช่น การเปลี่ยนแปลงเป็นระยะๆ ของความรู้สึกผู้ใช้ซึ่งอาจเกิดจากเหตุการณ์ข่าว อาจทำให้หน้าเว็บของคุณ ลักษณะที่ปรากฏ หรือการปรับปรุงในเว็บไซต์คู่แข่งมีความน่าสนใจมากขึ้นหรือน้อยลง ตรวจสอบว่าเวลาการปรับปรุงใน Search แมปใกล้เคียงกับการเปลี่ยนแปลงเว็บไซต์หรือไม่ เมื่อเทียบกับระยะเวลาที่คล้ายกันในอดีต

อันดับเฉลี่ยของคุณในผลการค้นหาของ Search เมื่อเวลาผ่านไปคือเท่าใด

วิธีดูอันดับเฉลี่ยในผลการค้นหาของ Search
  1. หากต้องการดูข้อมูลอันดับย้อนหลังของหน้าเว็บที่เจาะจงหรือกลุ่มหน้าเว็บ ให้เพิ่มตัวกรอง URL ลงในรายงาน
  2. เลือกเมตริกอันดับเฉลี่ยและยกเลิกการเลือกเมตริกอื่นๆ ทั้งหมด
  3. เลือกกรอบเวลาที่คุณสนใจ
  4. (ไม่บังคับ) เปรียบเทียบกรอบเวลานี้กับกรอบเวลาที่คล้ายกัน

โปรดทราบว่าค่าที่แสดงในแต่ละวันที่เป็นอันดับเฉลี่ยสูงสุดของหน้าจากเว็บไซต์

นอกจากนี้ โปรดทราบว่าการระบุตำแหน่งที่เจาะจงบนหน้าเว็บสำหรับอันดับใดอันดับหนึ่งนั้นเป็นเรื่องยากมากเช่นเดียวกัน ตัวเลือกที่ปลอดภัยกว่าคือการมุ่งดูที่ 10 อันดับหรือน้อยกว่านั้น และพยายามรักษาอันดับไว้ไม่ให้ลดลงเมื่อเวลาผ่านไป โดยทั่วไป คุณควรให้ความสำคัญกับการแสดงผลและจำนวนคลิกมากกว่าอันดับ

เปรียบเทียบประสิทธิภาพใน Google Search, News และ Discover

มีรายงานประสิทธิภาพแยกต่างหากสำหรับ Search, News และ Discover คุณรวมข้อมูลไว้ในรายงานเดียวภายใน Search Console ในเบราว์เซอร์ไม่ได้ แต่จะส่งออกข้อมูลและเปรียบเทียบได้ (โปรดทราบว่าคุณต้องมีข้อมูลใน Google News และ Discover มากพอ รายงานดังกล่าวจึงจะปรากฏขึ้น)
และโปรดทราบว่า News และ Discover อาจมีการเข้าชมน้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับ Search และเมื่อรวมข้อมูลเป็นรายงานเดียว การเข้าชมจาก Search จะทำให้จำนวนการเข้าชมจากแหล่งที่มาอื่นๆ ดูน้อยลง

ดูข้อมูลเกี่ยวกับข้อความค้นหาที่มีชื่อแบรนด์เทียบกับไม่มีชื่อแบรนด์

คุณอาจต้องดูจำนวนข้อความค้นหาที่แสดงเว็บไซต์ของคุณเมื่อผู้ใช้ระบุหรือไม่ระบุคำหรือวลีที่เจาะจง เช่น ชื่อแบรนด์

การทำเช่นนี้ไม่ง่ายเท่าการกรองข้อความค้นหาที่มีและไม่มีค่า เนื่องจากการเพิ่มตัวกรองจะทำให้ Search Console ละเว้นข้อความค้นหาที่ลบข้อมูลระบุตัวบุคคล ซึ่งอาจมีวลีที่ต้องการ ดังนั้น จำนวนจริงจะหายไปเมื่อคุณเริ่มกรองข้อมูล อย่างไรก็ตาม คุณจะประมาณความคลาดเคลื่อนสูงสุดของข้อผิดพลาดได้ด้วยการเพิ่มตัวกรองข้อความค้นหา แล้วดูว่าจำนวนการแสดงผลหรือจำนวนคลิกทั้งหมดลดลงเท่าไหร่จากจำนวนรวมที่ไม่มีการกรอง ดังนั้น

  1. เพิ่มตัวกรองสำหรับข้อความค้นหาที่ตรงกับค่าบางค่า ("ข้อความค้นหาที่ตรงกันทุกประการ" "ข้อความค้นหาที่มี" หรือ "กำหนดเอง (นิพจน์ทั่วไป)" บันทึกจำนวนคลิก การแสดงผล และ CTR ทั้งหมดจากแผนภูมิ
  2. แก้ไขตัวกรองเพื่อค้นหาข้อความค้นหาที่ไม่มีค่านั้น ("ข้อความค้นหาที่ไม่มี" หรือ "กำหนดเอง (นิพจน์ทั่วไป)") บันทึกค่าทั้งหมดจากแผนภูมิ
  3. แก้ไขตัวกรองให้ตรงกับข้อความค้นหาทั้งหมด: "กำหนดเอง (นิพจน์ทั่วไป)" สำหรับข้อความค้นหาที่ตรงกับคำ .* และบันทึกค่าทั้งหมดจากแผนภูมิ
  4. นำตัวกรองข้อความค้นหาและหน้าเว็บทั้งหมดออก แล้วบันทึกค่าทั้งหมดจากแผนภูมิ โปรดทราบว่าค่าทั้งหมดที่เพิ่มขึ้นจากขั้นตอนที่ 3 คือข้อมูลที่ลบข้อมูลระบุตัวบุคคลและข้อมูลที่เฉพาะเจาะจงอื่นๆ ที่มีการลดลง
  5. จำนวนข้อความค้นหาที่มีชื่อแบรนด์และไม่มีชื่อแบรนด์โดยประมาณ ได้แก่
(ข้อความค้นหาที่มี "บางค่า")
(ข้อความค้นหาที่ไม่มี "บางค่า") + (ข้อความค้นหาที่มี "บางค่า")

ความคลาดเคลื่อนสูงสุดของข้อผิดพลาดโดยประมาณ

(ค่าทั้งหมดที่มีตัวกรองที่ตรงกันทุกประการ / ค่าทั้งหมดที่ไม่มีตัวกรอง)

การกำหนดค่ารายงาน

มุมมองเริ่มต้นของรายงานจะแสดงข้อมูลการคลิกและการแสดงผลของเว็บไซต์ในผลการค้นหาของ Google ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา

  • เลือกเมตริกที่จะดูโดยเลือกแท็บเหนือแผนภูมิ เมตริกคือตัวเลขที่จะแสดง (การคลิก, การแสดงผล, อันดับ, CTR)
  • เลือกมิติข้อมูลที่จะแสดงโดยเลือกแท็บการจัดกลุ่มข้อมูลในตาราง มิติข้อมูลจะเป็นตัวกำหนดวิธีการจัดกลุ่มข้อมูล ได้แก่ ตาม URL หน้าเว็บ ตามประเทศ ตามสตริงคำค้นหา และอื่นๆ
  • (ไม่บังคับ) กรองข้อมูลโดยเพิ่มหรือเปลี่ยนตัวกรอง
  • (ไม่บังคับ) เปรียบเทียบกลุ่มมิติข้อมูล: เช่น เปรียบเทียบผลการค้นหาระหว่างบราซิลกับจีน หรือเปรียบเทียบข้อมูลรูปภาพกับข้อมูลเว็บ

 

การส่งออกข้อมูลรายงาน

รายงานหลายรายการมีปุ่มส่งออก เพื่อส่งออกข้อมูลรายงาน ระบบจะส่งออกทั้งข้อมูลแผนภูมิและตาราง ค่าที่แสดงเป็น ~ หรือ - ในรายงาน (ไม่มี/ไม่ใช่ตัวเลข) จะเป็น 0 ในข้อมูลที่ดาวน์โหลด

 

การอ่านแผนภูมิ

แผนภูมิจะแสดงจำนวนคลิกทั้งหมด จำนวนการแสดงผลทั้งหมด อันดับเฉลี่ยของพร็อพเพอร์ตี้ และ CTR เฉลี่ย (อัตราการคลิกผ่าน) ของคุณ โดยข้อมูลที่แสดงจะขึ้นอยู่กับแท็บที่คุณเลือก ข้อมูลในแผนภูมิจะรวบรวมตามพร็อพเพอร์ตี้ ดูคำอธิบายเมตริกประเภทต่างๆ และวิธีคำนวณในส่วนเมตริก ข้อมูลใหม่ล่าสุดอาจเป็นข้อมูลเบื้องต้น ระบบจะระบุข้อมูลเบื้องต้นเมื่อคุณวางเมาส์เหนือหรือเลือกข้อมูลนั้นในกราฟ

ข้อมูลในแผนภูมิจะรวบรวมตามพร็อพเพอร์ตี้เสมอ เว้นว่าคุณจะกรองตามหน้าหรือลักษณะที่ปรากฏในการค้นหา

ผลรวมของเมตริกแต่ละรายการจะแสดงอยู่ในแผนภูมิ ผลรวมในแผนภูมิอาจแตกต่างจากผลรวมในตาราง

ดูส่วนมิติข้อมูล เมตริก และเกี่ยวกับข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจตัวเลขต่างๆ

การอ่านตาราง

ตารางจะแสดงข้อมูลที่จัดกลุ่มไว้ตามมิติข้อมูลที่เลือก (เช่น ตามคำค้นหา หน้าเว็บ หรือประเทศ)

ข้อมูลในตารางจะรวบรวมตามพร็อพเพอร์ตี้ เว้นแต่คุณจะกรองหรือดูผลการค้นหาตามหน้าเว็บหรือลักษณะที่ปรากฏในการค้นหา

ผลรวมในแผนภูมิอาจแตกต่างจากผลรวมในตารางด้วยเหตุผลต่างๆ

ดูส่วนมิติข้อมูล เมตริก และเกี่ยวกับข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจตัวเลขต่างๆ

เหตุใดตารางรายงานจึงหายไป

ในบางกรณีที่ตารางไม่ได้เพิ่มข้อมูลเพิ่มเติมใดๆ ไปยังแผนภูมิ จะไม่มีการแสดงตารางดังกล่าวในรายงาน ตัวอย่างเช่น หากคุณแสดงจำนวนคลิกในตารางที่จัดกลุ่มตามประเทศ และเปรียบเทียบระหว่างสหรัฐอเมริกากับสหราชอาณาจักร คุณจะเห็นตารางที่มีลักษณะดังนี้

ประเทศ การคลิกจากสหรัฐอเมริกา การคลิกจากสหราชอาณาจักร
สหรัฐอเมริกา 1,000 0
สหราชอาณาจักร 0 1,000

ตารางนี้ให้ข้อมูลเดียวกับที่แสดงอยู่ในกราฟแล้ว ดังนั้นจะไม่มีการแสดงตารางนี้

มิติข้อมูลและตัวกรอง

คุณจัดกลุ่มและกรองข้อมูลตามมิติข้อมูลต่อไปนี้ได้ หากต้องการจับกลุ่ม ให้เลือกแท็บมิติข้อมูลเหนือตาราง หากต้องการกรอง ให้อ่านที่นี่

คำค้นหา

สตริงคําค้นหาที่ผู้ใช้ค้นหาใน Google ระบบจะแสดงเฉพาะสตริงคำค้นหาที่ระบุตัวบุคคลซึ่งแสดงผลเว็บไซต์ของคุณ

ข้อความค้นหาที่ลบข้อมูลระบุตัวบุคคลออก

คำค้นหาบางอย่าง (เรียกว่าคำค้นหาที่ลบข้อมูลระบุตัวบุคคลออก) จะไม่แสดงในผลลัพธ์ดังกล่าวเพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ที่ทำการค้นหา คำค้นหาที่ลบข้อมูลระบุตัวบุคคลออกจะไม่แสดงในตารางทุกกรณี คำค้นหาที่ไม่ระบุตัวบุคคลจะรวมอยู่ในผลรวมของแผนภูมิ เว้นแต่ว่าคุณเลือกกรองตามคำค้นหา (ไม่ว่าจะเป็นคำค้นหาที่มีหรือไม่มีสตริงดังกล่าวก็ตาม)

หากเว็บไซต์มีคําค้นหาที่ไม่ระบุตัวบุคคลจำนวนมาก คุณอาจเห็นว่าผลรวมกับ (จำนวนคำค้นหาที่มีบางสตริง + จํานวนคำค้นหาที่ไม่มีบางสตริง) แตกต่างกันอย่างมาก ซึ่งเป็นเพราะระบบไม่รวมคำค้นหาที่ไม่ระบุตัวบุคคลเมื่อใดก็ตามที่มีการใช้ตัวกรอง ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคำค้นหาที่ไม่ระบุตัวบุคคลอาจทำให้เกิดความแตกต่างของข้อมูล

ข้อมูลจะรวบรวมตามพร็อพเพอร์ตี้เมื่อคุณจับกลุ่มหรือกรองตามคำค้นหา

เมื่อกรองตามคำค้นหา ข้อมูลเฉพาะเจาะจง (Long tail) ในตารางหรือแผนภูมิอาจหายไป เมื่อจับกลุ่มตามคำค้นหา ข้อมูลที่เฉพาะเจาะจงจะหายไปจากตารางเท่านั้น โดยจะสังเกตเห็นได้ชัดที่สุดในเว็บไซต์ที่ใหญ่มากๆ

หากไม่เห็นคำค้นหาที่เพิ่งเห็นเมื่อเร็วๆ นี้ โปรดตรวจสอบว่าคุณไม่ได้เพิ่มตัวกรองที่ซ่อนผลการค้นหานั้นไว้

ข้อจำกัดอื่นๆ สำหรับข้อความค้นหา

Search Console จะจัดเก็บแถวข้อมูลด้านบนเท่านั้น ไม่ได้จัดเก็บทุกแถว เนื่องจากมีข้อจำกัดในระบบ ด้วยเหตุนี้ นอกเหนือจากคำค้นหาที่มีการลบข้อมูลระบุตัวบุคคลออกซึ่งระบบจะไม่แสดงอยู่แล้ว ระบบจะแสดงคำค้นหาเฉพาะบางรายการเท่านั้น โดยจะเน้นแสดงคำค้นหาที่สําคัญที่สุดสําหรับพร็อพเพอร์ตี้โดยรวมของคุณแทน

การใช้งานทั่วไป

  • มองหาข้อความค้นหาที่คาดและไม่คาดว่าจะมีการใช้ค้นหา หากไม่พบคำที่คุณคาดว่าจะเจอ แสดงว่าเว็บไซต์อาจมีเนื้อหาซึ่งเป็นประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับคำดังกล่าวไม่มากพอ หากพบคำที่ไม่คาดว่าจะเจอ (เช่น "ไวอากร้า" หรือ "คาสิโน") อาจเป็นไปได้ว่าเว็บไซต์ของคุณโดนแฮ็ก
  • ค้นหาคำค้นหาที่มีการแสดงผลสูงและ CTR ต่ำ คำค้นหาเช่นนี้จะช่วยบอกให้รู้ว่าควรปรับเปลี่ยนชื่อและตัวอย่างข้อมูลที่จุดใดบ้างเพื่อให้ตรงตามความสนใจของผู้ใช้
  • ดูผลรวมของคำค้นหาที่มีชื่อแบรนด์หรือไม่มีชื่อแบรนด์ คุณอาจต้องดูจำนวนคำค้นหาที่แสดงเว็บไซต์ของคุณเมื่อผู้ใช้ระบุหรือไม่ระบุสตริงที่เจาะจง เช่น ชื่อแบรนด์ เนื่องจากระบบไม่นับคำค้นหาที่ไม่ระบุตัวบุคคลและข้อมูลที่เฉพาะเจาะจงจะหายไปเมื่อกรองตามคำค้นหา คุณจึงทำได้เพียงประมาณค่าดังกล่าว แต่โดยประมาณแล้ว เปอร์เซ็นต์ของคำค้นหาที่มีชื่อแบรนด์จะคำนวณได้จากสูตรต่อไปนี้
    (คำค้นหาที่มี "บางค่า")
    (คำค้นหาที่ไม่มี "บางค่า") + (คำค้นหาที่มี "บางค่า")
หน้า

URL สุดท้ายที่ลิงก์โดยผลการค้นหาหลังจากมีการข้ามการเปลี่ยนเส้นทางที่อาจเกิดขึ้น (ดูด้านล่าง)

ข้อมูลประสิทธิภาพส่วนใหญ่ในรายงานนี้เป็นของ Canonical URLของหน้าเว็บ ไม่ใช่ URL ที่ซ้ำกัน ซึ่งหมายความว่าเมื่อผู้ใช้คลิก URL ที่ซ้ำกันในผลการค้นหา ระบบจะนับการคลิกดังกล่าวสำหรับ Canonical URL ไม่ใช่ URL ที่ผู้ใช้เข้าชม ดังนั้น รายงานประสิทธิภาพอาจแสดงจำนวนคลิกเป็น 0 สำหรับ URL ที่ซ้ำกันแม้ว่าบันทึกของเว็บไซต์ของคุณจะแสดงว่าผู้ใช้เข้าถึงหน้าดังกล่าวจาก Google Search ก็ตาม คุณหา Canonical URL สำหรับหน้าได้โดยใช้เครื่องมือตรวจสอบ URL

การคลิกและการแสดงผลจำนวนเล็กน้อยอาจเป็นของ URL จริง ไม่ใช่ Canonical URL เช่น ลิงก์การ์ดความรู้บางรายการในผลการค้นหาบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ รวมถึงผลการค้นหา hreflang บางรายการ

คุณอาจลองพิจารณาการเข้าชมที่เกิดขึ้นจริงสำหรับรายการที่ซ้ำกันหากมีเวอร์ชันแยกต่างหากสำหรับผู้เข้าชมบนเดสก์ท็อปและบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ ในกรณีนี้ คุณดูการเข้าชมสำหรับ URL ที่คลิกจริงได้โดยการกรองข้อมูลตามอุปกรณ์ (สำหรับเดสก์ท็อปหรืออุปกรณ์เคลื่อนที่)

 

การเลือกมิติข้อมูลของหน้าจะรวบรวมข้อมูลตามหน้าเว็บ ไม่ใช่ตามพร็อพเพอร์ตี้ในตาราง กราฟจะรวบรวมข้อมูลตามพร็อพเพอร์ตี้ ไม่ว่ามิติข้อมูลจะเป็นอะไรก็ตาม

เมื่อจับกลุ่มตามหน้าเว็บ คุณอาจสูญเสียข้อมูลเฉพาะเจาะจง (Long tail) ในตาราง โดยจะสังเกตเห็นได้ชัดที่สุดในเว็บไซต์ที่ใหญ่มากๆ

การข้ามการเปลี่ยนเส้นทาง: URL ที่ Google แสดงสำหรับผลการค้นหาอาจแตกต่างจาก URL จริงของลิงก์ก็ได้ เช่น ลองนึกถึงเว็บไซต์ที่มีหน้า 2 เวอร์ชัน ได้แก่ example.com/mypage สำหรับผู้ใช้ในเดสก์ท็อป และ m.example.com/mypage สำหรับผู้ใช้ในอุปกรณ์เคลื่อนที่ Google อาจแสดง URL สำหรับเดสก์ท็อปของทั้งการค้นหาบนเดสก์ท็อปและในอุปกรณ์เคลื่อนที่ แต่เป้าหมายของลิงก์ <a> จะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าการค้นหานั้นมาจากเดสก์ท็อปหรืออุปกรณ์เคลื่อนที่ สำหรับในเดสก์ท็อป ลิงก์ที่แสดงจริงจะชี้ไปยังหน้าเดสก์ท็อป สำหรับในอุปกรณ์เคลื่อนที่ ลิงก์นี้จะชี้ไปยังหน้าสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ ซึ่งเรียกว่าการข้ามการเปลี่ยนเส้นทาง
ประเทศ

ประเทศที่มีการค้นหาคำนั้นๆ เช่น การค้นหาจากแคนาดาหรือเม็กซิโก

อุปกรณ์

ประเภทอุปกรณ์ที่ผู้ใช้ใช้ค้นหา ได้แก่ เดสก์ท็อป แท็บเล็ต หรืออุปกรณ์เคลื่อนที่ หากคุณมีพร็อพเพอร์ตี้แยกต่างหากสำหรับอุปกรณ์แต่ละประเภท (เช่น m.example.com สำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ และ example.com สำหรับเดสก์ท็อป) คุณอาจเปรียบเทียบเมตริกระหว่างพร็อพเพอร์ตี้ 2 แห่งนี้ไม่ได้ ยกเว้นว่าจะใช้พร็อพเพอร์ตี้โดเมน

ประเภทการค้นหา [ตัวกรองเท่านั้น]

แท็บการค้นหาที่มีลิงก์ที่ผู้ใช้เห็นในกรณีต่างๆ มีดังนี้

  • เว็บ: ผลลัพธ์ที่ปรากฏในแท็บทั้งหมด ซึ่งรวมถึงผลลัพธ์รูปภาพหรือวิดีโอที่ปรากฏในแท็บผลลัพธ์ทั้งหมด
  • รูปภาพ: ผลลัพธ์ที่ปรากฏในแท็บผลการค้นหารูปภาพ
  • วิดีโอ: ผลลัพธ์ที่ปรากฏในแท็บผลการค้นหาวิดีโอ
  • ข่าว: ผลลัพธ์ที่แสดงในแท็บผลการค้นหาข่าว

เราไม่รองรับการจัดกลุ่มตามประเภทการค้นหาเนื่องจากเลย์เอาต์ของหน้าผลการค้นหาสำหรับการค้นหาประเภทต่างๆ นั้นแตกต่างกันอย่างมาก ตัวอย่างเช่น อันดับที่ 30 ของผลการค้นหารูปภาพอาจอยู่ในการค้นหาหน้าแรก แต่อันดับที่ 30 ของการค้นเว็บอาจอยู่ในหน้าที่ 3 ก็ได้

ระบบจะบันทึกข้อมูลแยกตามประเภทการค้นหา

จาก URL ที่ให้มา ระบบจะบันทึกการคลิกทั้งหมด การแสดงผล และข้อมูลอันดับแยกกันตามประเภทการค้นหา ตัวอย่างเช่น รูปภาพจะปรากฏทั้งในผลการค้นหาเว็บไซต์และผลการค้นหารูปภาพ แต่ระบบจะบันทึกการคลิก การแสดงผล และข้อมูลอันดับของรูปภาพดังกล่าวในผลการค้นหาเว็บไซต์และผลการค้นหารูปภาพแยกจากกัน

จากรูปภาพที่โฮสต์ไว้ในหน้า example.com/aboutme.html ที่ให้ไว้เป็นตัวอย่าง คุณอาจมีข้อมูลต่อไปนี้

ประเภทการค้นหา การแสดงผล การคลิก อันดับ
ภาพ 20 10 23
เว็บ 30 30 7
ลักษณะที่ปรากฏในการค้นหา

จัดกลุ่มข้อมูลตามประเภทหรือฟีเจอร์ผลการค้นหาที่เฉพาะเจาะจง

เรารองรับประเภทลักษณะที่ปรากฏในการค้นหาดังต่อไปนี้

การจัดมิติข้อมูลหรือการกรองตามลักษณะที่ปรากฏในการค้นหาจะรวบรวมข้อมูลตามหน้า ไม่ใช่ตามพร็อพเพอร์ตี้เฉพาะในตารางเท่านั้น ส่วนข้อมูลในกราฟจะยังคงจัดกลุ่มตามพร็อพเพอร์ตี้

รายการฟีเจอร์ตัวกรองจะแสดงเฉพาะตัวเลือกที่มีการแสดงผลเท่านั้น เช่น หากไม่มีผลลัพธ์ตำแหน่งงาน คุณจะไม่เห็นตำแหน่งงานในรายการตัวกรอง

ในหน้าเดียวกันนั้นอาจมีฟีเจอร์ของลักษณะที่ปรากฏในการค้นหาได้หลายอย่างในเซสชันเดียว แต่จะนับเป็นการแสดงผลเพียง 1 ครั้งสำหรับฟีเจอร์แต่ละประเภท ตัวอย่างเช่น หน้าหนึ่งอาจมีทั้งผลการค้นหาที่เป็นสื่อสมบูรณ์และลิงก์ผลการค้นหาในคำค้นหาเดียว

จำนวนการคลิกที่กรองแล้ว

หากคุณกรองตามลักษณะที่ปรากฏในการค้นหา เราไม่รับประกันว่าจํานวนการคลิกทั้งหมดของ URL หนึ่งๆ จะเป็นของลิงก์ที่มีประเภทฟีเจอร์ที่กรอง เนื่องจากเราจะถือว่าการคลิกเป็นของ URL ไม่ใช่ (URL + ฟีเจอร์) แต่เรารับประกันได้ว่าผู้ใช้เห็นลิงก์ที่มี URL และฟีเจอร์นี้ในชุดผลการค้นหาชุดเดียวกันกับตอนที่คลิกลิงก์ที่มี URL ดังกล่าว

วันที่
จัดกลุ่มข้อมูลตามวัน ข้อมูลนี้อาจรวมถึงข้อมูลเบื้องต้น วันที่ทั้งหมดจะแสดงตามเขตเวลาแปซิฟิก (PT)
โดยค่าเริ่มต้น ระบบจะรวมไว้เฉพาะวันที่มีข้อมูลเต็มวันเท่านั้น (หมายถึงวันที่เรามีข้อมูลโดยเริ่มจากเที่ยงคืนถึงเที่ยงคืน) หากต้องการรวมวันที่มีข้อมูลไม่เต็มวัน (เช่น วันนี้) จะต้องเปลี่ยนตัวกรองวันที่ให้ระบุวันที่เริ่มต้นที่แน่นอน

เมตริก

เลือกเมตริกที่จะแสดงโดยสลับไปยังแท็บที่ต้องการในรายงาน

เมตริกที่พร้อมให้คุณใช้งานมีดังนี้

  • การคลิก - จำนวนคลิกจากผลการค้นหาของ Google ที่นำผู้ใช้มายังพร็อพเพอร์ตี้ของคุณ ดูข้อมูลเพิ่มเติม
  • การแสดงผล - จำนวนลิงก์มายังเว็บไซต์ของคุณที่ผู้ใช้เห็นในผลการค้นหาของ Google ระบบจะนับการแสดงผลเมื่อผู้ใช้เข้าชมหน้าผลลัพธ์นั้นแม้ว่าผู้ใช้จะไม่เลื่อนลงมาดูผลลัพธ์ อย่างไรก็ตาม หากผู้ใช้ดูเฉพาะหน้า 1 แต่ผลลัพธ์อยู่ในหน้า 2 ระบบก็จะไม่นับเป็นการแสดงผล โดยจะนับรวมตามพร็อพเพอร์ตี้หรือหน้าเว็บ โปรดทราบว่าสำหรับการเลื่อนหน้าผลลัพธ์ได้ไม่รู้จบ (การค้นรูป) ผู้ใช้จะต้องเลื่อนลงมาดูรายการนั้น จึงจะนับเป็นการแสดงผล ดูข้อมูลเพิ่มเติม
  • CTR - อัตราการคลิกผ่าน: จำนวนคลิกที่หารด้วยจำนวนการแสดงผล หากแถวข้อมูลใดไม่มีการแสดงผล CTR จะแสดงเป็นขีดกลาง (-) เพราะ CTR จะหารด้วย 0
  • อันดับเฉลี่ย [แผนภูมิเท่านั้น]- อันดับเฉลี่ยของผลลัพธ์ด้านบนสุดจากเว็บไซต์ของคุณ ตัวอย่างเช่น หากเว็บไซต์มี 3 ผลลัพธ์ที่อันดับ 2, 4 และ 6 ระบบจะรายงานอันดับดังกล่าวเป็น 2 หากคำค้นหาที่ 2 แสดงผลลัพธ์ที่อันดับ 3, 5 และ 9 อันดับเฉลี่ยจะเป็น (2 + 3)/2 = 2.5 หากแถวข้อมูลใดไม่มีการแสดงผล อันดับจะแสดงเป็นขีดกลาง (-) เพราะไม่มีอันดับ ดูข้อมูลเพิ่มเติม
  • อันดับ [ตารางเท่านั้น] - ค่าอันดับในตารางแสดงอันดับเฉลี่ยในผลการค้นหาของ URL นั้น ตัวอย่างเช่น เมื่อจัดกลุ่มตามคำค้นหา อันดับนั้นก็จะเป็นอันดับเฉลี่ยของคำค้นหาดังกล่าวในผลการค้นหา ดูอันดับเฉลี่ยด้านบนเพื่อดูวิธีคำนวณค่าอันดับ

การกรองข้อมูล

คุณกรองข้อมูลตามมิติข้อมูลต่างๆ ได้ ตัวอย่างเช่น หากขณะนี้คุณจัดกลุ่มข้อมูลตามข้อความค้นหา คุณก็เพิ่มตัวกรอง "country='USA' AND device='Mobile'" ได้

เพิ่มตัวกรอง

  • คลิกป้ายกำกับ + ใหม่ในส่วนตัวกรองที่ด้านบนของรายงาน (มองหาตัวกรองวันที่และตัวกรองประเภทของการค้นหา ซึ่งจะแสดงอยู่เสมอ)
    หรือ
  • คลิกแถวใดก็ได้ในตารางเพื่อกรองข้อมูลตามแถวนั้นโดยอัตโนมัติ ตัวอย่างเช่น หากต้องการกรองตาม URL ที่แสดงอยู่ในแท็บหน้าเว็บ ให้คลิก URL ที่แสดง คุณคลิกและแก้ไขตัวกรองในภายหลังได้ตามที่ต้องการ (เช่น ให้แสดงผลการค้นหาทั้งหมดยกเว้นรายการที่เลือกไว้ หรือกรองรายการที่คล้ายกัน)

วิธีนำตัวกรองออก

  1. คลิก ยกเลิก ข้างตัวกรองที่มีอยู่ คุณจะนำตัวกรองประเภทหรือตัวกรองวันที่ของการค้นหาออกไม่ได้

วิธีแก้ไขตัวกรอง

  1. คลิกตัวกรองและรีเซ็ตค่า

การกรองข้อมูลตามข้อความค้นหาหรือ URL อาจส่งผลต่อค่าทั้งหมด

กรองตามรายการหลายรายการ

คุณกรองผลลัพธ์ตามข้อความค้นหาหรือ URL หลายรายการได้ โดยสามารถกรองเพื่อให้แสดงข้อมูลที่ตรงกับตัวเลือกของคุณ หรือแสดงข้อมูลทั้งหมดที่ไม่ตรงกับตัวเลือกก็ได้

หากต้องการดูข้อมูลสำหรับอุปกรณ์ต่างๆ ประเภทการค้นหา ประเทศ หรือประเภทลักษณะที่ปรากฏในการค้นหา คุณจะทำการเปรียบเทียบได้ ซึ่งจำกัดไว้ที่ 2 รายการ

การกรองข้อความค้นหาหรือ URL หลายรายการทำได้ 2 วิธี ดังนี้

รายการที่มี / รายการที่ไม่มี

ตัวกรองข้อความค้นหาและ URL ช่วยให้คุณป้อนสตริงย่อยเพื่อจับคู่คำที่ตรงกันทุกประการในข้อความค้นหาหรือ URL ได้ จากนั้น คุณจะกรองข้อมูลให้รวมเฉพาะข้อความค้นหาหรือ URL ที่มีหรือไม่มีสตริงย่อยนี้ได้ ซึ่งจะมีประโยชน์เมื่อรายการทั้งหมดที่คุณต้องการค้นหามีสตริงย่อยที่เหมือนกัน

  1. คลิกป้ายกำกับ + ใหม่ในแถวตัวกรองในรายงาน
  2. เลือกข้อความค้นหาหรือหน้าเว็บ
  3. เลือกข้อความค้นหาที่มีหรือ URL ที่มีเพื่อจับคู่รายการที่ตรงกับสตริงที่คุณระบุ เลือกข้อความค้นหาที่ไม่มีหรือ URL ที่ไม่มีเพื่อยกเว้นรายการที่ตรงกับสตริงที่ระบุ
  4. ป้อนสตริงเพื่อจับคู่รายการที่ตรงกัน การจับคู่จะไม่คำนึงถึงตัวพิมพ์เล็กและตัวพิมพ์ใหญ่ แต่จะค้นหาข้อความที่ตรงกันทุกประการ รวมถึงการเว้นวรรค เช่น "3 4" จะตรงกับ "123 456" แต่ไม่ตรงกับ "3456"
  5. คลิกใช้

การค้นหานิพจน์ทั่วไป

การค้นหานิพจน์ทั่วไปช่วยให้คุณจับคู่สตริงย่อยหลายสตริงที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญได้ คุณสามารถใช้การค้นหาประเภทนี้เพื่อกรองหรือยกเว้นข้อความค้นหาหรือ URL หลายรายการที่อาจมีความแตกต่างกัน หรือมีส่วนที่เปลี่ยนแปลงได้

  1. คลิกป้ายกำกับ + ใหม่ในแถวตัวกรองในรายงาน
  2. เลือกข้อความค้นหาหรือหน้าเว็บ
  3. เลือกกำหนดเอง (นิพจน์ทั่วไป)
  4. ใช้นิพจน์ทั่วไปต่อไปนี้ โดยเพิ่มค่าตามที่ต้องการและคั่นด้วยแถบแนวตั้ง | และใส่วงเล็บล้อมรอบนิพจน์ทั้งหมด
    • (<value 1> | <value 2> | <value 3> | ...)
    เช่น หากต้องการค้นหาข้อความค้นหาที่เกี่ยวข้องกับฟุตบอลโลกครั้งล่าสุด คุณอาจต้องค้นหาเหตุการณ์ดังกล่าวเพื่อรวบรวมข้อความค้นหาที่คล้ายกันมากๆ
    • (the world cup|world cup|world cup 2023)
    • เมื่อกรอง URL คุณอาจต้องใส่เฉพาะส่วนท้ายของ URL
    • เมื่อกรองข้อความค้นหา อย่าใช้เครื่องหมายคำพูด และลองกรองตามข้อความค้นหารูปแบบต่างๆ ทั้งหมดที่คุณเห็นในผลการค้นหา
  5. หากต้องการดูค่าทั้งหมดยกเว้นค่าที่ระบุ ให้เลือกไม่ตรงกับนิพจน์ทั่วไป หรือใช้ตรงกับนิพจน์ทั่วไปตามค่าเริ่มต้น
  6. คลิกใช้

การคำนึงถึงตัวพิมพ์เล็กและตัวพิมพ์ใหญ่

ตัวกรองข้อความค้นหาและ URL ของหน้าเว็บทั้งหมดจะไม่คำนึงถึงตัวพิมพ์เล็กและตัวพิมพ์ใหญ่ ยกเว้นสำหรับ URL ที่ตรงกันทุกประการ ซึ่งจะคำนึงถึงตัวพิมพ์เล็กและตัวพิมพ์ใหญ่ นั่นหมายถึง URL หรือข้อความค้นหาที่มี/ไม่มี/ตรงกันทุกประการ/ตัวกรองที่กำหนดเอง (นิพจน์ทั่วไป) แต่ไม่ใช่ตัวกรอง URL ที่ตรงกันทุกประการ

คุณกำหนดให้นิพจน์ทั่วไปคำนึงถึงตัวพิมพ์เล็กและตัวพิมพ์ใหญ่ได้ตามที่อธิบายไว้ด้านล่าง

ตัวกรองนิพจน์ทั่วไป

หากเลือกตัวกรองที่กำหนดเอง (นิพจน์ทั่วไป) คุณจะกรองตามนิพจน์ทั่วไป (จับคู่ไวลด์การ์ด) สำหรับรายการที่เลือกได้ คุณใช้ตัวกรองนิพจน์ทั่วไปสำหรับ URL ของหน้าและข้อความค้นหาของผู้ใช้ได้ โดยระบบจะใช้ไวยากรณ์ RE2

  • คุณเลือกได้ว่าจะแสดงสตริงที่ตรงกับนิพจน์ทั่วไป หรือไม่ตรงกับนิพจน์ทั่วไป โดยค่าเริ่มต้นคือการแสดงสตริงที่ตรงกับนิพจน์ทั่วไปของคุณ
  • การจับคู่เริ่มต้นคือ "รายการที่ตรงกันบางส่วน" ซึ่งหมายความว่านิพจน์ทั่วไปจับคู่ที่ใดก็ได้ในสตริงเป้าหมาย ยกเว้นว่าจะใช้ ^ เพื่อขอการจับคู่จากตำแหน่งเริ่มต้น หรือ $ จากตำแหน่งสิ้นสุดของสตริง
  • การจับคู่นิพจน์ทั่วไปโดยค่าเริ่มต้นจะไม่คำนึงถึงตัวพิมพ์เล็กและตัวพิมพ์ใหญ่ คุณสามารถเพิ่ม "(?-i)" ที่ตำแหน่งเริ่มต้นของสตริงนิพจน์ทั่วไปเพื่อให้จับคู่โดยพิจารณาตัวพิมพ์เล็กและตัวพิมพ์ใหญ่ เช่น (?-i)AAA จะจับคู่กับ https://example.com/AAA แต่ไม่ตรงกับ https://example.com/aaa
  • ไวยากรณ์นิพจน์ทั่วไปที่ไม่ถูกต้องจะไม่แสดงผลรายการที่ตรงกัน
  • การจับคู่นิพจน์ทั่วไปนั้นเป็นเรื่องซับซ้อน ลองใช้นิพจน์ของคุณในเครื่องมือทดสอบเวอร์ชันที่ใช้จริง หรืออ่านคู่มือไวยากรณ์แบบเต็มของ RE2
นิพจน์ทั่วไปที่พบบ่อย

ต่อไปนี้คือนิพจน์ทั่วไปพื้นฐาน

ไวลด์การ์ด คำอธิบาย
.

จับคู่อักขระเดียว

  • "m.n" จะจับคู่กับ "men" และ "man" แต่ไม่จับคู่กับ "meen"
[อักขระ]

จับคู่รายการเดียวภายใน [ ]

  • "c[aie]t" จะจับคู่กับ "cat", "cit" และ "cet"
  • "i[o0-9]n" จะจับคู่กับ "ion" และ "i7n" แต่ไม่จับคู่กับ "ian"
*

จับคู่ตัวอักษรก่อนหน้าหรือรูปแบบการคูณด้วยจำนวนตั้งแต่ 0 ขึ้นไป

  • "fo*d" จะจับคู่กับ "fd", "fod", "food" และ "foooooooood"
  • "https*://example" จะจับคู่กับ http://example" และ "https://example"
+

จับคู่ตัวอักษรก่อนหน้าหรือรูปแบบการคูณด้วยจำนวนตั้งแต่ 1 ขึ้นไป

  • "fo+d" จะจับคู่กับ "fod", "food", "foooooooood" แต่ไม่จับคู่กับ "fd"
|

โอเปอเรเตอร์ OR จะจับคู่นิพจน์ที่อยู่หน้าหรือหลังโอเปอเรเตอร์ |

  • "New York|San Francisco" จะจับคู่กับทั้ง "I love New York" และ "I love San Francisco"
\d

ตัวเลข 1 หลัก 0-9

  • "\d\d\d abc" จะจับคู่กับ "123 abc"
\D

ข้อมูลใดๆ ที่ไม่ใช่ตัวเลข (เช่น ตัวอักษรหรืออักขระ เช่น + หรือ , หรือ ?)

  • "\D\D\D 123" จะจับคู่กับ "aaa 123" แต่ไม่จับคู่กับ "123 123"
\s

ช่องว่าง (Tab, เว้นวรรค)

  • "1\s2\s3" จะจับคู่กับ "1 2 3"
\S

ข้อมูลใดๆ ที่ไม่ใช่ช่องว่าง

  • (\S)+ จะจับคู่กับ "fire" "and" "ice" ในสตริง "fire and ice" แต่ไม่จับคู่กับช่องว่าง และไม่จับคู่กับทั้งสตริง
(?-i)

ระบุการจับคู่ที่พิจารณาตัวพิมพ์เล็กและตัวพิมพ์ใหญ่สำหรับอักขระต่อไปนี้ทั้งหมด

  • "(?-i)AAA จะจับคู่กับ https://example.com/AAA แต่ไม่จับคู่กับ https://example.com/aaa
^

อยู่ที่ตำแหน่งเริ่มต้นของนิพจน์ซึ่งจะจำกัดการจับคู่กับตำแหน่งเริ่มต้นของสตริงเป้าหมาย

  • "^example" จะจับคู่กับ "example" แต่ไม่จับคู่กับ "an example"
  • "example" จะจับคู่กับทั้ง "example" และ "an example"

การเปรียบเทียบกลุ่ม

คุณจะเปรียบเทียบข้อมูลระหว่างค่า 2 ค่าในมิติข้อมูลการจัดกลุ่มแบบใดก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นการจัดกลุ่มที่เลือกไว้ในปัจจุบัน เช่น เมื่อจัดกลุ่มตามคำค้นหา คุณจะสามารถเปรียบเทียบการคลิกระหว่างสองช่วงวันที่ (สัปดาห์นี้กับสัปดาห์ก่อน) หรือระหว่างสองประเทศ (สหรัฐอเมริกากับฝรั่งเศส) การเปรียบเทียบตามหน้าเว็บหรือลักษณะที่ปรากฏของการค้นหาอาจทำให้การคำนวณเมตริกสำหรับ CTR, การแสดงผล และการคลิกมีการเปลี่ยนแปลงได้ ในกรณีที่เปรียบเทียบค่าสำหรับเมตริกเดียว ตารางผลลัพธ์จะแสดงคอลัมน์ความแตกต่างเพื่อเปรียบเทียบค่าในแต่ละแถว

วิธีเปรียบเทียบข้อมูลกลุ่ม

  1. การเปรียบเทียบจะดำเนินการโดยใช้ตัวกรอง (เช่น วันที่หรือประเภทการค้นหา) แก้ไขตัวกรองที่มีอยู่ หรือคลิกใหม่เพื่อเพิ่มตัวกรองใหม่
  2. ในกล่องโต้ตอบพร็อพเพอร์ตี้ตัวกรอง ให้เลือกเปรียบเทียบ
  3. เพิ่มมิติข้อมูลหรือเวลาเพื่อเปรียบเทียบ และคลิกใช้
  4. คุณเปรียบเทียบได้ครั้งละ 1 รายการเท่านั้น การเพิ่มตัวกรองการเปรียบเทียบใหม่จะแทนที่การเปรียบเทียบที่มีอยู่ เช่น หากคุณกำลังเปรียบเทียบวันที่และเพิ่มการเปรียบเทียบระหว่างประเทศ การเปรียบเทียบประเทศจะมาแทนที่การเปรียบเทียบวันที่

ตัวอย่างการเปรียบเทียบที่เป็นประโยชน์

  • จัดเรียงตามความแตกต่างเพื่อดูข้อความค้นหาที่มีการเปลี่ยนแปลงจากสัปดาห์ก่อนอย่างมีนัยสำคัญ
  • เปรียบเทียบการค้นหาทั้งหมดบนเว็บไซต์ในอุปกรณ์เคลื่อนที่กับการค้นหาบนอุปกรณ์เคลื่อนที่บนเว็บไซต์เวอร์ชันเดสก์ท็อป หากไม่ได้ใช้พร็อพเพอร์ตี้โดเมน คุณจะต้องเปิดรายงานประสิทธิภาพที่แยกไว้สำหรับแต่ละเว็บไซต์และเปรียบเทียบการค้นหาจากอุปกรณ์เคลื่อนที่บนเว็บไซต์เวอร์ชันเดสก์ท็อป (www.example.com) กับการค้นหาทั้งหมดบนเว็บไซต์ในอุปกรณ์เคลื่อนที่ (m.example.com)
คุณจะเปรียบเทียบข้อมูลได้ครั้งละ 1 มิติข้อมูลเท่านั้น (วันที่ ข้อความค้นหา และอื่นๆ) การเพิ่มการเปรียบเทียบใหม่ในมิติข้อมูลการจัดกลุ่มอื่นจะเป็นการนำการเปรียบเทียบเดิมออก ตัวอย่างเช่น หากคุณกำลังเปรียบเทียบการคลิกในสัปดาห์นี้กับสัปดาห์ก่อน (วันที่) แล้วเพิ่มการเปรียบเทียบระหว่างสหรัฐอเมริกากับญี่ปุ่น (ประเทศ) ช่วงวันที่จะรีเซ็ตเป็นค่าเริ่มต้น

หากเปรียบเทียบระหว่างกลุ่ม 2 กลุ่ม โดยที่กลุ่มหนึ่งมีค่าน้อยมากแต่อีกกลุ่มหนึ่งมีค่ามาก กลุ่มที่มีค่าน้อยมากจะแสดง ~ ในแถวเพื่อระบุว่าไม่มีตัวเลขที่จะแสดง ตัวอย่างเช่น หากเปรียบเทียบการแสดงผลของคำค้นหาระหว่างเยอรมนีและไทย แถวผลลัพธ์ของ "Deutsche Bundesbank" อาจแสดงตัวเลขการแสดงผลสำหรับเยอรมนี และแสดง ~ (ไม่มีข้อมูล) สำหรับไทย เพราะจำนวนการแสดงผลสำหรับไทยอยู่ปลายแถวผลลัพธ์ที่เฉพาะเจาะจงมาก ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าผลลัพธ์เป็น 0 เสมอไป แต่ผลลัพธ์ปรากฏอยู่ลึกมากในกลุ่มนั้น อย่างไรก็ตาม หากกรองตามค่าที่น้อยมาก (ในตัวอย่างนี้คือ "Deutsche Bundesbank") คุณควรจะเห็นค่าข้อมูลของทั้ง 2 มิติข้อมูล

รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อมูล

รายงานประสิทธิภาพจะนับข้อมูลของแต่ละพร็อพเพอร์ตี้ที่ไม่ซ้ำกันแยกจากกัน กล่าวคือ จะนับข้อมูลสำหรับแต่ละรายการต่อไปนี้แยกจากกัน

  • https://example.com/
  • http://example.com/
  • http://m.example.com/

แต่หากใช้พร็อพเพอร์ตี้โดเมน เราจะรวมข้อมูลทั้งหมดจากโดเมนเดียวกัน ทั้ง http และ https

ข้อมูลนี้ไม่รวมการแสดงผลหรือการคลิกจากโฆษณาใน Google Search ที่นําไปยังเว็บไซต์ของคุณ

วันที่อัปเดตล่าสุด

วันที่อัปเดตล่าสุดในรายงานจะแสดงวันที่ล่าสุดที่รายงานมีข้อมูล

วิธีคำนวณการคลิก การแสดงผล และอันดับ

อ่านรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีนับและคำนวณการคลิก การแสดงผล และอันดับ

ข้อมูลเบื้องต้น

บางครั้งข้อมูลใหม่ที่สุดในรายงานประสิทธิภาพของ Search จะเป็นข้อมูลเบื้องต้น ซึ่งหมายความว่าข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยก่อนได้รับการยืนยัน ข้อมูลเบื้องต้นมักมีอายุไม่ถึง 3 วัน เมื่อถึงจุดหนึ่งข้อมูลเบื้องต้นทั้งหมดจะได้รับการยืนยัน ระบบจะระบุข้อมูลเบื้องต้นเมื่อคุณวางเมาส์เหนือข้อมูลนั้นในแผนภูมิ

ข้อมูลเบื้องต้นจะรวมอยู่ทั้งในแผนภูมิและตารางสำหรับประสิทธิภาพของ Search ตลอดจนแผนภูมิประสิทธิภาพในหน้าภาพรวมของ Search Console

ความแตกต่างของข้อมูล

คุณอาจเห็นความแตกต่างบางอย่างของข้อมูลใน Search Console

ความแตกต่างระหว่างผลรวมในแผนภูมิและผลรวมในตาราง

คุณอาจเห็นความแตกต่างระหว่างผลรวมในแผนภูมิและผลรวมในตารางด้วยเหตุผลต่างๆ ดังนี้

ทั่วไป

  • เมื่อเพิ่มตัวกรองหน้าเว็บหรือลักษณะที่ปรากฏในการค้นหา บางครั้งคุณอาจเห็นข้อมูลการคลิกและการแสดงผลที่แสดงในและเหนือแผนภูมิเพิ่มขึ้น (บางครั้งอาจเพิ่มขึ้นอย่างมาก) เนื่องจากตัวกรองดังกล่าวทำให้ระบบรวบรวม (จัดกลุ่ม) ข้อมูลตามหน้า ไม่ใช่ตามพร็อพเพอร์ตี้ (โปรดทราบว่าในบางกรณีซึ่งพบได้ไม่บ่อยนัก ผลรวมอาจลดลงแทนที่จะเพิ่มขึ้นเนื่องด้วยเหตุผลทางเทคนิค) ในทางกลับกัน การนําตัวกรองหน้าและลักษณะที่ปรากฏทั้งหมดในการค้นหาออกจากรายงานจะทำให้ผลรวมของการคลิกและการแสดงผลลดลงเนื่องจากระบบจะรวบรวม (จัดกลุ่ม) ข้อมูลตามพร็อพเพอร์ตี้ ไม่ใช่ตาม URL
  • เมื่อกรองตามหน้าเว็บหรือข้อความค้นหา ผลรวมของ "รายการที่ตรงกัน" และ "รายการที่ไม่ตรงกัน" อาจรวมกันแล้วไม่เท่ากับผลรวมที่ไม่มีการกรอง เช่น การนำผลรวมของ "ข้อความค้นหาที่มีคำว่าหนู" และ "ข้อความค้นหาที่ไม่มีคำว่าหนู" มาบวกกันอาจไม่เท่ากับค่าของผลรวมเมื่อไม่มีการใช้ตัวกรองข้อความค้นหา ที่เป็นเช่นนี้เพราะระบบจะไม่แสดงข้อความค้นหาที่ลบข้อมูลระบุตัวบุคคลออก และจะตัดข้อมูลออกเนื่องจากข้อจำกัดด้านการแสดงผล
  • ในบางกรณีที่ไม่ปกติ เมื่อกรองหน้าเว็บหรือคำค้นหา คุณอาจเห็นความแตกต่างระหว่างข้อมูลในแผนภูมิและในตาราง เนื่องจากระบบตัดทอนข้อมูลในรูปแบบที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับระบบการจัดกลุ่มและการกรองที่ใช้ ในกรณีที่ผลรวมต่างกันเช่นนี้ ผลรวมที่แท้จริงจะเป็นค่าใหญ่กว่าที่แสดงอยู่เป็นอย่างน้อย (และอาจมากกว่า)
  • การเพิ่มตัวกรองที่ไม่มีประสิทธิภาพ (เช่น การกรองผลลัพธ์ไปยัง URL รากของเว็บไซต์ - "example.com/") อาจทำให้ข้อมูลคลาดเคลื่อนได้จากหลายสาเหตุ

ผลรวมในแผนภูมิสูงกว่า

  • ตารางแสดงผลลัพธ์ได้สูงสุด 1,000 แถว ดังนั้นจึงอาจไม่แสดงบางแถว
  • เมื่อดูตามคำค้นหา ระบบจะไม่แสดงผลการค้นหาที่ไม่ระบุตัวบุคคล (ที่พบได้น้อย) ในตาราง
  • ผลรวมรายวันแต่ละรายการอาจไม่รวมคําค้นหาที่พบได้น้อย

ผลรวมในตารางสูงกว่า

  • เมื่อจัดกลุ่มตารางตามหน้าเว็บหรือลักษณะที่ปรากฏในการค้นหา ระบบจะจัดกลุ่มผลรวมในตารางตาม URL แต่จะยังคงจัดกลุ่มผลรวมในแผนภูมิตามพร็อพเพอร์ตี้ ดังนั้นหากพร็อพเพอร์ตี้เดียวปรากฏขึ้นมาหลายครั้งในการค้นหาครั้งเดียว ระบบจะนับเป็นผลการค้นหา 1 ครั้งในแผนภูมิ แต่นับเป็นผลการค้นหาหลายครั้งในตาราง
  • ลักษณะที่ปรากฏในการค้นหาบางอย่างเป็นหมวดหมู่ย่อยของหมวดหมู่อื่นๆ เช่น ตำแหน่งงานคือหมวดหมู่ย่อยของผลการค้นหาที่เป็นสื่อสมบูรณ์ ดังนั้นผลการค้นหาเดียวกันจะแสดงอยู่ในทั้ง 2 แถว

ความแตกต่างระหว่าง Search Console และเครื่องมืออื่นๆ

ข้อมูลใน Search Console อาจแตกต่างจากข้อมูลที่แสดงในเครื่องมืออื่นๆ เล็กน้อย ตัวอย่างสาเหตุที่เป็นไปได้มีดังต่อไปนี้

  • รายงานประสิทธิภาพจะไม่แสดงข้อมูลทั้งหมด เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ ตัวอย่างเช่น เราอาจไม่ติดตามคำค้นหาบางรายการที่ค้นหาเพียงไม่กี่ครั้ง หรือคำค้นหาที่ประกอบด้วยข้อมูลส่วนบุคคลหรือข้อมูลที่ละเอียดอ่อน
  • การประมวลผลข้อมูลต้นฉบับของเราอาจทำให้สถิติดังกล่าวแตกต่างไปจากสถิติที่แสดงไว้ในแหล่งข้อมูลอื่นๆ (เช่น เพื่อกำจัดข้อมูลซ้ำ) อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ไม่มีนัยสำคัญ
  • อาจมีความล่าช้าระหว่างเวลาที่มีการคำนวณตัวเลขและในเวลาที่ตัวเลขดังกล่าวปรากฏต่อผู้ดูแลเว็บ แม้ว่าข้อมูลจะเผยแพร่ตามช่วงเวลา แต่เรายังคงรวบรวมข้อมูลอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปข้อมูลที่รวบรวมจะพร้อมใช้งานใน 2-3 วัน
  • เขตเวลาเป็นเรื่องสำคัญ รายงานประสิทธิภาพจะติดตามข้อมูลรายวันตามเวลาท้องถิ่นของรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยข้อมูลในแต่ะวันจะนับตามเวลาท้องถิ่นของรัฐแคลิฟอร์เนีย หากระบบอื่นๆ ของคุณใช้เขตเวลาที่ต่างกัน มุมมองรายวันของคุณอาจไม่ตรงกันเสียทีเดียว ตัวอย่างเช่น Google Analytics จะแสดงเวลาในเขตเวลาท้องถิ่นของผู้ดูแลเว็บ
  • เครื่องมือบางอย่าง เช่น Google Analytics จะติดตามปริมาณการค้นหาจากผู้ใช้ที่เปิดใช้ JavaScript ในเบราว์เซอร์เท่านั้น
  • ไม่มีข้อมูลที่ดาวน์โหลด/ไม่ใช่ค่าที่เป็นตัวเลข หากคุณดาวน์โหลดข้อมูลในรายงาน ค่าใดก็ตามที่แสดงเป็น ~ หรือ - (ไม่มี/ไม่ใช่ตัวเลข) ในรายงานจะเป็นเลข 0 ในข้อมูลที่ดาวน์โหลด

การรวมข้อมูลตามพร็อพเพอร์ตี้ (เว็บไซต์) เทียบกับตามหน้าเว็บ

บางครั้งข้อมูลในรายงานนี้จะรวบรวมตามพร็อพเพอร์ตี้ และบางครั้งก็รวบรวมตามหน้าเว็บ

การรวมข้อมูลตามพร็อพเพอร์ตี้ หมายความว่าระบบจะนับผลการค้นหาทั้งหมดสำหรับข้อความค้นหาเดียวกันที่ชี้ไปยังพร็อพเพอร์ตี้ Search Console เดียวกันเพียงครั้งเดียว ดังนั้นหากการค้นหามี URL 2 รายการจากเว็บไซต์เดียวกัน (example.com/petstore/giraffe และ example.com/recipes/pumpkin_pie) ระบบจะนับเป็นการแสดงผล 1 ครั้งเมื่อมีการรวบรวมผลการค้นหาตามพร็อพเพอร์ตี้

การรวมข้อมูลตามหน้าเว็บ หมายความว่าระบบจะนับ URL ที่ไม่ซ้ำกันแต่ละรายการในผลการค้นหา 1 ครั้งแม้ว่า URL นั้นจะชี้ไปที่หน้าเดียวกันก็ตาม ในกรณีนี้ หากการค้นหามี URL 2 รายการจากเว็บไซต์เดียวกัน (example.com/petstore/giraffe และ example.com/recipes/pumpkin_pie) ระบบจะนับเป็นการแสดงผล 2 ครั้ง

ระบบจะรวบรวมข้อมูลแผนภูมิตามพร็อพเพอร์ตี้

ข้อมูลในตารางจะรวบรวมตามพร็อพเพอร์ตี้ ยกเว้นเมื่อจัดกลุ่มตามหน้าหรือลักษณะที่ปรากฏในการค้นหา

เมื่อรวบรวมข้อมูลตามพร็อพเพอร์ตี้ เว็บไซต์ซึ่งเป็นที่มาของข้อมูลนั้นจะเป็นเว็บไซต์ที่มี Canonical URL ของเป้าหมายสำหรับลิงก์ผลการค้นหาดังกล่าว

รายละเอียดเพิ่มเติม

  • สำหรับการแสดงผล หากพร็อพเพอร์ตี้แสดงขึ้น 2 ครั้งในหน้าผลการค้นหาเมื่อรวมข้อมูลตามพร็อพเพอร์ตี้ ระบบจะนับเป็นการแสดงผลครั้งเดียว หากจัดกลุ่มตามหน้าเว็บหรือลักษณะที่ปรากฏในการค้นหา ระบบจะนับหน้าเว็บแต่ละหน้าที่ไม่ซ้ำแยกกัน
  • สำหรับการคลิก หากพร็อพเพอร์ตี้ปรากฏในผลการค้นหา 2 ครั้งเมื่อจัดกลุ่มตามพร็อพเพอร์ตี้ และผู้ใช้คลิก 1 ลิงก์ สำรองข้อมูล จากนั้นคลิกอีกลิงก์หนึ่ง ระบบจะนับเป็นการคลิกครั้งเดียว เนื่องจากปลายทางสุดท้ายเป็นเว็บไซต์เดียวกัน
  • สำหรับอันดับ เมื่อรวมตามพร็อพเพอร์ตี้ ระบบจะรายงานอันดับสูงสุดของพร็อพเพอร์ตี้ในผลการค้นหา หากจัดกลุ่มตามหน้าหรือลักษณะที่ปรากฏในการค้นหา ระบบจะรายงานอันดับสูงสุดของหน้าเว็บในผลการค้นหา
  • สำหรับอัตราการคลิกผ่าน เนื่องจากวิธีการทางบัญชีที่แตกต่างกัน อัตราการคลิกผ่านและอันดับเฉลี่ยจะสูงกว่าเมื่อรวมตามพร็อพเพอร์ตี้หากมีหลายหน้าจากเว็บไซต์เดียวกันปรากฏอยู่ในผลการค้นหา

ตัวอย่างเช่น

สมมติว่าผลการค้นหา "สัตว์เลี้ยงที่น่ารักสำหรับเด็ก" แสดงเฉพาะผลลัพธ์ 3 รายการต่อไปนี้ และทั้งหมดมาจากพร็อพเพอร์ตี้เดียวกัน
www.petstore.example.com/monkeys
www.petstore.example.com/ponies
www.petstore.example.com/unicorns

หากผู้ใช้รายหนึ่งเห็นผลการค้นหาชุดนี้และคลิกลิงก์แต่ละรายการ เมตริกที่แสดงใน Search Console จะมีดังนี้

เมตริก รวบรวมตามพร็อพเพอร์ตี้ รวบรวมตามหน้าเว็บ
CTR

100%

รวมการคลิกทั้งหมดสำหรับเว็บไซต์หนึ่งๆ

33% ต่อ URL

แสดง 3 หน้า, 1/3 ของการคลิกสำหรับแต่ละหน้า

อันดับเฉลี่ย

1

อันดับนี้เป็นอันดับสูงสุดจากเว็บไซต์ในผลการค้นหา

2 สำหรับ URL แต่ละรายการ

(1 + 2 + 3) / 3 = 2

การแสดงผล 1 สำหรับพร็อพเพอร์ตี้ 1 สำหรับ URL แต่ละรายการ

ข้อมูลนี้มีประโยชน์ไหม

เราจะปรับปรุงได้อย่างไร

หากต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติม

ลองทำตามขั้นตอนต่อไปนี้

true
เป็นมือใหม่ Search Console ใช่ไหม

หากไม่เคยใช้ Search Console มาก่อน เริ่มได้เลยที่นี่ ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่ ผู้เชี่ยวชาญ SEO หรือนักพัฒนาเว็บไซต์

ค้นหา
ล้างการค้นหา
ปิดการค้นหา
แอป Google
เมนูหลัก
12343426117064918882
true
ค้นหาศูนย์ช่วยเหลือ
true
true
true
true
true
83844
false
false