ไม่มีการรับประกันว่าบทความของเว็บไซต์จะได้แสดงใน Google News แต่คำแนะนำต่อไปนี้อาจช่วยเพิ่มโอกาสที่โปรแกรมรวบรวมข้อมูลจะค้นพบบทความของคุณได้
การเปลี่ยนเส้นทาง URL
Google News ติดตามการเปลี่ยนเส้นทางได้ในระดับหนึ่ง ตรวจสอบว่าคุณได้ทำให้ทุกหน้าบนเว็บไซต์เข้าถึงได้จากลิงก์ข้อความแบบคงที่อย่างน้อย 1 ลิงก์เพื่อให้เราเข้าถึงหน้าเว็บของคุณได้โดยง่าย
เมื่อคุณใช้การเปลี่ยนเส้นทาง ให้ทำดังนี้
- ลดจำนวนการเปลี่ยนเส้นทางที่จำเป็นในการติดตามลิงก์จากหน้าเว็บหนึ่งไปอีกหน้าเว็บหนึ่งให้เหลือน้อยที่สุด
- ตั้งตัวจับเวลาการเปลี่ยนเส้นทางเป็นระยะเวลาสั้นๆ
- หลีกเลี่ยงการใช้การรีเฟรชเมตาคำแถลงของหน้า
- ชี้การเปลี่ยนเส้นทางไปยังหน้าที่ถูกต้อง
- ตรวจสอบว่าการเปลี่ยนเส้นทางของคุณไม่ได้ชี้ไปหาตัวเอง
- ตรวจสอบว่าการเปลี่ยนเส้นทางทั้งหมดถูกต้องและไม่ว่างเปล่า
- หากคุณเปลี่ยนเส้นทางจากหน้าเว็บหนึ่งไปยังอีกหน้าเว็บหนึ่งอย่างถาวรให้ใช้การเปลี่ยนเส้นทางถาวร (301)
- อย่าใช้ &ID= เป็นพารามิเตอร์ใน URL
- หากต้องการดูว่าเว็บไซต์ของคุณจะได้รับการรวบรวมข้อมูลอย่างไร ให้ใช้เบราว์เซอร์ข้อความที่ไม่มีคุกกี้และนำทางไปยังเว็บไซต์ของคุณ
- ให้การเปลี่ยนเส้นทางอัตโนมัติจากโดเมนหนึ่งไปยังอีกโดเมนหนึ่งในเดสก์ท็อปเหมือนกันกับในอุปกรณ์เคลื่อนที่ ตัวอย่างเช่น หาก example.com ในอุปกรณ์เคลื่อนที่เปลี่ยนเส้นทางไปยัง example1.com ในเดสก์ท็อปก็ควรเป็นเช่นนั้นด้วย การเปลี่ยนเส้นทางที่ไม่เหมือนกันในแพลตฟอร์มทั้งหมดอาจทําให้ผู้ใช้และเครื่องมือค้นหาดูเนื้อหาในเว็บไซต์ไม่ได้
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ URL ที่เราติดตามไม่ได้
มาร์กอัป Structured Data
อย่าลืมอัปเดตมาร์กอัป Structured Data ของบทความเพื่อให้ Google มีข้อมูลบทความที่คุณเผยแพร่ที่ถูกต้อง
เราอาจใช้ช่องบางช่องต่อไปนี้ในขณะแสดงเนื้อหาของคุณใน Google News
- datepublished: วันที่และเวลาที่เผยแพร่บทความเป็นครั้งแรกในรูปแบบ ISO 8601
- datemodified: วันที่และเวลาที่แก้ไขบทความครั้งล่าสุดในรูปแบบ ISO 8601
- เพิ่มพร็อพเพอร์ตี้นี้เพื่อให้ข้อมูลวันที่ที่ถูกต้องมากขึ้นแก่ Google
- headline: พาดหัวของบทความ พาดหัวควรมีความยาวไม่เกิน 110 อักขระ
- image: URL ของรูปภาพที่อยู่ในบทความ ควรระบุเฉพาะรูปภาพที่มาร์กอัปซึ่งเป็นของบทความโดยตรง
- isAccessibleForFree: ธงบูลีนสำหรับระบุเนื้อหาที่ไม่มีค่าใช้จ่ายเทียบกับเนื้อหาเพย์วอลล์
- author.url: ลิงก์ไปยังหน้าที่ระบุผู้เขียนบทความอย่างเจาะจง เช่น หน้าโซเชียลมีเดียของผู้เขียน หน้าเกี่ยวกับฉัน หรือหน้าประวัติ
ดูวิธีเพิ่ม Structured Data ลงในหน้าบทความ
ระบุวันที่เผยแพร่
Google News ใช้วิธีการที่หลากหลายในการระบุเวลาและวันที่ที่แสดงบทความ โปรดทำตามหลักเกณฑ์ต่อไปนี้เพื่อช่วยให้เราดำเนินการได้อย่างถูกต้อง
- แสดงวันที่และเวลาที่ชัดเจนเพียงวันที่และเวลาเดียว: หากต้องการได้รับการพิจารณาให้ได้แสดงใน Google News บทความจะต้องแสดงวันที่และเวลาที่ชัดเจนและมองเห็นได้ ตามหลักการแล้วข้อมูลวันที่และเวลาควรอยู่ระหว่างพาดหัวและเนื้อหาของบทความ
- อย่าทำให้เรื่องราวกลายเป็นข่าวใหม่ทั้งๆ ที่ไม่ใช่: หากบทความมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ก็เป็นเรื่องที่รับได้ที่คุณจะปรับวันที่และเวลาใหม่ อย่างไรก็ตาม การทำให้บทความดูเหมือนเป็นข่าวใหม่โดยที่ผู้เผยแพร่เนื้อหาไม่ได้เพิ่มข้อมูลสำคัญหรือแสดงเหตุผลที่น่าสนใจนั้นเป็นการกระทำที่ขัดกับหลักเกณฑ์ของเรา นอกจากนี้ การสร้างเรื่องราวที่อัปเดตเพียงเล็กน้อยจากเรื่องราวที่เผยแพร่ไปก่อนหน้านี้ แล้วลบเรื่องราวเก่าและเปลี่ยนเส้นทางไปยังเรื่องราวใหม่ก็ขัดกับหลักเกณฑ์ของเราเช่นกัน
- ใช้ Structured Data: ใช้ช่อง "datePublished" หรือ "dateModified" ที่ระบุเขตเวลาที่ถูกต้อง (ดูหลักเกณฑ์สำหรับหน้า AMP และ ไม่ใช่ AMP)
- ใช้รายการแผนผังเว็บไซต์ที่มีวันที่เผยแพร่: หากคุณสร้างแผนผังเว็บไซต์ของ Google News รายการแผนผังเว็บไซต์ของบทความนี้จะต้องมีแท็ก <publication_date> และ URL แต่ละรายการต้องมีวันที่เผยแพร่ของบทความในรูปแบบ W3C
- ดูคำแนะนำทั่วไปเกี่ยวกับวันที่: ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่ Google ระบุวันที่โดยทั่วไป
ป้องกันไม่ให้มีชื่อบทความที่ไม่ถูกต้อง
เราใช้โปรแกรมรวบรวมข้อมูลเพื่อสแกนหน้าบทความและพิจารณาพาดหัวที่ถูกต้องสำหรับเนื้อหาของคุณ เพื่อช่วยให้เราแสดงชื่อที่ถูกต้องจากเนื้อหาของคุณ โปรดทำตามแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดต่อไปนี้
- วางชื่อของบทความไว้ในจุดที่โดดเด่นเหนือส่วนเนื้อหา เช่น ในแท็ก
<h1>
- ทำให้ชื่อของหน้าบทความ (ในแท็ก HTML
<title>
) กับชื่อของบทความ (ใน<h1>
หรือเทียบเท่า) ตรงกัน - ทำให้ anchor text ที่ชี้ไปยังบทความในหน้าหัวข้อตรงกับชื่อบทความ/หน้าเว็บ
- หลีกเลี่ยงการใช้ชื่อบทความหรือสตริงย่อยของชื่อบทความเป็นไฮเปอร์ลิงก์ที่ใช้งานในหน้าบทความ
- อย่าใส่วันที่หรือเวลาในชื่อบทความ
- ชื่อบทความควรมีอักขระอย่างน้อย 10 ตัว และมีคำตั้งแต่ 2-22 คำ
- อย่าใส่ตัวเลขนำหน้าใน anchor text ของชื่อเพื่อให้ชื่อบทความแสดงอย่างถูกต้องในอุปกรณ์เคลื่อนที่
ถึงแม้เราจะรับประกันไม่ได้ว่าจะแสดงบทความทั้งหมดในเว็บไซต์ของคุณ แต่คำแนะนำเหล่านี้ช่วยเพิ่มโอกาสที่โปรแกรมรวบรวมข้อมูลจะดึงข้อมูลพาดหัวที่ถูกต้อง
ป้องกันไม่ให้รูปภาพหายไปหรือไม่ถูกต้อง
เพื่อให้ Google News จัดทำดัชนีรูปภาพนำที่ถูกต้องซึ่งเชื่อมโยงกับบทความของคุณ โปรดทำตามแนวทางปฏิบัติแนะนำต่อไปนี้
- ใช้รูปภาพที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวแทนที่จะเป็นโลโก้หรือคำอธิบายภาพ
- ใช้แท็ก Schema.org หรือ og:image เพื่อให้การรวบรวมข้อมูลรูปภาพระบุรูปภาพที่คุณต้องการให้เป็นภาพขนาดย่อถัดจากบทความของคุณได้
- ใช้รูปแบบรูปภาพที่ Google รูปภาพรองรับ
- รูปภาพต้องมีขนาดอย่างน้อย 60 x 90 พิกเซล
- ใช้รูปภาพที่มีสัดส่วนเหมาะสม
- จัดรูปแบบรูปภาพเป็นแบบแทรกในหน้า
- วางรูปภาพของคุณติดกับชื่อบทความแต่ละชื่อ
- เขียนชื่อป้ายกำกับรูปภาพด้วยคำบรรยายที่ดี
- ตรวจสอบว่าไฟล์ robots.txt หรือเมตาแท็กไม่ได้บล็อกเราไม่ให้เข้าถึงรูปภาพของคุณ
บางครั้งเราจะจับคู่รูปภาพที่เกี่ยวข้องกับบทความจากแหล่งที่มาอื่น เพื่อแสดงแหล่งที่มาแก่ผู้ใช้ให้ได้หลากหลายที่สุด ถึงแม้เราจะรับประกันไม่ได้ว่าจะแสดงรูปภาพทั้งหมดของคุณ แต่แนวทางปฏิบัติแนะนำเหล่านี้จะช่วยเพิ่มโอกาสให้รูปภาพของคุณได้รวมอยู่ใน Google News
แก้ไขตัวอย่างบทความที่ไม่ถูกต้อง
Google News แสดงตัวอย่างบทความเพียงส่วนเล็กๆ ในหน้าแรกและในผลการค้นหาเพื่อให้ผู้ใช้ได้เห็นตัวอย่างของบทความก่อนคลิกดู ในการกำหนดข้อความที่จะรวมไว้ โปรแกรมรวบรวมข้อมูลจะอ่านรหัสของแต่ละบทความเพื่อหาเนื้อความในบริเวณใกล้กับพาดหัวบทความนั้น
ผู้เผยแพร่เนื้อหาจะแก้ไขเนื้อหาของบทความได้ผ่านชุดเมตาแท็ก robots และแอตทริบิวต์ HTML ที่อนุญาตให้มีความยาวข้อความหรือวิดีโอสูงสุด ดูวิธีกำหนดค่าเนื้อหาตัวอย่างที่อยู่ใต้พาดหัว
หาก Google News แสดงตัวอย่างบทความไม่ถูกต้อง ให้ตรวจหาข้อผิดพลาดในซอร์สโค้ดดังต่อไปนี้
- ตรวจสอบว่าไม่มีข้อความเกินเข้ามาระหว่างชื่อบทความและส่วนเนื้อความของบทความในซอร์สโค้ดของแต่ละหน้า
- แสดงให้เห็นความแตกต่างระหว่างข้อความที่ประกอบเป็นบรรทัดที่ลงชื่อผู้เขียนบทความและข้อมูลวันที่จากข้อความบรรทัดแรกของบทความอย่างชัดเจน
บล็อกเนื้อหา
Google News พยายามนำเสนอเนื้อหาข่าวที่เป็นต้นฉบับ ด้วยเหตุนี้ ผู้เผยแพร่เนื้อหาใน Google News จึงต้องบล็อกเนื้อหาบางประเภท และเรายังแนะนำให้บล็อกหรือใช้หน้า Canonical สำหรับเนื้อหาประเภทอื่นๆ อีกด้วย ดูข้อมูลเกี่ยวกับเนื้อหาที่ต้องบล็อกออกจาก Google News