การสนับสนุนแบรนด์ใน Hotel Center

คุณสามารถกำหนดไอคอนและชื่อที่แสดงให้กับกลุ่มที่พักที่เป็นของแบรนด์ ส่วนที่อยู่ด้านล่างนี้จะอธิบายวิธีอัปเดตแบรนด์ใน Hotel Center นอกจากนี้ คุณยังอัปเดตแบรนด์โดยใช้ Travel Partner API ได้ด้วย


ในหน้านี้


วิธีเชื่อมโยงที่พักเข้ากับแบรนด์

คุณเชื่อมโยงที่พักเข้ากับแบรนด์ได้โดยใช้การอ้างอิง XML ของข้อมูลโรงแรม client_attr หรือ CSV ของ hotel_brand ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีใช้การอ้างอิง XML ของข้อมูลโรงแรม และ CSV

สำหรับการผสานรวมฟีดข้อมูล XML ให้ระบุรหัสแบรนด์ในรูปแบบ XML ที่ระบุไว้ด้านล่าง

<client_attr name="hotel_brand">your_brand_here</client_attr>.

สำหรับการผสานรวมฟีดข้อมูลมาร์กอัป Structured Data ให้ระบุรหัสแบรนด์โดยใช้ schema.org/brand ใน https://schema.org/VacationRental

ตัวอย่าง

{
  "@context": "https://schema.org",
  "@type": "VacationRental",
  "brand": "MyVacationRentalBrand"
}

หมายเหตุ: คุณจะเชื่อมโยงที่พักแต่ละรายการกับแบรนด์ได้เพียงแบรนด์เดียวเท่านั้น


วิธีกำหนดค่าแบรนด์และไอคอนใน Hotel Center

ส่วนนี้จะแสดงวิธีต่างๆ ในการอัปโหลดหรือแก้ไขแบรนด์ ไอคอน และชื่อที่แสดง โดยใช้ได้กับทั้งโรงแรมและที่พักให้เช่า

หมายเหตุ: การอนุมัติไอคอนหรือชื่อที่แสดงอาจใช้เวลาสูงสุด 7 วันทำการ หากไอคอนหรือชื่อที่แสดงไม่ได้รับอนุมัติ ให้ตรวจสอบสาเหตุของการไม่อนุมัติและทำการแก้ไข หากไอคอนหรือชื่อที่แสดงยังคงมีสถานะเป็น "อยู่ระหว่างการตรวจสอบ" หลังจากผ่านไปแล้ว 7 วัน โปรดติดต่อผู้จัดการลูกค้าด้านเทคนิค แบรนด์ของคุณจะแสดงโดยมีสถานะ "อยู่ระหว่างการตรวจสอบ" ในหน้า "แบรนด์" จนกว่าจะได้รับอนุมัติ เมื่อมีการแทนที่ไอคอนหรือชื่อที่แสดง แบรนด์จะใช้ไอคอนหรือชื่อที่แสดงเดิมจนกว่าไอคอนหรือชื่อใหม่จะได้รับอนุมัติ

ตั้งค่าไอคอนสำหรับแบรนด์

  1. ในบัญชี Hotel Center ให้ไปที่หน้า "แบรนด์"
  2. คลิกแก้ไขข้างแบรนด์ที่ต้องการแก้ไข
  3. คลิกเปลี่ยนไอคอน
  4. อัปโหลดไอคอนใหม่สำหรับแบรนด์ หรือเลือกไอคอนที่มีอยู่ (ซึ่งได้รับอนุมัติแล้วก่อนหน้านี้) ในคลังไอคอน
  5. คลิกบันทึก
  6. แก้ไขข้อผิดพลาดจากการตรวจสอบไอคอนอัตโนมัติ
  7. รอให้ไอคอนได้รับการตรวจสอบและอนุมัติ
หมายเหตุ: แบรนด์จะใช้ไอคอนเดิมจนกว่าไอคอนใหม่จะได้รับอนุมัติ

อัปเดตชื่อที่แสดงของแบรนด์

  1. ในบัญชี Hotel Center ให้ไปที่หน้า "แบรนด์"
  2. คลิกแก้ไขข้างแบรนด์ที่ต้องการแก้ไข
  3. แก้ไข ลบ หรือเพิ่มชื่อใหม่ที่แสดงสำหรับแบรนด์ในภาษาใดก็ได้
  4. คลิกบันทึก
  5. รอให้ชื่อที่แสดงได้รับการตรวจสอบและอนุมัติ
หมายเหตุ: แบรนด์จะใช้ชื่อที่แสดงเดิมจนกว่าชื่อใหม่จะได้รับอนุมัติ

ตั้งค่าไอคอนที่ระดับบัญชี

  1. ในบัญชี Hotel Center ให้ไปที่หน้า "แบรนด์"
  2. ไปที่แท็บ "การตั้งค่าเริ่มต้น"
  3. คลิกแก้ไข
  4. อัปโหลดไอคอนใหม่หรือเลือกจากคลัง
  5. คลิกบันทึก
  6. แก้ไขข้อผิดพลาดจากการตรวจสอบไอคอนอัตโนมัติ
  7. รอการอนุมัติไอคอน

ลบไอคอนและชื่อที่แสดงออกจากแบรนด์

  1. ในบัญชี Hotel Center ให้ไปที่หน้า "แบรนด์"
  2. คลิกแก้ไขข้างแบรนด์ที่ต้องการแก้ไข
  3. คลิกรีเซ็ตเป็นค่าเริ่มต้น

หลังจากนั้นแบรนด์ก็จะแสดงโดยมีไอคอนและชื่อที่แสดงเริ่มต้นในหน้า "แบรนด์"

ลบเฉพาะไอคอนออกจากแบรนด์

  1. ในบัญชี Hotel Center ให้ไปที่หน้า "แบรนด์"
  2. คลิกแก้ไขข้างแบรนด์ที่ต้องการแก้ไข
  3. คลิกลบข้างไอคอนที่ต้องการลบ
  4. คลิกบันทึก
หลังจากนั้นแบรนด์ก็จะแสดงโดยมีไอคอนเริ่มต้นในหน้า "แบรนด์"

ลบเฉพาะชื่อที่แสดงออกจากแบรนด์

  1. ในบัญชี Hotel Center ให้ไปที่หน้า "แบรนด์"
  2. คลิกแก้ไขข้างแบรนด์ที่ต้องการแก้ไข
  3. คลิกลบข้างไอคอนที่ต้องการลบ
  4. คลิกบันทึก
หลังจากนั้นแบรนด์ก็จะแสดงโดยมีชื่อที่แสดงเริ่มต้นในหน้า "แบรนด์"

ตรวจสอบสถานะของไอคอนหรือชื่อแบรนด์ใหม่

  1. ในบัญชี Hotel Center ให้ไปที่หน้า "แบรนด์"
  2. จัดเรียงรายการแบรนด์โดยใช้ตัวกรอง
  3. ความหมายของสถานะแต่ละอย่างสำหรับไอคอนมีดังนี้
    1. อนุมัติแล้ว: ไอคอนได้รับอนุมัติแล้ว หมายความว่าตอนนี้ Google แสดงไอคอนดังกล่าวสำหรับที่พักที่เชื่อมโยงกับแบรนด์ต่อผู้ใช้
    2. อยู่ระหว่างการตรวจสอบ: รอสูงสุด 7 วันทำการเพื่อให้การตรวจสอบเสร็จสมบูรณ์
    3. ไม่ได้รับอนุมัติ: ทำความเข้าใจสาเหตุของการไม่อนุมัติ แล้วทำการแก้ไขและอัปโหลดไอคอนอีกครั้ง
  4. ความหมายของสถานะแต่ละอย่างสำหรับชื่อที่แสดงมีดังนี้
    1. อนุมัติแล้ว: ชื่อที่แสดงได้รับอนุมัติแล้ว หมายความว่าตอนนี้ Google แสดงชื่อที่แสดงดังกล่าวสำหรับที่พักที่เชื่อมโยงกับแบรนด์ต่อผู้ใช้
    2. อยู่ระหว่างการตรวจสอบ: รอสูงสุด 7 วันทำการเพื่อให้การตรวจสอบเสร็จสมบูรณ์
    3. ไม่ได้รับอนุมัติ: ทำความเข้าใจสาเหตุของการไม่อนุมัติ แล้วทำการแก้ไขและส่งชื่อที่แสดงอีกครั้ง

หลักเกณฑ์เกี่ยวกับไอคอน

ตรวจสอบว่าไอคอนเป็นไปตามข้อกำหนดต่อไปนี้ก่อนอัปโหลด

  • มีความละเอียดอย่างน้อย 72x72 พิกเซล และไม่เกิน 1200x1200 พิกเซล
  • มีขนาดเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสเท่านั้น (1:1)
  • มีอักขระไม่เกิน 3 ตัวต่อไอคอน
  • อยู่ในรูปแบบ PNG
  • พื้นหลังโปร่งใสหรือไม่ใช่สีขาว
  • ไม่มีแอลกอฮอล์ ความรุนแรง หรือเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องเพศ
  • ต้องตรงกับไอคอน Fav หรืออาร์ตเวิร์กใน URL สุดท้ายของผู้ลงโฆษณา

วิธีการทำงานของการกำหนดค่าแบรนด์ผ่าน Travel Partner API

การกำหนดค่าแบรนด์ของ Google ช่วยให้คุณกำหนดไอคอนและชื่อที่แสดงสำหรับกลุ่มที่พักได้ โดยขั้นตอนในการจัดการกระบวนการนี้มีดังนี้

  • เพิ่มรหัสแบรนด์ไปยังข้อมูลในฟีด: ฟีดข้อมูลที่พักจะระบุรหัสแบรนด์ของที่พักแต่ละแห่ง ภายในองค์ประกอบ <listing> ของไฟล์ข้อมูลโรงแรม ให้ใช้แท็ก <client_attr name="hotel_brand">brand_ID</client_attr> เพื่อระบุว่ารหัสแบรนด์ใดที่จะเชื่อมโยงกับข้อมูลแต่ละรายการในฟีด
  • ตั้งค่าไอคอนแบรนด์: ลิงก์ไอคอนและชื่อที่แสดงของแบรนด์ไปยังรหัสแบรนด์ที่เกี่ยวข้องผ่าน Hotel Center หรือ Travel Partner API โดย Travel Partner API จะช่วยระบุปลายทางสำหรับการกำหนดไอคอนและชื่อที่แสดงของแบรนด์ หรือคุณจะกำหนดค่าแบรนด์โดยใช้ Hotel Center ก็ได้ โดยคุณจะกำหนดชื่อที่แสดงได้หลายภาษา
  • กำหนดค่าหน้า Landing Page: กำหนดค่าหน้า Landing Page สำหรับรหัสแบรนด์แต่ละรหัสโดยการอัปโหลด XML ของหน้า Landing Page หรือทำการเปลี่ยนแปลงด้วยตัวเองทีละรายการผ่านส่วน "หน้า Landing Page" ของ Hotel Center โดยคุณระบุการกำหนดค่าหน้า Landing Page ได้ที่ระดับแบรนด์ ขั้นตอนนี้อาจเป็นขั้นตอนที่ไม่บังคับ ขึ้นอยู่กับ URL การจองที่แตกต่างกันไปตามแบรนด์

พาร์ทเนอร์จะต้องอัปเดตไอคอนและชื่อที่แสดงกับ Google ให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ ซึ่งทำได้ด้วยการเรียกใช้ Travel Partner API หรือใช้ Hotel Center โปรดติดต่อผู้จัดการลูกค้าด้านเทคนิคหากมีข้อสงสัยใดๆ


ไอคอนและชื่อที่แสดงเริ่มต้น

Google รองรับไอคอนและชื่อที่แสดงเริ่มต้น โดยพาร์ทเนอร์ระบุการกำหนดค่าแบรนด์เริ่มต้นได้โดยใช้ Hotel Center หรือ Travel Partner API เมื่อพาร์ทเนอร์มีไอคอนเริ่มต้นที่ได้รับอนุมัติ Google จะใช้ไอคอนดังกล่าวในกรณีต่อไปนี้

  • ที่พักไม่มีรหัสแบรนด์
  • แบรนด์ของที่พักไม่มีการกำหนดค่าไอคอนไว้
  • แบรนด์ของที่พักไม่มีไอคอนที่ได้รับอนุมัติ

Google จะใช้กลไกเริ่มต้นที่คล้ายกันสำหรับชื่อที่แสดง หากพาร์ทเนอร์ไม่มีชื่อที่แสดงเริ่มต้น Google จะใช้ชื่อแรกที่มีจากตัวเลือกต่อไปนี้

  • ชื่อที่แสดงของแบรนด์ที่พัก
  • ชื่อที่แสดงที่กำหนดค่าไว้ในหน้า "แบรนด์"
  • ชื่อที่แสดงของหน้า Landing Page ที่ตรงกัน
  • ชื่อที่แสดงของโรงแรม หากพาร์ทเนอร์เป็นเจ้าของโรงแรม
  • ชื่อที่แสดงของการกำหนดค่าพาร์ทเนอร์

การตรวจสอบไอคอนและชื่อที่แสดง

Google จะตรวจสอบความเหมาะสมของไอคอนและชื่อที่แสดงทั้งหมดก่อนจะแสดงต่อผู้ใช้ เมื่อไอคอนอยู่ระหว่างการตรวจสอบหรือถูกปฏิเสธ Google จะเลือกไอคอนจากแหล่งที่มาอื่นๆ ต่อไปนี้

  • ไอคอนล่าสุดที่ Google อนุมัติแล้ว หากมี
  • ไอคอนที่ได้รับอนุมัติสำหรับรหัสแบรนด์ "เริ่มต้น" ที่ว่างเปล่า หากมี
  • ไอคอนที่ Google ได้กำหนดค่าไว้ก่อนหน้านี้สำหรับหน้า Landing Page ที่เกี่ยวข้อง หมายเหตุ: ตัวเลือกนี้มีให้แก่พาร์ทเนอร์บางรายและบางแบรนด์เท่านั้น
  • ไอคอนที่พักเริ่มต้นของ Google: ไอคอน Hotel Center นี้แสดงผู้ที่นอนอยู่บนเตียง

เมื่อชื่อที่แสดงอยู่ระหว่างการตรวจสอบหรือถูกปฏิเสธ Google จะเลือกชื่อที่แสดงจากแหล่งที่มาอื่นๆ ต่อไปนี้

  • ชื่อที่แสดงล่าสุดที่ Google อนุมัติแล้ว หากมี
  • ชื่อที่แสดงซึ่งได้รับอนุมัติสำหรับรหัสแบรนด์ "เริ่มต้น" ที่ว่างเปล่า หากมี
  • ชื่อที่แสดงซึ่งได้รับอนุมัติสำหรับหน้า Landing Page ที่เกี่ยวข้อง
  • ชื่อที่แสดงของที่พักซึ่งระบุไว้ในฟีดข้อมูลที่พักให้เช่า หากพาร์ทเนอร์เป็นเจ้าของที่พัก
  • ชื่อที่แสดงเริ่มต้นซึ่ง Google กำหนดค่าไว้
หากว่าคุณหรือพาร์ทเนอร์ไม่ยอมรับไอคอนและชื่อที่แสดงสำรองเหล่านี้ คุณปิดที่พักของแบรนด์ได้โดยใช้การตั้งค่า "แสดงใน Google" จนกว่าไอคอนและชื่อที่แสดงที่ถูกต้องจะได้รับอนุมัติ

วิธีกำหนดค่าหน้า Landing Page

คุณจะทำการเปลี่ยนแปลงหน้า Landing Page ได้โดยอัปโหลด XML ของหน้า Landing Page หรือทำการเปลี่ยนแปลงหน้า Landing Page แต่ละหน้าด้วยตัวเองผ่านส่วน "หน้า Landing Page" ของ Hotel Center

การที่แบรนด์ต่างๆ มีเครื่องมือการจองที่ต่างกันเป็นเรื่องปกติ ในกรณีดังกล่าว คุณกำหนดค่าหน้า Landing Page ให้ทำงานร่วมกับเครื่องมือการจองของแบรนด์ได้หลายวิธี

วิธีที่ 1: สร้างหน้า Landing Page ขึ้นมาหลายหน้าแล้วกำหนดหน้าที่สร้างขึ้นกับแต่ละแบรนด์ในการกำหนดค่าหน้า Landing Page

เพิ่มหน้า Landing Page หลายหน้าแล้วแมปกับแต่ละแบรนด์โดยใช้องค์ประกอบ XML <Match> รหัสแบรนด์ที่ใช้ในการกำหนดค่าหน้า Landing Page ควรตรงกับรหัสแบรนด์ที่เชื่อมโยงกับข้อมูลในฟีด XML ของข้อมูล สถานะ <Match> ต่อไปนี้จะกำหนดลักษณะของการแมป

  • Match status = "yes": หน้า Landing Page นี้ใช้กับข้อมูลที่เชื่อมโยงกับแบรนด์ได้
  • Match status = "never": หน้า Landing Page นี้ใช้กับข้อมูลที่เชื่อมโยงกับแบรนด์ไม่ได้

ตัวอย่างไฟล์ XML ของหน้า Landing Page ที่ใช้การกำหนดเป้าหมายสำหรับแบรนด์

<PointOfSale id="pos-of-brand-id-1">

<DisplayNames display_text="My Brand Name" display_language="en"/><!-- visible to users -->

<Match status='yes' brand="my-brand-id-1"/>

<Match status='never' brand="my-brand-id-2"/>

...

</PointOfSale>

ในตัวอย่างข้างต้น ข้อมูลที่เชื่อมโยงกับแบรนด์ "my-brand-id-1" จะกำหนดให้ใช้หน้า Landing Page ที่มีรหัส "pos-of-brand-id-1" ส่วนข้อมูลที่เชื่อมโยงกับแบรนด์ "my-brand-id-2" จะไม่ใช้หน้า Landing Page ที่มีรหัส "pos-of-brand-id-1"

ทั้งนี้ หากใช้ UI ของ Hotel Center คุณจะเพิ่มแบรนด์ไปยังข้อมูลที่ "ต้องการ" และ "ถูกบล็อก" ได้ หากกำหนดแบรนด์ไปยังข้อมูลที่ต้องการ ข้อมูลที่เชื่อมโยงกับแบรนด์นั้นจะกำหนดให้ใช้หน้า Landing Page ดังกล่าว หากกำหนดแบรนด์ไปยังข้อมูลที่ถูกบล็อก ข้อมูลที่เชื่อมโยงกับแบรนด์นั้นจะไม่ใช้หน้า Landing Page ดังกล่าว

วิธีที่ 2: สร้างหน้า Landing Page อย่างน้อย 1 หน้าและใช้ตัวแปรเพื่อเปลี่ยนเส้นทางผู้ใช้ไปยังเว็บไซต์ที่เฉพาะสำหรับแต่ละแบรนด์แบบไดนามิก

กำหนดค่าหน้า Landing Page อย่างน้อย 1 หน้าที่มีตัวแปรใน URL โดยเปลี่ยนเส้นทางผู้ใช้ไปยังเว็บไซต์การจองที่เฉพาะสำหรับแต่ละแบรนด์ตามค่าของตัวแปร โปรดทราบว่าการเปลี่ยนเส้นทางจะเกิดขึ้นที่เว็บไซต์ของคุณ (Google ไม่ได้เป็นผู้ดำเนินการให้) วิธีนี้จะช่วยให้คุณกำหนดค่าและดูแลจัดการหน้า Landing Page น้อยกว่าวิธีที่ 1

คุณจะเพิ่มค่าไดนามิกไปยัง URL ของหน้า Landing Page ได้โดยใช้ตัวแปร URL เช่น "PARTNER-HOTEL_ID" เมื่อมีการสร้างลิงก์หน้า Landing Page สำหรับหน้าผลการค้นหา Google จะแทนที่ชื่อตัวแปรด้วยค่าจริง โดยระบบจะใช้ค่าเหล่านี้เพื่อกำหนดว่าควรเปลี่ยนเส้นทางผู้ใช้ไปที่ใด

ตัวอย่างเช่น สมมติว่าเว็บไซต์การจองสำหรับแบรนด์ "my-brand-id-1" มีโดเมนเป็น "my-brand-id-1.com/booking"

คุณจะกำหนดค่าหน้า Landing Page ได้ดังนี้ โปรดสังเกตการใช้ตัวแปร PARTNER-HOTEL-ID ใน URL

ตัวอย่างไฟล์ XML ของหน้า Landing Page ที่ใช้ตัวแปรเพื่อการเปลี่ยนเส้นทางแบบไดนามิก

<PointOfSale id="pos-of-brand-id-1">

<DisplayNames display_text="My Name" display_language="en"/>

<URL>www.partnerdomain.google.com/hotel-id=(PARTNER-HOTEL-ID)&checkin-date=(CHECKINYEAR)-(CHECKINMONTH)-(CHECKINDAY)&checkout-date=(CHECKOUTYEAR)-(CHECKOUTMONTH)-(CHECKOUTDAY)&num-adults=(NUM-ADULTS)

...

</PointOfSale>

เมื่อผู้ใช้คลิกที่ URL ที่สร้างขึ้น เว็บไซต์พาร์ทเนอร์จะตรวจสอบค่าของพารามิเตอร์ PARTNER-HOTEL-ID หากค่าของพารามิเตอร์ตรงกับรหัสของข้อมูลที่เชื่อมโยงไว้กับแบรนด์ "my-brand-id-1" เว็บไซต์ของพาร์ทเนอร์ (ซึ่งในตัวอย่างนี้คือ www.partnerdomain.google.com) จะเปลี่ยนเส้นทางผู้ใช้ไปยังเว็บไซต์เฉพาะสำหรับแบรนด์ "my-brand-id-1.com/booking"

วิธีที่ 3: สร้างหน้า Landing Page อย่างน้อย 1 หน้าและใช้ ALTERNATE-HOTEL-ID เพื่อตั้งค่าโดเมนแบรนด์แบบไดนามิก

กำหนดค่าหน้า Landing Page อย่างน้อย 1 หน้าที่ใช้พารามิเตอร์ ALTERNATE-HOTEL-ID เป็นโดเมน URL โดย ALTERNATE-HOTEL-ID เป็นตัวระบุทางเลือกสำหรับที่พักที่กำหนดไว้ในฟีดข้อมูลโรงแรม คุณสามารถตั้งค่า ALTERNATE-HOTEL-ID ให้กับโดเมนของแบรนด์สำหรับข้อมูลแต่ละรายการได้ในฟีดข้อมูลโรงแรม

ตัวอย่างเช่น สมมติว่าเว็บไซต์การจองสำหรับแบรนด์ "my-brand-id-1" มีโดเมนเป็น "my-brand-id-1.com/booking" ข้อมูลทุกรายการที่เชื่อมโยงกับ "my-brand-id-1" ควรมี ALTERNATE-HOTEL-ID ของ "my-brand-id-1.com/booking" ในฟีดข้อมูลโรงแรม

คุณจะกำหนดค่าหน้า Landing Page ได้ดังนี้ โปรดสังเกตการใช้ ALTERNATE-HOTEL-ID ในโดเมน

ตัวอย่างไฟล์ XML ของหน้า Landing Page ที่ใช้ ALTERNATE-HOTEL-ID เป็นชื่อโดเมน

<PointOfSale id="pos-of-brand-id-1">

DisplayNames display_text="My Name" display_language="en"/>

<URL>https://(ALTERNATE-HOTEL-ID)/checkin-date=(CHECKINYEAR)-(CHECKINMONTH)-(CHECKINDAY)&checkout-date=(CHECKOUTYEAR)-(CHECKOUTMONTH)-(CHECKOUTDAY)&num-adults=(NUM-ADULTS)

...

</PointOfSale>

ในตัวอย่างนี้ ลิงก์การจองที่สร้างขึ้นสำหรับข้อมูลที่เชื่อมโยงกับแบรนด์ "my-brand-id-1" จะใช้รูปแบบเป็น "https//:my-brand-id-1.com/booking/…"

วิธีที่ 4: ระบุ AllowablePointsOfSale ในฟีดราคา

สร้างหน้า Landing Page ที่ต่างกันสำหรับเครื่องมือการจองของแบรนด์แต่ละรายการ แล้วระบุหน้า Landing Page ที่สามารถใช้สำหรับข้อมูลแต่ละรายการในฟีดราคาโดยใช้องค์ประกอบ <AllowablePointsOfSale> ใน Transaction

ตัวอย่างข้อความ Transaction ในฟีดราคา

<Transaction ... >

<Result>

<!-- Required -->

<Property>hotel_ID</Property>

<!-- Required -->

<Checkin>YYYY-MM-DD</Checkin>

<!-- Required -->

<Nights>number_of_nights</Nights>

...

<AllowablePointsOfSale>

<PointOfSale id="landing_page_identifier"/>

...

</AllowablePointsOfSale>

</Result>

...

</Transaction>


ลิงก์ที่เกี่ยวข้อง

ข้อมูลนี้มีประโยชน์ไหม

เราจะปรับปรุงได้อย่างไร
ค้นหา
ล้างการค้นหา
ปิดการค้นหา
เมนูหลัก
16244480236583219305
true
ค้นหาศูนย์ช่วยเหลือ
true
true
true
true
true
81426
false
false