ลองดูเคล็ดลับต่างๆ ที่จะช่วยให้คุณใช้ประโยชน์สูงสุดจาก Ad Grants และอย่าลืมตรวจสอบการแจ้งเตือนในบัญชีเพราะเราอาจส่งเคล็ดลับที่กำหนดเองหรือการสัมมนาเพื่อการศึกษาผ่านเว็บที่ทีม Google Ad Grants จัดขึ้น
- กำหนดโครงสร้างบัญชี
- สร้างโฆษณาที่มีประสิทธิภาพ
- เลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสม
- กำหนดกลุ่มเป้าหมาย
- ติดตามสิ่งที่ผู้ใช้ทำหลังจากที่คลิกโฆษณา
- กำหนดราคาเสนอสำหรับเป้าหมายโดยอัตโนมัติ
1. กำหนดโครงสร้างบัญชี
เมื่อผู้ใช้ค้นหาใน Google.com และดูผลการค้นหา โฆษณาของคุณอาจโดดเด่นกว่าของคนอื่นๆ ถ้าเป็นโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผู้ใช้ค้นหาอยู่มากกว่า ซึ่งคุณทำได้โดยเลือกคีย์เวิร์ดที่ต้องการให้แสดงโฆษณาและรวมคีย์เวิร์ดเหล่านั้นไว้ในกลุ่มโฆษณา เพื่อจะได้แสดงโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดเหล่านั้น อีกทั้งยังแยกกลุ่มโฆษณาออกเป็นแคมเปญต่างๆ เพื่อจัดสรรงบประมาณตามหัวข้อที่สำคัญต่อคุณมากที่สุดได้ด้วย
สมมติว่าองค์กรของคุณแจกหนังสือฟรีให้เด็กๆ คุณคงไม่สร้างแคมเปญเกี่ยวกับ "หนังสือ" เพียงแคมเปญเดียว โดยแคมเปญคุณน่าจะเป็นในลักษณะนี้แทน
- แคมเปญ: หนังสือสำหรับเด็กเล็ก
- แคมเปญ: หนังสือสำหรับเด็กก่อนวัยเรียน
- แคมเปญ: หนังสือสำหรับวัยรุ่น
- แคมเปญ: อาสาสมัคร
- แคมเปญ: บริจาค
จากนั้นคุณควรสร้างกลุ่มโฆษณาที่สะท้อนสิ่งที่ผู้ใช้จะค้นหาใน Google.com คุณจะได้แสดงโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับการค้นหาของพวกเขา เช่น กลุ่มโฆษณาในแคมเปญที่ชื่อ "อาสาสมัคร" อาจมีข้อความต่อไปนี้
- อาสาสมัครเพื่อเด็กเล็ก
- อาสาสมัครเพื่อเด็ก
- อาสาสมัครด้านการศึกษา
- อาสาสมัครเพื่อการอ่าน
- อาสาสมัครสอนเด็กอ่านหนังสือ
2. สร้างโฆษณาที่มีประสิทธิภาพ
เขียนโฆษณาที่น่าดึงดูด 3-5 รายการต่อ 1 กลุ่มโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดในกลุ่มโฆษณานั้นๆ โดยโฆษณาจะหมุนเวียนและให้ความสำคัญกับโฆษณาที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าโฆษณารายการอื่นๆ ในกลุ่มโฆษณาเดียวกัน
ประโยคที่สั้นและไม่ซ้ำซ้อนจะได้ผลดีที่สุด โปรดหลีกเลี่ยงการใช้อักษรย่อที่ไม่เป็นที่นิยม ระบุแง่มุมที่โดดเด่นขององค์กรและบริการของคุณ เช่น "เข้าชมฐานข้อมูลหนังสือฟรีเพื่อหาหนังสือที่ลูกวัยก่อนเข้าเรียนของคุณต้องชอบ" หรือ "มาเป็นอาสาสมัครอ่านหนังสือให้เด็กๆ ในชุมชนเลยวันนี้"
| คีย์เวิร์ดสำหรับโฆษณาตัวอย่าง #1 อาสาสมัครสอนเด็กอ่านหนังสือ อาสาสมัครสอนอ่านหนังสือ อาสาสมัครสอนเด็กๆ โอกาสเป็นอาสาสมัครอ่านหนังสือให้เด็ก สอนเด็กด้อยโอกาส |
ข้อความโฆษณาตัวอย่าง #1 สอนเด็กอ่านหนังสือ ต้องการอาสาสมัครตอนนี้ มีการฝึกอบรมออนไลน์ www.TeachKidsToReadNow.org |
ส่วนขยายโฆษณาจะเพิ่มลิงก์ที่มีประโยชน์ใต้โฆษณาซึ่งช่วยให้โฆษณาดูเด่นขึ้น เรียนรู้เกี่ยวกับส่วนขยายโฆษณาต่างๆ และวิธีใช้
3. เลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสม
ลองถามตนเองก่อนว่าคุณจะพิมพ์คีย์เวิร์ดใด (ชุดคำและวลี) ลงในช่องค้นหาของ Google เพื่อค้นหาโครงการและบริการขององค์กรของคุณเอง จากนั้นใช้เครื่องมือวางแผนคีย์เวิร์ดเพื่อค้นหาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องและรวมคีย์เวิร์ดไว้ด้วยกันในกลุ่มโฆษณา ถ้าคุณต้องการแสดงโฆษณาเดียวกันสำหรับคีย์เวิร์ดเหล่านั้น
หากคุณเพิ่มคีย์เวิร์ดโดยไม่มีการจัดรูปแบบ การทำงานเริ่มต้นของคีย์เวิร์ดในโปรแกรม AdWords จะเป็นการทำงานแบบกว้าง เช่น ถ้าคีย์เวิร์ดของคุณคือ "มะเร็งเต้านม" โฆษณาของคุณจะแสดงเมื่อคำค้นหาใน Google มีคีย์เวิร์ด "มะเร็งเต้านม" โดยไม่คำนึงถึงข้อความค้นหาอื่นๆ ที่ใช้หรือลำดับการพิมพ์ข้อความของผู้ใช้ โฆษณาของคุณจะปรากฏโดยอัตโนมัติสำหรับการจับคู่แบบขยาย รวมถึงรูปพหูพจน์และรูปแบบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างเช่น
- ข้อมูลเกี่ยวกับมะเร็งเต้านม
- มะเร็งเต้านมในผู้ชาย
- กลุ่มสนับสนุนผู้ป่วยมะเร็งเต้านม
- อาการของมะเร็งเต้านม
- การตรวจเต้านมด้วยตนเองเพื่อตรวจหามะเร็ง
คำค้นหาทั้งหมดนี้มีความเกี่ยวข้องเพราะล้วนสัมพันธ์กับมะเร็งเต้านม อย่างไรก็ตาม ค่าเริ่มต้นที่เป็นการทำงานแบบกว้างจะทำงานได้ไม่ดีสำหรับคีย์เวิร์ดทั่วไปที่รวมอยู่ในผลการค้นหาที่ไม่เกี่ยวข้องกับองค์กร สมมติว่าองค์กรของคุณรณรงค์เรื่องการอนุรักษ์หมีที่ใกล้สูญพันธ์ุ ต่อไปนี้คือคำค้นหาที่อาจแสดงโฆษณาที่มีคีย์เวิร์ดที่ทำงานแบบกว้างว่า "หมี"
- ทีมหมีขาว
- วิดีโอหมีพูห์
- หมีเท็ดดี้สำหรับสะสม
- ดีวีดีหมีไม่แอ๊บ แสบได้อีก
ไม่มีการค้นหารายการใดด้านบนที่เกี่ยวข้องกับองค์กรนี้ แต่คำค้นหาทั้งหมดมีคีย์เวิร์ด "หมี" อยู่ทั้งสิ้น คีย์เวิร์ดอย่าง "ปกป้องหมี" และ "หมีใกล้สูญพันธ์ุ" น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าสำหรับค่าเริ่มต้นที่เป็นการทำงานแบบกว้าง ในกรณีเช่นนี้ คุณควรใช้คีย์เวิร์ดเชิงลบ คุณสามารถระบุคีย์เวิร์ดว่าเป็นคีย์เวิร์ดเชิงลบด้วยการใส่เครื่องหมายยติภังค์ไว้หน้าคีย์เวิร์ดที่ไม่ต้องการ เช่น หากองค์กรอนุรักษ์หมีใกล้สูญพันธ์ุต้องการใช้คีย์เวิร์ด "หมี" คำต่อไปนี้ควรอยู่ในรายการคีย์เวิร์ดเชิงลบเพื่อหลีกเลี่ยงการแสดงคำค้นหาที่ไม่เกี่ยวข้อง
- -ทีม
- -หมีพูห์
- -ไม่แอ๊บ แสบได้อีก
- -เท็ดดี้
4. กำหนดกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสม
คุณกำหนดเป้าหมายโฆษณาไปยังสถานที่ตั้งทางภูมิศาสตร์และภาษาที่แตกต่างกันได้ด้วย โดยคุณเลือกกำหนดระยะห่างที่เจาะจงจากพื้นที่ให้บริการขององค์กรหรือจะเลือกเมือง ภูมิภาค หรือประเทศที่ต้องการก็ยังได้
5. ติดตามสิ่งที่ผู้ใช้ทำหลังจากที่คลิกโฆษณา
นอกจาก AdWords จะแสดงให้คุณเห็นว่ามีผู้ใช้กี่คนคลิกโฆษณาของคุณแล้ว AdWords หรือ Google Analytics ยังสามารถติดตามสิ่งที่ลูกค้าทำหลังจากที่พวกเขาเข้ามาในไซต์ของคุณได้ด้วย
เช่น สมมติว่าคีย์เวิร์ดบางรายการพาผู้ใช้เข้าเว็บไซต์ของคุณ ในขณะที่บางรายการก็พาผู้ใช้ไปที่หน้าสมัครรับจดหมายข่าวหรือหน้าบริจาคเงิน การทราบสิ่งที่ผู้ใช้ทำจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่าจะกำหนดคีย์เวิร์ดและโฆษณาประเภทใดสำหรับแคมเปญระดมทุนในอนาคต
ขอให้ผู้ดูแลเว็บติดตั้งโค้ดเครื่องมือวัด AdWords ในเว็บไซต์หรือขอให้ผู้ให้บริการชำระเงินบริจาคทำการฝังโค้ดติดตามในระบบของพวกเขา หรือคุณจะนำเข้าเป้าหมายจาก Google Analytics เพื่อติดตามเป้าหมายใน AdWords ก็ได้ แต่อย่าลืมใช้ที่อยู่อีเมลเดียวกันสำหรับบัญชี AdWords และ Analytics เพื่อให้บัญชีลิงก์กัน เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการลิงก์บัญชี
6. กำหนดราคาเสนอโดยอัตโนมัติ
การเสนอราคาอัตโนมัติใน AdWords จะช่วยประหยัดเวลาในการเพิ่มประสิทธิภาพเป้าหมาย การเพิ่มจำนวน Conversion สูงสุด ซึ่งเป็นกลยุทธ์ Smart Bidding จะตั้งราคาเสนอโดยอัตโนมัติ เพื่อช่วยให้แคมเปญของคุณได้รับ Conversion สูงที่สุดโดยอยู่ภายในงบประมาณที่กำหนดไว้ กลยุทธ์ราคาเสนอแบบเพิ่มจำนวน Conversion สูงสุดจะระบุว่าคีย์เวิร์ดใดมีโอกาสมากกว่าที่จะทำให้เกิดการดำเนินการที่ต้องการ และจะเสนอราคาที่สูงกว่าสำหรับคีย์เวิร์ดเหล่านั้นและเสนอราคาที่น้อยลงสำหรับคีย์เวิร์ดอื่นๆ คุณเปิด "เพิ่มจำนวน Conversion สูงสุด" ได้ในแท็บการตั้งค่าของแคมเปญ
หมายเหตุ: ใน Ad Grants การใช้เพิ่มจำนวน Conversion สูงสุดจะทำให้ระบบสามารถเสนอราคาได้สูงกว่าราคาเสนอสูงสุดระดับโปรแกรมที่ $2.00 USD ถ้าบัญชีของคุณมีประสิทธิภาพพอที่จะทำได้