ขนาดแอปเป็นปัจจัยสำคัญของคุณภาพทางเทคนิคซึ่งอาจส่งผลต่อเมตริกการติดตั้งและการถอนการติดตั้งของแอป นอกจากนี้ Google Play ยังมีขีดจำกัดด้านขนาดสำหรับแอปและเนื้อหาแบบไดนามิก เช่น โมดูลฟีเจอร์และ Asset Pack บทความนี้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับขีดจำกัดด้านขนาดของ Google Play และอธิบายวิธีใช้ Play Console เพื่อทำความเข้าใจขนาดต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับแอป เพื่อให้คุณสามารถดูแลให้ขนาดของแอปมีประสิทธิภาพมากที่สุดได้ต่อไป
ทำความเข้าใจขนาดแอป
คุณควรตรวจสอบและหาวิธีลดขนาดการดาวน์โหลดและขนาดการติดตั้งของแอปเป็นประจำ เนื่องจากปัญหาเหล่านี้อาจส่งผลต่อความสำเร็จในการติดตั้งและการถอนการติดตั้งตามลำดับ ขนาดการดาวน์โหลดและขนาดการติดตั้งของแอปแตกต่างกันดังนี้
- ขนาดการดาวน์โหลดแอป: ขนาดของแอปที่ผู้ใช้ดาวน์โหลดใน Google Play เมื่อแอปมีขนาดการดาวน์โหลดที่ใหญ่ ก็จะใช้เวลาดาวน์โหลดนาน
- ขนาดแอปในอุปกรณ์: ขนาดพื้นที่ที่ต้องใช้ในการติดตั้งแอป เนื่องจากแอปถูกบีบอัดขณะดาวน์โหลด ขนาดการติดตั้งจึงอาจใหญ่กว่าขนาดการดาวน์โหลด เมื่อแอปมีขนาดการติดตั้งที่ใหญ่กว่า อุปกรณ์ของผู้ใช้ก็จะต้องมีพื้นที่มากขึ้นเพื่อให้ติดตั้งแอปได้สำเร็จ หลังจากที่ผู้ใช้เปิดแอป ขนาดของแอปบนดิสก์จะแตกต่างกันไปตามการใช้งานแอป
ขีดจำกัดด้านขนาดสูงสุดของ Google Play
App Bundle, โมดูลฟีเจอร์ และ Asset Pack จะต้องมีขนาดตามขีดจำกัดด้านล่าง ขีดจำกัดด้านขนาดทั้งหมดของ Google Play จะอิงตามขนาดการดาวน์โหลดที่บีบอัดแล้วตามที่ Play Console คำนวณเมื่ออัปโหลด App Bundle คุณประมาณขนาดให้ใกล้เคียงกับขนาดก่อนอัปโหลดไปยัง Play Console ได้โดยใช้เครื่องมือบรรทัดคำสั่ง Bundletool ซึ่งใช้การคำนวณที่คล้ายกัน (แต่ไม่ได้เหมือนกันทุกประการ)
สำคัญ: Google Play ขอแนะนำว่าควรทำให้แอปมีขนาดเล็กและมีประสิทธิภาพมากที่สุดเพื่อช่วยเพิ่มเมตริกการติดตั้ง นักพัฒนาแอปส่วนใหญ่ควรทำให้แอปมีขนาดไม่เกินที่ขีดจำกัดเหล่านี้
คอมโพเนนต์ของแอป |
ขีดจำกัดด้านขนาดการดาวน์โหลดแอป |
---|---|
โมดูลฐาน |
200 MB |
โมดูลฟีเจอร์แต่ละรายการ |
200 MB |
Asset Pack แต่ละรายการ |
1.5 GB |
ขนาดสะสมรวมสำหรับทุกโมดูลและ Asset Pack เมื่อติดตั้ง |
4 GB |
ขนาดสะสมรวมสำหรับ Asset Pack ที่นำส่งแบบออนดีมานด์และนำส่งตามมาอย่างรวดเร็ว |
4 GB* |
* นักพัฒนาแอปในโปรแกรมพาร์ทเนอร์ Google Play สำหรับเกมได้รับอนุญาตให้นำส่ง Asset Pack เพิ่มเติมได้สูงสุด 6 GB ซึ่งหมายความว่าขนาดสะสมรวมสำหรับ Asset Pack ที่นำส่งแบบออนดีมานด์และนำส่งตามมาอย่างรวดเร็วจะเป็น 10 GB แทน 4 GB
นอกจากขีดจำกัดด้านขนาดที่แสดงข้างต้นแล้ว โปรดทราบข้อมูลต่อไปนี้ด้วย
- แอปที่มีขนาดใหญ่กว่า 1 GB ต้องกำหนดเป้าหมาย SDK เวอร์ชันขั้นต่ำของ Android Lollipop (API ระดับ 21) ขึ้นไป
- จำนวนโมดูลฟีเจอร์ที่แนะนำสูงสุดคือ 100 รายการสำหรับแอปที่กำหนดเป้าหมายเป็น Android Oreo เวอร์ชัน SDK ขั้นต่ำ (API ระดับ 26) ขึ้นไป จำนวนโมดูลฟีเจอร์สูงสุดคือ 50 เมื่อกำหนดเป้าหมาย SDK เวอร์ชันขั้นต่ำที่ต่ำกว่า
- จำนวน Asset Pack สูงสุดในแต่ละ App Bundle คือ 100 รายการ
- หากแอปมีขนาดเกิน 200 MB ผู้ใช้ที่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตมือถือจะเห็นกล่องโต้ตอบที่ไม่บล็อกเมื่อติดตั้งแอปจาก Google Play ซึ่งแจ้งให้ทราบว่าแอปมีขนาดใหญ่ในอุปกรณ์ Android
- แอปที่ยังคงเผยแพร่ด้วย APK แทน App Bundle จะมีขีดจำกัดด้านขนาดของ APK เดิม (ซึ่งก็คือขนาดสูงสุดของ APK ไม่เกิน 100 MB) และไม่ใช่ขีดจำกัดด้านขนาดข้างต้น
ดูขนาดการดาวน์โหลดและขนาดการติดตั้งของแอป
หลังจากที่เปิดตัวแอปในแทร็กเวอร์ชันที่ใช้งานจริง คุณจะดูขนาดการดาวน์โหลดและขนาดการติดตั้งของแอปได้โดยทำดังนี้
- เปิด Play Console แล้วไปที่หน้าขนาดแอป (คุณภาพ > Android Vitals > ขนาดแอป)
- ที่ด้านขวาบนของหน้าจอ คุณสามารถกรองข้อมูลของหน้าตามขนาดการดาวน์โหลดแอปหรือขนาดแอปในอุปกรณ์
คุณจะเห็นข้อมูลต่อไปนี้ในหน้าขนาดแอป
- ขนาดการดาวน์โหลดแอป/ขนาดแอปในอุปกรณ์: ขนาดแอปในอุปกรณ์อ้างอิงและช่วงขนาดของแอปในการกำหนดค่าอุปกรณ์ทั้งหมด
- ขนาดการดาวน์โหลดแอป/ขนาดแอปในอุปกรณ์เทียบกับแอปเทียบเท่า: ขนาดแอปของคุณเทียบกับแอปเทียบเท่า
- หากต้องการสร้างกลุ่มแอปเทียบเท่าที่กำหนดเองให้มีแอปจำนวน 8-12 แอป ให้คลิกแก้ไขกลุ่มแอปเทียบเท่า
- ขนาดการดาวน์โหลดแอป/ขนาดแอปในอุปกรณ์ในช่วงเวลาต่างๆ: ขนาดแอปของคุณเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรและแตกต่างหรือเหมือนกับแอปเทียบเท่าในช่วงเวลาต่างๆ อย่างไร
- ที่บริเวณด้านขวาบนของแผนภูมิ คุณเลือกช่วงวันที่ที่ต้องการดูและเลือกช่องทำเครื่องหมายเพื่อแสดงช่วงขนาดของแอปในการกำหนดค่าอุปกรณ์ทั้งหมดได้
- อุปกรณ์ที่มีการใช้งานที่มีพื้นที่ว่างเหลือ < 2 GB: เปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้แอปที่ใช้งานอยู่และมีพื้นที่เก็บข้อมูลในอุปกรณ์เหลือน้อยกว่า 2 GB
- การถอนการติดตั้งในอุปกรณ์ที่มีพื้นที่ว่างเหลือ < 2 GB: อัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างการถอนการติดตั้งในอุปกรณ์ที่ยังมีการใช้งานอยู่และมีพื้นที่เก็บข้อมูลเหลือน้อยกว่า 2 GB ต่อการถอนการติดตั้งในอุปกรณ์ที่มีการใช้งานทั้งหมด
หมายเหตุ
- หมายเหตุ: ขนาดทั้งหมดเป็นตัวอย่างที่คำนวณจากเวอร์ชันที่ใช้งานจริงล่าสุดของคุณ โดยกำหนดค่าอุปกรณ์เป็น
XXXHDPI ARMv8
หรือค่าใกล้เคียงที่สุดที่รองรับสำหรับแอปของคุณ - การคำนวณเมตริกอุปกรณ์ที่ยังมีการใช้งานอยู่และมีพื้นที่ว่างเหลือ < 2 GB และการถอนการติดตั้งในอุปกรณ์ที่มีพื้นที่ว่างเหลือ < 2 GB จะอิงตามค่าเฉลี่ยต่อเนื่อง 30 วัน และจะแสดงข้อมูลต่อเมื่อระบบพิจารณาว่าเกี่ยวข้องกับแอปของคุณเท่านั้น
ดูรายละเอียดขนาด
หากเผยแพร่แอปโดยใช้ Android App Bundle คุณจะเห็นแผนภูมิที่จัดระเบียบตามรหัสเวอร์ชันของ Bundle พร้อมรายละเอียดเกี่ยวกับปริมาณพื้นที่ที่คอมโพเนนต์ต่างๆ ของแอปใช้เมื่อเปรียบเทียบกับขนาดการดาวน์โหลดหรือขนาดการติดตั้งโดยรวมของแอปสำหรับ 5 รุ่นก่อนหน้า
คุณอาจใช้รายละเอียดนี้เพื่อดูว่าส่วนใดของแอปใช้พื้นที่มากที่สุดและระบุส่วนที่จะเพิ่มประสิทธิภาพเพื่อลดขนาดได้ รายละเอียดดังกล่าวอิงตาม APK ที่สร้างจาก App Bundle สำหรับการกำหนดค่าอุปกรณ์อ้างอิง
รายละเอียดจะแสดงข้อมูลต่อไปนี้
- รายละเอียดขนาดการดาวน์โหลดแอป
- โค้ด/DEX: โค้ด Java หรือ Kotlin ทั้งหมดในแอปที่คอมไพล์สำหรับการดำเนินการบน Android ในรูปแบบ DEX
- ทรัพยากร: ทรัพยากรรวมถึงตารางทรัพยากรและคอมโพเนนต์ที่ไม่ใช่โค้ดของแอปในไดเรกทอรี res/ เช่น สตริงหรือรูปภาพ
- เนื้อหา: เนื้อหาคือไฟล์อื่นๆ ที่แอปของคุณใช้ในไดเรกทอรี assets/ เช่น ไฟล์เสียงหรือวิดีโอ
- ไลบรารีแบบเนทีฟ: โค้ดแบบเนทีฟในไดเรกทอรี libs/ ของแอป โดยทั่วไปจะเป็นโค้ดที่ไม่ใช่ Java หรือ Kotlin
- อื่นๆ: ไฟล์อื่นๆ ในแอป
- รายละเอียดขนาดแอปในอุปกรณ์จะแสดงสิ่งต่างๆ เหล่านี้เพิ่มเติมด้วย
- ไลบรารีแบบเนทีฟที่แยกข้อมูลแล้ว: เมื่อมีการบีบอัดไลบรารีแบบเนทีฟใน APK จะต้องมีการแยกข้อมูลไลบรารีดังกล่าวลงในพื้นที่เก็บข้อมูลในเครื่องเพื่อเรียกใช้แอป
- DEX ที่เพิ่มประสิทธิภาพ: โค้ด DEX ที่แปลงเป็นโค้ดแบบเนทีฟตามรันไทม์ของ Android เพื่อประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น