เกี่ยวกับค่าคอมมิชชัน (ต่อการเข้าพัก) สำหรับโฆษณาโรงแรม

ตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน 2024 แคมเปญโฆษณาโรงแรมใหม่จะใช้กลยุทธ์การเสนอราคาแบบคอมมิชชัน (ทั้งต่อการเข้าพักและต่อ Conversion) ไม่ได้อีก

ทั้งนี้แคมเปญโฆษณาโรงแรมที่ใช้งานอยู่ซึ่งมีกลยุทธ์การเสนอราคาแบบคอมมิชชันจะแสดงต่อจนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2024 ดูขั้นตอนถัดไปที่ควรทำได้จากหัวข้อกลยุทธ์การเสนอราคาแบบคอมมิชชันในโฆษณาโรงแรมจะหยุดให้บริการ

หมายเหตุ: กลยุทธ์การเสนอราคาแบบคอมมิชชัน (ต่อการเข้าพัก) เป็นฟีเจอร์ใหม่ของการเสนอราคาอัตโนมัติสำหรับแคมเปญโรงแรม โปรดติดต่อทีมดูแลลูกค้าของ Google เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีเปิดใช้กลยุทธ์การเสนอราคาแบบคอมมิชชัน (ต่อการเข้าพัก) ในบัญชีของคุณ

คอมมิชชัน (ต่อการเข้าพัก) เป็นกลยุทธ์การเสนอราคาสําหรับแคมเปญโรงแรมที่ให้พาร์ทเนอร์จ่ายเฉพาะเมื่อแขกเข้าพักจริง และช่วยให้พาร์ทเนอร์ใช้ประโยชน์จากความสามารถที่ AI ของ Google มี เพื่อให้ได้มาซึ่งการเข้าพักจากแขกอย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ต้องกังวลเรื่องความเสี่ยงจากการยกเลิก

หมายเหตุ: กลยุทธ์การเสนอราคา Smart Bidding สำหรับโฆษณาโรงแรมทั้งหมดต้องใช้ทั้งเครื่องมือวัด Conversion และมูลค่า Conversion การซื้อ (จำนวนเงินของการจองทั้งหมด) ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเครื่องมือวัด Conversion สำหรับแคมเปญโรงแรม

วิธีการทำงานของการเสนอราคาแบบค่าคอมมิชชัน (ต่อการเข้าพัก)

การเสนอราคาแบบค่าคอมมิชชัน (ต่อการเข้าพัก) จะเริ่มขึ้นหลังจากที่พาร์ทเนอร์สร้างแคมเปญและกำหนดค่าอัตราค่าคอมมิชชัน (% ของมูลค่าการจอง) ในการตั้งค่าราคาเสนอของแคมเปญ ขั้นตอนต่อไปนี้จะเกิดขึ้นเมื่อผู้ใช้ค้นหาพร็อพเพอร์ตี้

  1. AI ของ Google จะคํานวณราคาเสนอโดยใช้สัญญาณที่เกิดขึ้นตามเวลาจริงในการประมูลเพื่อให้ได้รับ ROAS เป้าหมายโดยรวม (มูลค่าการจอง/ต้นทุน) ตามอัตราคอมมิชชันที่พาร์ทเนอร์กําหนดไว้
  2. ผู้ใช้คลิกโฆษณาและทํา Conversion ในเว็บไซต์ของพาร์ทเนอร์
    • หมายเหตุ: ผู้ใช้อาจวางแผนที่จะเข้าพักโรงแรมให้เสร็จสมบูรณ์เป็นเวลาหลายเดือนถัดจากนั้น
  3. ภายใน 45 วันนับจากวันที่ผู้ใช้เช็คเอาต์ พาร์ทเนอร์จะปรับยอดการเข้าพัก (แจ้ง Google ว่าการจองเสร็จสมบูรณ์หรือถูกยกเลิก) ผ่านการอัปโหลดการปรับยอดใน Google Ads
  4. เมื่อปรับยอดแล้ว Google จะเรียกเก็บเงินจากพาร์ทเนอร์สําหรับการเข้าพักตามอัตราค่าคอมมิชชันของแคมเปญคูณด้วยมูลค่าการจอง
หมายเหตุ: Google จะไม่เรียกเก็บเงินพาร์ทเนอร์สําหรับการจองที่ผู้ใช้ยกเลิก

ข้อกำหนด

  • เปิดใช้การเรียกเก็บเงินผ่าน Hotel Center คุณสามารถติดต่อทีมดูแลลูกค้าของ Google เพื่อรับความช่วยเหลือในการตั้งค่าการเรียกเก็บเงินผ่าน Hotel Center
  • ลิงก์บัญชี Google Ads กับบัญชี Hotel Center อย่างน้อย 1 บัญชี
  • ตั้งค่าเครื่องมือวัด Conversion ให้ติดตามมูลค่าแบบเจาะจงธุรกรรม
  • ตั้งค่าหมวดหมู่การกระทำที่ถือเป็น Conversion เป็น "ซื้อ"
  • ส่งรายงานการปรับยอดอย่างสม่ำเสมอ
หมายเหตุ: ลูกค้าที่อยู่ในตุรกีจะต้องได้รับการเรียกเก็บเงินในสกุลลีราตุรกี (TRY)

เริ่มต้นใช้งาน

หากต้องการสร้างค่าคอมมิชชัน (ต่อการเข้าพัก) แต่มีคุณสมบัติไม่ตรงตามข้อกําหนด ให้ทําตามขั้นตอนด้านล่างเพื่ออัปเดตข้อมูลบัญชี เริ่มต้นใช้งาน และทําความเข้าใจรายงาน

กำหนดมูลค่าธุรกรรมเครื่องมือวัด Conversion

ดูวิธีการตั้งค่าเครื่องมือวัด Conversion สําหรับแคมเปญโรงแรมโดยละเอียด อย่าลืมส่งข้อมูลธุรกรรมโดยใช้แท็กที่ติดทั่วเว็บไซต์ซึ่งมีพารามิเตอร์ที่จำเป็นต่อไปนี้

  • 'start_date'
  • 'end_date'
  • 'id' 'value'
  • 'currency'

'value' ใช้ในการคำนวณค่าใช้จ่ายของ Conversion แต่ละรายการ หากไม่ระบุ 'value' และ 'currency' ที่เกี่ยวข้อง Google จะใช้ค่าเริ่มต้นในการตั้งค่า Conversion และโปรแกรมเสนอราคาจะปรับราคาเสนอตามนั้น เราจะใช้พารามิเตอร์วันที่คลิกเป็นค่าเริ่มต้นเมื่อไม่มี 'start_date' และ 'end_date'

หมายเหตุ: มูลค่าธุรกรรมจาก Conversion มีไว้สำหรับแคมเปญโรงแรมเท่านั้น

กำหนดค่า URL ของหน้า Landing Page (ไม่บังคับ)

โฆษณาโรงแรมมีพารามิเตอร์ของ URL ของหน้า Landing Page ใหม่ต่อไปนี้ เพื่อให้รองรับกลยุทธ์การเสนอราคาแบบคอมมิชชัน (ต่อการเข้าพัก)

(PAYMENT-ID): เปลี่ยนเป็นสตริง "คอมมิชชัน" ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า หรือหมายเลข IATA ที่กำหนดให้กับ Google (เช่น "01234567") หากคุณใช้เอเจนซีรวบรวมคอมมิชชัน หากต้องการเปลี่ยนการจัดรูปแบบหมายเลข IATA หรือสตริงที่กำหนดไว้ล่วงหน้า โปรดติดต่อ TAM

(IF-PAYMENT-ID): เปลี่ยนเป็น "จริง" สำหรับโรงแรมที่ใช้การเสนอราคาแบบค่าคอมมิชชัน (ต่อการเข้าพัก) ไม่เช่นนั้นจะเป็น "เท็จ" หากเป็น "จริง" ระบบจะแทรกค่าที่เป็นไปตามเงื่อนไขนี้ลงใน URL ไม่เช่นนั้นจะแทรกค่าที่เป็นไปตามคำสั่ง ELSE

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสร้างลิงก์หน้า Landing Page ได้ที่การสร้าง URL แบบไดนามิก

ตัวอย่างที่ 1

ตัวอย่างต่อไปนี้แสดงพารามิเตอร์ใหม่ในการกําหนด URL ของหน้า Landing Page http://www.partnerdomain.com?hotelID=(PARTNER-HOTEL-ID)&checkinDay=(CHECKINDAY)&checkinMonth=(CHECKINMONTH)&checkinYear=(CHECKINYEAR)&nights=(LENGTH)(IF-PAYMENT-ID)&bookingSource=(PAYMENT-ID)(ELSE)(ENDIF)
สําหรับโรงแรมที่ใช้ค่าคอมมิชชัน (ต่อการเข้าพัก) การกําหนด URL นี้จะเปลี่ยนเป็น
http://www.partnerdomain.com?hotelID=ABCDEF&checkinDay=15&checkinMonth=07&checkinYear=2015&nights=3&bookingSource=123456789
สําหรับโรงแรมที่ไม่ได้ใช้ค่าคอมมิชชัน (ต่อการเข้าพัก) การกําหนด URL นี้จะเปลี่ยนเป็น
http://www.partnerdomain.com?hotelID=ABCDEF&checkinDay=15&checkinMonth=07&checkinYear=2015&nights=3

ตัวอย่างที่ 2

<URL>http://www.partnerdomain.com?hotelID=(PARTNER-HOTEL-ID)&checkinDay=(CHECKINDAY)&checkinMonth=(CHECKINMONTH)&checkinYear=(CHECKINYEAR)&nights=(LENGTH)&bookingSource=(IF-PAYMENT-ID)commissions(ELSE)GoogleCPC(ENDIF)</URL>
สําหรับโรงแรมที่ใช้ค่าคอมมิชชัน (ต่อการเข้าพัก) การกําหนด URL นี้จะเปลี่ยนเป็น
http://www.partnerdomain.com?hotelID=ABCDEF&checkinDay=15&checkinMonth=07&checkinYear=2015&nights=3&bookingSource=commissions

สร้างแคมเปญที่ใช้กลยุทธ์การเสนอราคาแบบคอมมิชชัน (ต่อการเข้าพัก)

หมายเหตุ: วิธีการด้านล่างเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ของผู้ใช้ Google Ads ที่ได้รับการออกแบบใหม่ หากต้องการใช้การออกแบบก่อนหน้า ให้คลิกไอคอน "ลักษณะที่ปรากฏ" แล้วเลือกใช้การออกแบบก่อนหน้า หากคุณใช้ Google Ads เวอร์ชันก่อนหน้าอยู่ ให้ดูแผนที่อ้างอิงฉบับย่อ หรือใช้แถบค้นหาในแผงการนำทางด้านบนของ Google Ads เพื่อค้นหาหน้าเว็บที่ต้องการ
หมายเหตุ: คุณใช้แคมเปญที่มีอยู่กับกลยุทธ์การเสนอราคาแบบคอมมิชชัน (ต่อการเข้าพัก) ไม่ได้ คุณต้องได้รับอนุญาตล่วงหน้าให้สร้างแคมเปญกลยุทธ์การเสนอราคาแบบคอมมิชชัน (ต่อการเข้าพัก) ใหม่
  1. ในบัญชี Google Ads ให้คลิกไอคอนแคมเปญ Campaigns Icon
  2. คลิกเมนูแบบเลื่อนลงแคมเปญในเมนูส่วน
  3. คลิกแคมเปญ
  4. คลิกปุ่มบวก plus แล้วเลือกแคมเปญใหม่
  5. เลือกวัตถุประสงค์สร้างแคมเปญโดยไม่มีคําแนะนําของเป้าหมาย
  6. เลือกประเภทแคมเปญเป็นโรงแรม
  7. คลิกต่อไป
  8. ป้อนการตั้งค่าแคมเปญในหน้า "เลือกการตั้งค่าแคมเปญ" ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการตั้งค่าแต่ละรายการ
  9. ในส่วน "การตั้งค่าการเสนอราคา" ให้เลือกค่าคอมมิชชันจากเมนูแบบเลื่อนลง "การเสนอราคา"
  10. ป้อนค่าคอมมิชชันในส่วน "จํานวนค่าคอมมิชชัน"
  11. ในส่วน "จ่ายสำหรับ" ให้เลือกการเข้าพักของแขก
  12. คลิกบันทึกและต่อไป

หากมีคําถามทางเทคนิคเกี่ยวกับ Google Ads API (เช่น คําถามที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการใช้งาน API หรือ SDK, ข้อผิดพลาดที่ได้รับจาก API หรือ SDK เป็นต้น) โปรดทําตามขั้นตอนการแก้ปัญหาที่อยู่ในหน้าการสนับสนุนด้านเทคนิคของ API

หากมีคำถามเกี่ยวกับ Google Ads API ที่เกี่ยวข้องกับ UI ของ Google Ads โดยเฉพาะ โปรดคลิก "ติดต่อเรา" ที่ด้านล่างของหน้า

ใช้ Google Ads API

หากต้องการใช้ API สําหรับการสร้างแคมเปญ การสร้างแคมเปญค่าคอมมิชชัน (ต่อการเข้าพัก) โดยใช้ Google Ads API จะคล้ายกับการสร้างแคมเปญประเภทอื่นๆ ใน Google Ads ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เพิ่มโฆษณาโรงแรม

การตั้งค่าบางรายการจำเป็นสำหรับ PaymentMode, BudgetType และ BiddingStrategyType ดูรายละเอียดได้ที่ Google Ads API

หลังจากทําตามขั้นตอนข้างต้นแล้ว แคมเปญค่าคอมมิชชัน (ต่อการเข้าพัก) ก็พร้อมใช้งาน หากไม่เห็นการเข้าชมภายใน 1 วัน ให้ตรวจสอบการตั้งค่าว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติ

สร้างรายงานการปรับยอด

คุณต้องปรับยอดการจองภายใน 45 วันนับจากวันที่เช็คเอาต์ของการจอง เช่น

  • Conversion (การจอง) เกิดขึ้นในวันที่ 1 มกราคมจากแขกที่เข้าพักวันที่ 28 กุมภาพันธ์ถึง 1 มีนาคม
  • หลังจากที่แขกเช็คเอาต์ คุณต้องปรับยอดการจองนี้ก่อนวันที่ 15 เมษายน (1 มีนาคม + 45 วัน)
  • ในวันที่ 15 เมษายน Google จะเรียกเก็บเงินจากคุณสําหรับการเข้าพักที่สมบูรณ์โดยอิงตามอัตราค่าคอมมิชชันที่กําหนดไว้ แต่จะไม่เรียกเก็บเงินจากคุณหากมีการยกเลิกการจอง หากคุณไม่ปรับยอดภายในวันที่ 15 เมษายน Google จะถือว่าการเข้าพักสมบูรณ์แล้วและจะเรียกเก็บเงินจากคุณสำหรับการเข้าพักดังกล่าว

เราแนะนำอย่างยิ่งให้ดาวน์โหลดรายงานต่อการจองจากหน้า "ค่าคอมมิชชัน" ใน Google Ads และใช้รายงานที่ดาวน์โหลดมาเป็นเทมเพลตการปรับยอด ดูรายละเอียดได้ที่สร้างรายงานการปรับยอด

อัปโหลดรายงานการปรับยอด

หลังจากสร้างรายงานการปรับยอดแล้ว ให้คลิกแท็บ "ค่าคอมมิชชัน" ใน Google Ads เพื่ออัปโหลดไฟล์ หากไม่เห็นแท็บดังกล่าวในเมนูการนําทางด้านซ้ายมือ ให้คลิก "เพิ่มเติม" เพื่อขยาย

สิ่งสำคัญที่ควรทราบ

  • หากคุณอัปโหลดแถวที่ไม่มีรหัสค่าคอมมิชชันหรือรหัสคำสั่งซื้อ เราจะพยายามจับคู่การเข้าพักกับเหตุการณ์การจองโดยพิจารณาจากข้อมูลอื่นๆ ที่มีอยู่ เช่น รหัสโรงแรมและวันที่ในแผนการเดินทาง
  • หากมีการยกเลิกการเข้าพักแต่คุณได้รับค่าธรรมเนียมการยกเลิก โปรดระบุไว้ในการปรับยอด
  • คุณจะแก้ไขการจองในส่วนใดๆ ไม่ได้หลังพ้นกําหนดเวลาการปรับยอด (45 วันหลังจากวันที่เช็คเอาต์)
  • ไฟล์การปรับยอดมีไว้สําหรับทั้งบัญชี (รหัสลูกค้า) แม้ว่าจะมีการกรองมุมมองตารางค่าคอมมิชชันให้เหลือกลุ่มโฆษณาหรือแคมเปญ แต่การอัปโหลดจะมีผลกับทั้งรหัสลูกค้า
  • หากอัปโหลดรายงานการปรับยอดเป็นภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ ให้ใช้เทมเพลตที่ดาวน์โหลดจาก Google Ads แทนเทมเพลตในศูนย์ช่วยเหลือ วิธีดาวน์โหลดรายงานการปรับยอดคือคลิก "ดาวน์โหลด" ที่มุมขวาบนของรายงาน
    • หากชื่อคอลัมน์ที่คุณแปลเองแตกต่างจากชื่อที่ระบบคาดไว้ รายงานอาจไม่ได้รับการยอมรับ
      • ตัวอย่าง: การปรับยอดในศูนย์ช่วยเหลือมีคอลัมน์ชื่อ "Commission" แต่ภาษาของบัญชีพาร์ทเนอร์เป็นภาษาสเปน หากพาร์ทเนอร์แปลชื่อคอลัมน์ด้วยตนเองเป็น "La comisión" แต่ Google Ads คาดว่าจะพบ "Comisión" การอัปโหลดจะไม่สําเร็จ การดาวน์โหลดเทมเพลตจาก Google Ads โดยตรง (ไม่ใช่จากศูนย์ช่วยเหลือ) จะช่วยให้ได้รับคําแปลที่จําเป็นและถูกต้อง

หาก Google เห็นว่าการรายงานของคุณไม่ถูกต้อง เราอาจขอให้คุณส่งเอกสารหรือบันทึกที่จำเป็นต่อการพิจารณาว่ารายงานหรือการชำระเงินของคุณ ณ ขณะนั้นถูกต้องหรือไม่ โดยจะแจ้งล่วงหน้าอย่างน้อย 7 วันและเป็นไปตามเหตุผลที่สมควร หากคุณไม่ส่งเอกสารหรือบันทึกที่ขอ หรือ Google เห็นว่าเอกสารดังกล่าวไม่ได้แสดงให้เห็นว่าการรายงานนั้นถูกต้อง เรา อาจหยุดแสดงโฆษณาโรงแรมของคุณ

การเรียกเก็บเงิน

ต้นทุนของการจองแต่ละรายการคํานวณโดยการคูณมูลค่าที่ปรับยอดด้วยอัตราค่าคอมมิชชัน คุณมีเวลา 45 วันนับจากวันที่เช็คเอาต์ของการจองแต่ละรายการในการปรับยอดการเข้าพักที่สมบูรณ์ ระบบจะเรียกเก็บเงินสำหรับการจองที่ไม่ได้ทําเครื่องหมายว่ายกเลิกหรือปรับยอดโดยถือว่าเป็นการเข้าพักที่สมบูรณ์ตามมูลค่าการจองเดิม การปรับยอดก่อนถึงกำหนด 45 วันจะไม่ทําให้เกิดการเรียกเก็บเงินจากบัญชีก่อนเวลา

แนวทางปฏิบัติแนะนำ

ปริมาณข้อมูล: แต่ละแคมเปญต้องมี Conversion อย่างน้อย 10 รายการต่อสัปดาห์เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพที่ดีที่สุดจากค่าคอมมิชชัน (ต่อการเข้าพัก) พิจารณารวมแคมเปญหากคุณมีแคมเปญที่คาดว่าจะได้รับ Conversion น้อยกว่า 10 รายการต่อสัปดาห์

เครื่องมือวัด Conversion ที่เชื่อถือได้: ต้องมีการติดตั้งเครื่องมือวัด Conversion ในอุปกรณ์และจุดขายทั้งหมด การที่เครื่องมือวัด Conversion หยุดทำงานไม่ว่าในกรณีใดก็ตามอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพแคมเปญอย่างมาก อย่านำโค้ดเครื่องมือวัด Conversion ออกจากเว็บไซต์หรือย้ายโค้ดไปยังตำแหน่งอื่นขณะที่แคมเปญทำงานอยู่ หากคุณเปลี่ยนโค้ดเครื่องมือวัด Conversion โปรดให้เวลาอัลกอริทึมได้ปรับการทำงานอย่างน้อย 2 สัปดาห์ และตรวจสอบว่าบัญชีเปิดการติดแท็กอัตโนมัติไว้ตลอดเวลา

การสร้างเป้าหมายเปอร์เซ็นต์ค่าคอมมิชชัน: ผู้ลงโฆษณาแต่ละรายมีเกณฑ์ผลตอบแทนจากค่าโฆษณา (ROAS) ที่ยอมรับได้สําหรับการลงทุนแตกต่างกันไป เมื่อเลือกอัตราค่าคอมมิชชันหรือราคาเสนอ ให้เริ่มด้วยเป้าหมาย ROAS ที่ยอมรับได้ จากนั้นจึงปรับเพิ่มหรือลดเพื่อให้ ROAS และปริมาณการเข้าชมสมดุลกันตามที่ต้องการ

  • เช่น สมมติว่าเป้าหมาย ROAS หลังการยกเลิกคือ 500% (กล่าวคือคุณจะได้มูลค่าการจอง 150 บาทสําหรับทุก 30 บาทที่ใช้ในการโฆษณาหลังจากการยกเลิก) และอัตราการยกเลิกคือ 20% ROAS ก่อนการยกเลิกจะเท่ากับ 500% / (1-20%) = 625% หากใช้กลยุทธ์การเสนอราคาแบบคอมมิชชัน (ต่อการเข้าพัก) หรือกลยุทธ์การเสนอราคาแบบคอมมิชชัน (ต่อ Conversion) อัตราค่าคอมมิชชันที่แนะนําจะตรงกันข้ามกับ ROAS ก่อนการยกเลิก ซึ่งก็คือ 1 / 625% = 16%
  • หลังจากระบุอัตราค่าคอมมิชชันหรือ CPC ที่เหมาะสมเพื่อให้ได้ ROAS เป้าหมายแล้ว ให้ตรวจสอบเมตริกประสิทธิภาพแคมเปญเพื่อดูว่าคุณบรรลุเป้าหมายปริมาณการเข้าชม (จํานวนการแสดงผล คลิก หรือ Conversion) หรือไม่ ประเมินเมตริกนี้เป็นประจําและอัปเดตอัตราค่าคอมมิชชันตามความจําเป็นเพื่อให้ ROAS และปริมาณการเข้าชมสมดุลกัน

การปรับยอดอย่างสม่ำเสมอ: การจองทั้งหมดต้องปรับยอดภายใน 45 วันนับจากวันที่เช็คเอาต์ ตรวจสอบแท็บ "ค่าคอมมิชชัน" ใน Google Ads ทุกเดือนเพื่อให้แน่ใจว่าได้อัปเดตสถานะของการจองทุกรายการที่พ้นวันที่เช็คเอาต์แล้ว ระบบจะไม่เรียกเก็บเงินจากคุณจนกว่าจะถึง 45 วันหลังการเช็คเอาต์ไม่ว่าคุณจะปรับยอดเมื่อใดก็ตาม เราขอแนะนําให้ปรับยอดโดยเร็วที่สุดหลังสถานะการจองได้รับการยืนยัน เพื่อให้รูปแบบการเสนอราคาได้รับข้อมูลทันเวลาและคุณมีเวลาเพียงพอที่จะแก้ไขข้อผิดพลาดก่อนระบบสรุปการเรียกเก็บเงิน

การแก้ไขมูลค่าการจอง: อาจมีกรณีที่การจองเปลี่ยนแปลงและทําให้มูลค่าการจองเปลี่ยนไป ในกรณีที่มูลค่าการจองเมื่อเกิด Conversion แตกต่างจากมูลค่าเมื่อเช็คเอาต์ ให้ใช้มูลค่าการจองเมื่อเช็คเอาต์ในรายงานการปรับยอด นี่เป็นการตอบสนองที่คาดไว้ไม่ว่ามูลค่าการจองจะสูงกว่าหรือต่ำกว่ามูลค่าการจองขณะเกิด Conversion

ให้เวลาและเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญ: ปล่อยให้แต่ละแคมเปญทำงานอย่างน้อย 7 วันก่อนที่จะประเมินประสิทธิภาพและทำการเปลี่ยนแปลงใดๆ พยายามอย่าทำการเปลี่ยนแปลงบ่อยหรือทำการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในขณะที่แคมเปญทำงาน (เช่น เริ่มและหยุดแคมเปญทุกวัน) เพื่อไม่ให้ประสิทธิภาพผันผวน

คำถามที่พบบ่อย

ค่าคอมมิชชัน (ต่อการเข้าพัก) ต่างจากค่าคอมมิชชัน (ต่อ Conversion) อย่างไร

มีความแตกต่างที่สำคัญ 2 ประการ ต่อไปนี้
  • เมื่อใช้ค่าคอมมิชชัน (ต่อ Conversion) คุณไม่จําเป็นต้องปรับยอดการเข้าพัก หากคิดว่าการปรับยอดยุ่งยากเกินไป ค่าคอมมิชชัน (ต่อ Conversion) อาจเป็นกลยุทธ์การเสนอราคาที่เหมาะกับคุณมากกว่า
  • เมื่อใช้ค่าคอมมิชชัน (ต่อ Conversion) ระบบจะเรียกเก็บอัตราค่าคอมมิชชันสำหรับ Conversion (การจอง) ไม่ใช่การเข้าพัก หากคุณกังวลเรื่องอัตราการยกเลิกสูงหรือคาดเดาไม่ได้ ค่าคอมมิชชัน (ต่อการเข้าพัก) อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะกับคุณมากกว่า

มีการปรับราคาเสนอแบบใดที่ใช้ได้กับค่าคอมมิชชัน (ต่อการเข้าพัก) ไหม

ขณะนี้ใช้ได้เพียงการปรับราคาเสนอสำหรับอุปกรณ์ที่ตั้งค่าเป็น -100% คุณกำหนดเป้าหมายระดับประเทศของแคมเปญแยกกันได้

ทำไมลิงก์การจองในโฆษณาโรงแรมของฉันจึงไม่แสดงในตำแหน่งที่สูงกว่านี้

ตำแหน่งโฆษณาจะขึ้นอยู่กับ (บางส่วน) ราคาเสนอของคุณเทียบกับราคาเสนอที่แข่งขันในการประมูลเดียวกัน เช่นเดียวกับกลยุทธ์การเสนอราคาอื่นๆ หากมีผู้ลงโฆษณาจำนวนมากเสนอราคาเพื่อให้ได้แสดงในโฆษณาโรงแรมสำหรับที่พักยอดนิยม ราคาเสนอของคุณอาจมีความสามารถในการแข่งขันไม่เพียงพอที่จะได้อยู่ในอันดับสูงกว่าผู้เข้าร่วมการประมูลรายอื่นๆ และลิงก์การจองในโฆษณาโรงแรมอาจอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำกว่าหรืออาจไม่แสดงเลย ให้ลองเพิ่มอัตราคอมมิชชันหากต้องการเพิ่มอันดับ โปรดทราบว่าการเรียกเก็บเงินจะเกิดขึ้นเมื่อการเข้าพักสมบูรณ์เท่านั้น ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่ Google จัดอันดับโฆษณา

แคมเปญค่าคอมมิชชัน (ต่อการเข้าพัก) มีการเรียกเก็บเงินอย่างไร

ระบบจะเรียกเก็บเงินสำหรับแคมเปญค่าคอมมิชชัน (ต่อการเข้าพัก) หลังผ่านไป 45 วันนับจากวันที่เช็คเอาต์ของการเข้าพักแต่ละรายการในแท็บ "ค่าคอมมิชชัน" และบัญชีที่มีการจองที่ไม่ได้ทําเครื่องหมายว่ายกเลิกหลังผ่านไป 45 วันจะถูกเรียกเก็บเงินโดยอัตโนมัติโดยถือว่าเป็นการเข้าพักที่สมบูรณ์

ฉันจะประเมินประสิทธิภาพของแคมเปญได้อย่างไร

แคมเปญกลยุทธ์การเสนอราคาแบบคอมมิชชัน (ต่อการเข้าพัก) มีการรับประกัน ROAS หลังการยกเลิกเสมอ หากตั้งอัตราค่าคอมมิชชันไว้ที่ 10% คุณจะจ่ายเพียง 10% ของการเข้าพักที่สมบูรณ์ไม่ว่าในกรณีใด ดังนั้น ROAS หลังการยกเลิกจะเป็น 1/10% = 10 เสมอ (กล่าวคือคุณได้รับมูลค่าการจอง 300 บาทสําหรับทุก 30 บาทที่จ่ายเป็นค่าโฆษณา) หากต้องการเปรียบเทียบแคมเปญค่าคอมมิชชัน (ต่อการเข้าพัก) กับแคมเปญ CPC คุณควรตรวจสอบว่า ROAS นั้นเปรียบเทียบกันได้ เช่น
  • สมมติว่าคุณมีแคมเปญ CPC และแคมเปญค่าคอมมิชชัน (ต่อการเข้าพัก) ที่ทํางานโดยมีการตั้งค่าและประสิทธิภาพดังต่อไปนี้ รวมถึงมีอัตราการยกเลิกเฉลี่ย 20% และมูลค่าการจองเฉลี่ย 3,000 บาทสําหรับทั้ง 2 แคมเปญ
    • แคมเปญค่าคอมมิชชัน (ต่อการเข้าพัก)
      • อัตราค่าคอมมิชชัน 10%
      • การแสดงผลรายวัน 1,000 ครั้ง
    • แคมเปญ CPC
      • CPC เฉลี่ย 24 บาท
      • CVR เฉลี่ย 5%
      • การแสดงผลรายวัน 1,200 ครั้ง
    • แคมเปญกลยุทธ์การเสนอราคาแบบคอมมิชชัน (ต่อการเข้าพัก) มี ROAS ก่อนการยกเลิกอยู่ที่ (1/10%)/(1-20%) = 12.5 กล่าวคือ คุณจะได้รับ 375 บาทสําหรับทุก 30 บาทที่ใช้จ่ายไปกับแคมเปญค่าคอมมิชชัน (ต่อการเข้าพัก) ก่อนการยกเลิก
    • ในทางตรงกันข้าม แคมเปญ CPC มี ROAS ก่อนการยกเลิกเท่ากับ (5%)*(3,000 บาท)/(24 บาท) = 187.5 ซึ่งหมายความว่าแคมเปญ CPC จะได้รับการแสดงผลมากกว่าแคมเปญค่าคอมมิชชัน (ต่อการเข้าพัก) แต่ให้ ROAS ที่ต่ำกว่า
    • เพื่อการเปรียบเทียบอย่างเป็นธรรม คุณควรตรวจสอบว่า ROAS ของทั้ง 2 แคมเปญเท่ากันก่อนที่จะเปรียบเทียบปริมาณรวม (การแสดงผล การคลิก และ Conversion) ในตัวอย่างนี้ คุณสามารถเพิ่มค่าคอมมิชชันเป็น (1-20%)/187.5 = 12.8% เพื่อทําการเปรียบเทียบที่มีความหมาย

ลิงก์การจองแบบไม่เสียค่าใช้จ่ายโต้ตอบกับแคมเปญค่าคอมมิชชัน (ต่อการเข้าพัก) อย่างไร

แคมเปญโรงแรมใช้การระบุแหล่งที่มาจากการคลิกโฆษณาครั้งล่าสุดสําหรับการรายงาน Conversion หากผู้ใช้โต้ตอบกับผลการค้นหาทั่วไปหรือลิงก์การจองแบบไม่เสียค่าใช้จ่ายก่อนที่จะทำ Conversion การดำเนินการดังกล่าวจะไม่รวมอยู่ในเส้นทางการระบุแหล่งที่มาของ Google Ads นอกจากนี้ หากผู้ใช้โต้ตอบกับโฆษณาโรงแรม และโต้ตอบกับผลการค้นหาทั่วไปหรือลิงก์การจองแบบไม่เสียค่าใช้จ่าย และทํา Conversion ภายในกรอบเวลา Conversion แล้ว Conversion ก็จะแสดงในการรายงานค่าคอมมิชชันของ Google Ads

ระบบรายงานค่าคอมมิชชันสําหรับจํานวนคลิกของโรงแรมหลายรายการอย่างไร

ระบบจะรายงานค่าคอมมิชชัน (และ Conversion) ผ่านการรายงานค่าคอมมิชชันของ Google Ads เช่น หากผู้ใช้คลิกโรงแรม A แล้วทํา Conversion ภายในกรอบเวลา Conversion กับโรงแรม B Google จะให้เครดิตการแสดงผลหรือการคลิกกับโรงแรม A อย่างไรก็ตาม Conversion จากการคลิกของผู้ใช้จะได้รับเครดิตและรายงานไปยังโรงแรม B ที่มีอัตราค่าคอมมิชชันของโรงแรม A

วิธีรายงานค่าใช้จ่าย Conversion จากหลายอุปกรณ์สําหรับแคมเปญค่าคอมมิชชัน

เมื่อดูรายงานที่ระดับแคมเปญหรือกลุ่มโฆษณา Conversion จากหลายอุปกรณ์จะเป็นส่วนหนึ่งของค่าใช้จ่ายที่รายงานทั้งหมด อย่างไรก็ตาม การดูตามรหัสโรงแรมจะไม่รวมค่าใช้จ่าย Conversion จากหลายอุปกรณ์ หากต้องการคํานวณค่าใช้จ่ายที่มาจาก Conversion จากหลายอุปกรณ์ คุณสามารถเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายโดยรวมของแคมเปญกับผลรวมของค่าใช้จ่ายตามรหัสโรงแรมได้ ตัวอย่างเช่น หากแคมเปญ A มีค่าใช้จ่ายทั้งหมด 30,000 บาทสําหรับเมื่อวาน และเมื่อดูตามรหัสโรงแรม คุณเห็นค่าใช้จ่ายรวม 28,500 บาท ดังนั้น 1,500 บาทที่เหลือจะมาจาก Conversion จากหลายอุปกรณ์

ลิงก์ที่เกี่ยวข้อง

ข้อมูลนี้มีประโยชน์ไหม

เราจะปรับปรุงได้อย่างไร
true
บรรลุเป้าหมายทางการตลาดด้วย Google Ads

Google Ads ช่วยให้คุณทำการตลาดออนไลน์ได้มีประสิทธิภาพสูงสุดด้วยเครื่องมือต่างๆ ที่จะนำความสำเร็จมาให้คุณ ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องราวความสําเร็จ เพื่อศึกษาว่าธุรกิจอื่นๆ ใช้แคมเปญที่เหมาะสมเพื่อการบรรลุเป้าหมายใดบ้าง

เริ่มต้นใช้งาน

หรือโทร 1-855-500-2754 เพื่อเริ่มต้นใช้งาน

ค้นหา
ล้างการค้นหา
ปิดการค้นหา
เมนูหลัก
1071749144139257975
true
ค้นหาศูนย์ช่วยเหลือ
true
true
true
true
true
73067
false
false
false