สร้างแคมเปญวิดีโอ

หมายเหตุ: เนื่องจาก Google ปรับปรุงกระบวนการเริ่มต้นใช้งานของผู้ใช้ใหม่ ผู้ใช้ Google Ads รายใหม่จึงอาจได้พบขั้นตอนการทํางานที่ผ่านการอัปเดตแล้ว เนื้อหาด้านล่างนี้เกี่ยวข้องกับผู้ใช้ Google Ads ที่สร้างและเข้าสู่ระบบบัญชี Google Ads ของตนอยู่แล้ว หน้านี้จะมีการอัปเดตข้อมูลเพิ่มเติมในปี 2023
แคมเปญวิดีโอช่วยให้คุณเข้าถึงและสร้างการมีส่วนร่วมกับกลุ่มเป้าหมายใน YouTube, Google TV และผ่านพาร์ทเนอร์วิดีโอของ Google เมื่อสร้างแคมเปญวิดีโอ คุณสามารถเลือกเป้าหมายแคมเปญ ประเภทย่อยของแคมเปญ และรูปแบบโฆษณาต่างๆ เพื่อให้ผู้ใช้ทราบเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และบริการและกระตุ้นให้ดําเนินการ

สิ่งที่คุณจะได้เรียนรู้

แคมเปญวิดีโอที่ประสบความสําเร็จควรมีการกําหนดเป้าหมาย การเสนอราคา งบประมาณ และโฆษณาที่เหมาะสมเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย บทความนี้จะแนะนําขั้นตอนการสร้างแคมเปญวิดีโอ

  1. เลือกเป้าหมาย
  2. ใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ
  3. เข้าถึงผู้ที่ค้นหาแบรนด์หรือธุรกิจของคุณ
  4. จัดระเบียบโฆษณาโดยใช้กลุ่มโฆษณา
  5. สร้างโฆษณาที่เกี่ยวข้อง

เพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญระหว่างที่สร้าง

ขณะสร้างแคมเปญ คุณอาจได้รับการแจ้งเตือนตามการตั้งค่าที่เลือก ซึ่งแจ้งให้คุณทราบถึงปัญหาที่อาจทําให้ประสิทธิภาพลดลงหรืออาจมีความร้ายแรงมากพอที่จะทําให้ไม่สามารถเผยแพร่แคมเปญได้

เมนูการนําทางสำหรับสร้างแคมเปญซึ่งปรากฏขึ้นขณะที่คุณสร้างแคมเปญแสดงภาพรวมของความคืบหน้าในการสร้าง และแสดงการแจ้งเตือนที่คุณอาจต้องจัดการ เลื่อนไปมาระหว่างขั้นตอนต่างๆ ในเมนูการนําทางเพื่อตรวจสอบและแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นเกี่ยวกับการกําหนดเป้าหมาย การเสนอราคา งบประมาณ หรือการตั้งค่าแคมเปญอื่นๆ อย่างง่ายดาย ดูวิธีสร้างแคมเปญให้ประสบความสําเร็จ


วิธีการ


ปุ่มเล่น 

วิดีโอนี้ส่งโดยผู้ร่วมให้ข้อมูลวิดีโอของ Google Ads ซึ่งเป็นบุคคลที่สาม Google ไม่ได้รับรองผลิตภัณฑ์หรือบริการที่อาจโปรโมตในวิดีโอนี้ คลิกที่นี่เพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรแกรมนี้

สําหรับคําบรรยายในภาษาของคุณ ให้เปิดคำบรรยายวิดีโอใน YouTube เลือกไอคอนการตั้งค่า รูปภาพไอคอนการตั้งค่า YouTube ท้ายวิดีโอเพลเยอร์ จากนั้นเลือก "คําบรรยาย" แล้วเลือกภาษา


ขั้นตอนที่ 1 จาก 5: เลือกเป้าหมาย

เมื่อสร้างแคมเปญวิดีโอใหม่ในบัญชี Google Ads คุณจะต้องเลือกเป้าหมายแคมเปญ ได้แก่ ยอดขาย โอกาสในการขาย การเข้าชมเว็บไซต์ รวมถึงการรับรู้และการพิจารณา

เป้าหมายที่เลือกควรสอดคล้องกับเป้าหมายที่ต้องการบรรลุจากแคมเปญ ตัวอย่างเช่น หากต้องการกระตุ้นให้ผู้ใช้เข้าชมเว็บไซต์ ให้เลือกการเข้าชมเว็บไซต์ ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเป้าหมายแคมเปญวิดีโอ

เป้าหมายที่เลือกเป็นตัวกําหนดประเภทย่อยของแคมเปญที่จะเลือกได้ด้วย ส่วนประเภทย่อยของแคมเปญเป็นตัวกําหนดรูปแบบโฆษณาที่สามารถใช้ในแคมเปญเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญให้บรรลุเป้าหมาย ตัวอย่างเช่น หากเป้าหมายโดยรวมคือการดึงดูดให้ผู้ใช้เข้าชมเว็บไซต์และกระตุ้นให้ซื้อ คุณก็เลือกประเภทย่อยของแคมเปญเป็นกระตุ้น Conversion

หมายเหตุ: เราได้รวมวัตถุประสงค์ของแคมเปญการพิจารณาผลิตภัณฑ์และแบรนด์เข้ากับการรับรู้ถึงแบรนด์และการเข้าถึงแล้ว ตอนนี้คุณจึงจะเห็นประเภทย่อยของแคมเปญเดียวกันทั้งหมดจากวัตถุประสงค์ทั้ง 2 ข้อในส่วนการรับรู้และการพิจารณา การผสานรวมนี้ช่วยลดความซับซ้อนในการเลือกเป้าหมายของผู้ลงโฆษณาและเสนอศูนย์กลางสำหรับประเภทย่อยทั้งหมดสำหรับแคมเปญของแบรนด์

บทความนี้ไม่กล่าวถึงแคมเปญโฆษณา YouTube Masthead ที่ใช้ CPM ซึ่งจะใช้งานใน Google Ads ได้โดยตรงหลังจากที่คุณขอให้ตัวแทนของ Google เปิดใช้งาน ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีสร้างแคมเปญ YouTube Masthead ที่ใช้ CPM

วัตถุประสงค์ของแคมเปญ ต้องตั้งค่า Conversion ของบัญชีไหม แคมเปญประเภทย่อยและย่อยลงไปอีก รูปแบบโฆษณาที่ใช้ได้ กลยุทธ์การเสนอราคาที่ใช้ได้
      ในสตรีมแบบข้ามได้ ในฟีด

ในสตรีมแบบข้ามไม่ได้

บัมเปอร์ นอกสตรีม  
ยอดขาย/โอกาสในการขาย/การเข้าชมเว็บไซต์ ใช่ กระตุ้น Conversion ใช่ ยืนยันแล้ว     ใช่ ยืนยันแล้ว

จํานวน Conversion สูงสุดหรือ tCPA

*ROAS เป้าหมายและมูลค่า Conversion สูงสุดจะพร้อมใช้งานหลังจากที่มี Conversion เพียงพอ

การพิจารณาผลิตภัณฑ์และแบรนด์ ไม่ใช่ รับยอดดู (เดิมเรียกว่า "สร้างอิทธิพลต่อการพิจารณา") ใช่ ยืนยันแล้ว ใช่ ยืนยันแล้ว       CPV สูงสุด
ลำดับโฆษณา ใช่ ยืนยันแล้ว   ใช่ ยืนยันแล้ว ใช่ ยืนยันแล้ว   CPV สูงสุดหรือ tCPM
การรับรู้ถึงแบรนด์และการเข้าถึง ไม่ใช่ ลำดับโฆษณา ใช่ ยืนยันแล้ว   ใช่ ยืนยันแล้ว ใช่ ยืนยันแล้ว  
CPV สูงสุดหรือ tCPM
นอกสตรีม (ในรายการที่อนุญาต)         ใช่ ยืนยันแล้ว vCPM
การเข้าถึงของวิดีโอ - การเข้าถึงที่มีประสิทธิภาพ ใช่ ยืนยันแล้ว     ใช่ ยืนยันแล้ว   tCPM
การเข้าถึงของวิดีโอ - ในสตรีมแบบข้ามไม่ได้      ใช่ ยืนยันแล้ว     tCPM
การเข้าถึงของวิดีโอ - ความถี่เป้าหมายที่ต้องการ ใช่ ยืนยันแล้ว   ใช่ ยืนยันแล้ว ใช่ ยืนยันแล้ว   tCPM
ในสตรีมแบบข้ามได้ ในฟีด ในสตรีมแบบข้ามไม่ได้ บัมเปอร์ นอกสตรีม
รูปภาพของโฆษณาในสตรีมแบบข้ามได้ รูปภาพของโฆษณา Video Discovery รูปภาพของโฆษณาในสตรีมแบบข้ามไม่ได้ รูปภาพของโฆษณาบัมเปอร์ รูปภาพของโฆษณานอกสตรีม
วิดีโอยาวไม่เกิน 3 นาที ไม่จำกัดความยาววิดีโอ สูงสุด 15-20 วินาที สูงสุด 6 วินาที ไม่จำกัดความยาววิดีโอ
รายงานยอดดู รายงานยอดดู ไม่มีรายงานยอดดูวิดีโอจากสปอนเซอร์ ไม่มีรายงานยอดดูวิดีโอจากสปอนเซอร์ รายงานยอดดู

สร้างแคมเปญใหม่และตั้งเป้าหมาย

หมายเหตุ: วิธีการด้านล่างเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ของผู้ใช้ Google Ads ที่ได้รับการออกแบบใหม่ หากต้องการใช้การออกแบบก่อนหน้า ให้คลิกไอคอน "ลักษณะที่ปรากฏ" แล้วเลือกใช้การออกแบบก่อนหน้า หากคุณใช้ Google Ads เวอร์ชันก่อนหน้าอยู่ ให้ดูแผนที่อ้างอิงฉบับย่อ หรือใช้แถบค้นหาในแผงการนำทางด้านบนของ Google Ads เพื่อค้นหาหน้าเว็บที่ต้องการ
  1. ในบัญชี Google Ads ให้คลิกไอคอนแคมเปญ Campaigns Icon
  2. คลิกเมนูแบบเลื่อนลงแคมเปญในเมนู "ส่วน"
  3. คลิกแคมเปญ
  4. คลิกไอคอนบวก แล้วเลือกแคมเปญใหม่
  5. เลือกเป้าหมายแคมเปญ ได้แก่ ยอดขาย โอกาสในการขาย การเข้าชมเว็บไซต์ หรือการรับรู้และการพิจารณา
    • เป้าหมายที่เลือกเป็นตัวกําหนดแคมเปญประเภทย่อยที่ใช้ได้
    • หากคุณไม่มีเป้าหมายแคมเปญในใจ ให้เลือกสร้างแคมเปญโดยไม่มีคำแนะนำของเป้าหมาย
  6. ในส่วน "เลือกประเภทแคมเปญ" ให้เลือกวิดีโอ
  7. ในส่วน "เลือกประเภทย่อยของแคมเปญ" ให้เลือกประเภทย่อยของแคมเปญ ประเภทย่อยแต่ละประเภทช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายการโฆษณาที่ต้องการได้ดังนี้
    • เพิ่มจํานวน Conversion: เพิ่มยอดขายและโอกาสในการขายด้วยโฆษณาและการกําหนดเป้าหมายที่มุ่งเน้นการดำเนินการ
    • แคมเปญวิดีโอที่กําหนดเอง: ปรับแต่งการตั้งค่าด้วยโฆษณาประเภทต่างๆ
    • แคมเปญเพื่อการเข้าถึงแบบวิดีโอ: ใช้งบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุด ในแคมเปญประเภทย่อยนี้ คุณสามารถเลือกเข้าถึงผู้ใช้ที่ไม่ซ้ำจำนวนมากขึ้นโดยใช้โฆษณาบัมเปอร์ โฆษณาในสตรีมแบบข้ามได้ หรือทั้ง 2 รูปแบบ ซึ่งเรียกว่าการเข้าถึงที่มีประสิทธิภาพ หรือเลือกเข้าถึงผู้ใช้ด้วยข้อความทั้งหมดโดยใช้โฆษณาในสตรีมแบบข้ามไม่ได้
      • สำหรับแคมเปญการเข้าถึงที่มีประสิทธิภาพ แคมเปญโฆษณาในสตรีมแบบข้ามไม่ได้ และแคมเปญ Masthead คุณสามารถเลือกวิธีซื้อโฆษณาได้โดยเลือกระหว่างการประมูลหรือการจอง
    • รับยอดดู: กระตุ้นให้ผู้ใช้พิจารณาผลิตภัณฑ์ด้วยโฆษณา
    • นอกสตรีม: ปรับแต่งโฆษณาให้เหมาะกับโทรศัพท์และแท็บเล็ต
    • ลําดับโฆษณา: บอกเล่าเรื่องราวด้วยชุดโฆษณาตามลําดับ
    • Shopping: โปรโมตผลิตภัณฑ์และดึงดูดให้ผู้ใช้เลือกซื้อในเว็บไซต์ของคุณ
  8. คลิกต่อไป

เรากําลังจะหยุดให้บริการ "แคมเปญวิดีโอที่กําหนดเอง" ในเร็วๆ นี้ ประเภทย่อยของแคมเปญจะแบ่งออกเป็น "รับยอดดู" และ "การเข้าถึงที่มีประสิทธิภาพ"

เราแนะนําให้ใช้ "รับยอดดู" สำหรับผู้ลงโฆษณาวิดีโอที่ต้องการได้การมีส่วนร่วมมากขึ้นจากแคมเปญ เมื่อใช้กลยุทธ์การเสนอราคาแบบต้นทุนต่อการดูสูงสุด (CPV สูงสุด) คุณจะสามารถกําหนดจํานวนเงินที่ต้องการจ่ายเมื่อมีผู้ดูโฆษณาวิดีโอ

เราแนะนําให้ใช้ "การเข้าถึงที่มีประสิทธิภาพ" สําหรับผู้ลงโฆษณาวิดีโอที่ต้องการเข้าถึงผู้คนให้ได้จำนวนมากที่สุด เมื่อใช้กลยุทธ์การเสนอราคาแบบต้นทุนต่อการแสดงผลพันครั้งที่ตั้งไว้ (CPM เป้าหมาย) คุณจะสามารถกําหนดจํานวนเงินที่ต้องการจ่ายสําหรับการแสดงโฆษณาวิดีโอทุกๆ 1,000 ครั้ง

ขั้นตอนที่ 2 จาก 5: ใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ

งบประมาณมีผลต่อความถี่และระดับความโดดเด่นที่โฆษณาจะแสดง

การเสนอราคาเป็นตัวกําหนดการใช้งบประมาณ คุณเลือกได้ว่าจะจ่ายเงินเพื่อให้ผู้ใช้เห็นโฆษณา คลิกโฆษณา หรือทำ Conversion ในเว็บไซต์ ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับงบประมาณแคมเปญและการเสนอราคา

กำหนดกลยุทธ์การเสนอราคาและงบประมาณ

  CPV (ต้นทุนต่อการดู) CPM (ต้นทุนต่อการแสดงผลพันครั้ง) vCPM (ต้นทุนต่อการแสดงผลที่มองเห็นได้พันครั้ง) CPA (ต้นทุนต่อการกระทำหนึ่งครั้ง) เป้าหมาย ROAS (ผลตอบแทนจากค่าโฆษณา) เป้าหมาย เพิ่มจำนวน Conversion สูงสุด เพิ่มมูลค่า Conversion สูงสุด การเสนอราคา CPC ด้วยตนเอง ต้นทุนต่อคลิกที่ปรับแล้ว (ECPC) เพิ่มจำนวนคลิกสูงสุด
ใช้กับวิดีโอได้ไหม ได้ ใช้ได้ ใช้ได้ ใช้ได้ ใช้ได้ ใช้ได้ ใช้ได้ ไม่ได้ ไม่ได้ ไม่ได้
ต้องใช้ Conversion ไหม ไม่ ไม่ได้ ไม่ได้ ได้ ใช้ได้ ใช้ได้ ใช้ได้ ไม่ได้ ไม่ได้ ไม่
เป็นแบบกำหนดเองหรืออัตโนมัติ กำหนดเอง กำหนดเอง กำหนดเอง อัตโนมัติ อัตโนมัติ อัตโนมัติ อัตโนมัติ กำหนดเอง อัตโนมัติ อัตโนมัติ
วิธีเรียกเก็บเงิน ต่อการดู ต่อการแสดงผล 1,000 ครั้ง ต่อการแสดงผลที่มองเห็นได้ 1,000 ครั้ง ต่อการแสดงผล 1,000 ครั้ง ต่อการแสดงผล 1,000 ครั้ง ต่อการแสดงผล 1,000 ครั้ง ต่อการแสดงผล 1,000 ครั้ง ต่อคลิก ต่อคลิก ต่อคลิก
เพิ่มประสิทธิภาพเพื่อวัตถุประสงค์ใด ไม่มี - กำหนดเอง ไม่มี - กำหนดเอง ไม่มี - กำหนดเอง Conversion ตามเป้าหมาย ผลตอบแทนจากค่าโฆษณา Conversion มูลค่า Conversion ไม่มี - กำหนดเอง การคลิก การคลิก
  1. เลือกกลยุทธ์การเสนอราคา กลยุทธ์การเสนอราคาเป็นวิธีเพิ่มประสิทธิภาพราคาเสนอเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการโฆษณา
    ตัวอย่างเช่น กลยุทธ์การเสนอราคาช่วยให้เราทราบว่าเป้าหมายของคุณคือได้รับการดู (CPV), การแสดงผล (CPM), Conversion สูงที่สุดโดยอยู่ในต้นทุนต่อการดำเนินการ (CPA) เป้าหมายที่ตั้งไว้ หรือ Conversion สูงที่สุดโดยอยู่ภายในงบประมาณของคุณ
  2. ป้อนงบประมาณ คุณจะเลือกงบประมาณทั้งหมดของแคมเปญ (จํานวนเงินที่ต้องการใช้จ่ายสําหรับทั้งแคมเปญ) หรืองบประมาณรายวัน (จํานวนเงินเฉลี่ยที่ต้องการใช้จ่ายในแต่ละวัน) ก็ได้

    งบประมาณทั้งหมดของแคมเปญ

    Google Ads จะพยายามใช้งบประมาณให้เท่าๆ กันตลอดระยะเวลาของแคมเปญโดยคำนึงถึงวันที่มีจำนวนการเข้าชมแตกต่างกันไปเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญ เราจะเรียกเก็บเงินตามจำนวนที่คุณป้อนสำหรับแคมเปญเท่านั้น แม้ว่า Google Ads จะสร้างยอดดูหรือการแสดงผลเกินกว่างบประมาณที่ตั้งไว้

     

    งบประมาณรายวัน

    คุณอาจใช้จ่ายมากขึ้นในวันที่มีโอกาสได้รับคลิกและ Conversion แต่ระบบจะเฉลี่ยงบประมาณตลอดทั้งเดือนให้เท่ากับจำนวนที่คุณระบุไว้ใน Google Ads

  3. กําหนดวันที่เริ่มต้นและวันที่สิ้นสุดให้กับแคมเปญ ซึ่งจําเป็นในกรณีที่ใช้งบประมาณรวมของแคมเปญ

หากแคมเปญใช้งบประมาณจนหมด ไม่ว่าเป็นเพราะถึงขีดจํากัดต่อวัน (สําหรับงบประมาณรายวัน) หรือถึงงบประมาณเฉลี่ยต่อวัน (สําหรับงบประมาณรวมของแคมเปญ) ให้พิจารณาเพิ่มงบประมาณเพื่อปรับขนาดให้ประสบความสำเร็จ แต่หากไม่บรรลุเป้าหมาย ให้ลองปรับการกําหนดเป้าหมาย การเสนอราคา และโฆษณาเพื่อดูว่าแคมเปญมีประสิทธิภาพดีขึ้นหรือไม่

ขั้นตอนที่ 3 จาก 5: เข้าถึงผู้ที่ค้นหาแบรนด์หรือธุรกิจของคุณ

ในแคมเปญ คุณเข้าถึงผู้ที่อยู่ในสถานที่หนึ่งๆ ใช้ภาษาที่ระบุ หรือมีความสนใจที่เจาะจงโดยใช้การกําหนดเป้าหมายแคมเปญได้ นอกจากนี้ Google Ads ยังให้คุณเพิ่มการยกเว้นเนื้อหาในแคมเปญเพื่อไม่ให้โฆษณาแสดงใกล้กับเนื้อหาที่ละเอียดอ่อนด้วย ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการกำหนดเป้าหมายในแคมเปญวิดีโอ

ตั้งค่าการกําหนดเป้าหมายแคมเปญ

ตอนนี้แคมเปญวิดีโอทั้งหมดแสดงโฆษณาทั้งในวิดีโอ YouTube และเครือข่าย YouTube Search เพื่อช่วยขยายการเข้าถึงของคุณและได้รับผู้มีโอกาสเป็นลูกค้า
  1. เลือกเครือข่ายที่ต้องการให้โฆษณาทํางาน หรือก็คือตำแหน่งที่โฆษณาจะแสดง ซึ่งได้แก่

    พาร์ทเนอร์วิดีโอในเครือข่าย Display

    โฆษณาจะปรากฏได้ในเว็บไซต์และแอปในเครือข่าย Display หรือที่รู้จักกันในชื่อพาร์ทเนอร์วิดีโอของ Google เราขอแนะนําให้เลือกตัวเลือกนี้ไว้ เนื่องจากจะช่วยให้คุณขยายการเข้าถึงไปนอก YouTube

    YouTube

    YouTube จะแสดงโฆษณาในพร็อพเพอร์ตี้ต่างๆ เช่น ผลการค้นหา, วิดีโอ YouTube, หน้าช่อง และหน้าแรกของ YouTube

    Google TV

    Google TV แสดงโฆษณาในช่องของ Google TV และแอปสตรีมมิงวิดีโอยอดนิยมบนแพลตฟอร์ม Google TV ปัจจุบันเครือข่าย Google TV มีให้บริการในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น

  2. เลือกค่ากําหนดภาษาสําหรับโฆษณา โฆษณาจะแสดงต่อผู้ที่ดู Google TV หรือเข้าชมเว็บไซต์และแอปที่ให้บริการเป็นภาษาที่คุณเลือก ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการกำหนดภาษาเป้าหมาย
  3. เลือกสถานที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของผู้ใช้ที่จะเห็นโฆษณา ดูวิธีกำหนดเป้าหมายโฆษณาตามสถานที่ตั้งทางภูมิศาสตร์
  4. เลือกการตั้งค่าการยกเว้นเนื้อหา ซึ่งช่วยให้คุณเลือกไม่แสดงแคมเปญพร้อมกับเนื้อหาที่อาจไม่เหมาะกับแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์ของคุณ

    ประเภทพื้นที่โฆษณา

    ประเภทพื้นที่โฆษณาช่วยให้คุณเลือกไม่ใช้กลุ่มเนื้อหาที่ละเอียดอ่อนซึ่งไม่สอดคล้องกับแบรนด์หรือสารที่แคมเปญต้องการสื่อ ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการยกเว้นเนื้อหาในแคมเปญวิดีโอ

    ประเภทและป้ายกำกับที่ยกเว้น

    เลือกประเภทเนื้อหาและป้ายกํากับเนื้อหาดิจิทัลที่ต้องการยกเว้นในแคมเปญวิดีโอ เช่น คุณยกเว้นโฆษณาไม่ให้แสดงข้างวิดีโอสตรีมมิงแบบสดหรือเนื้อหาที่มีป้ายกํากับสําหรับผู้ชมที่เป็นผู้ใหญ่ได้ ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการยกเว้นเนื้อหาในแคมเปญวิดีโอ

  5. (ไม่บังคับ) คลิกการตั้งค่าเพิ่มเติมเพื่อตั้งค่าการกําหนดเป้าหมายเฉพาะอุปกรณ์ จํากัดความถี่ที่โฆษณาแสดงต่อผู้ใช้ หรือกำหนดช่วงเวลาที่โฆษณาทำงาน

    การกำหนดอุปกรณ์เป้าหมาย

    การกําหนดอุปกรณ์เป้าหมายจะจํากัดการเข้าถึงให้แคบลงเพื่อกําหนดเป้าหมายไปที่อุปกรณ์ที่เฉพาะเจาะจง อุปกรณ์ที่คุณสามารถกําหนดเป้าหมายได้ประกอบด้วยคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์เคลื่อนที่ แท็บเล็ต และหน้าจอทีวี ดูข้อมูลเพิ่มเติมเเกี่ยวกับการกำหนดอุปกรณ์เป้าหมาย

หลังจากตั้งค่าการกําหนดเป้าหมายแคมเปญแล้ว คุณจะตั้งค่าการกําหนดเป้าหมายกลุ่มโฆษณา

ขั้นตอนที่ 4 จาก 5: จัดระเบียบโฆษณาโดยใช้กลุ่มโฆษณา

คุณสามารถสร้างกลุ่มโฆษณาเพื่อจัดระเบียบโฆษณาตามธีมที่คล้ายกันได้ เช่น หากขายของหวาน เครื่องดื่ม และขนมในเว็บไซต์ คุณสามารถสร้างกลุ่มโฆษณา 1 กลุ่มสําหรับผลิตภัณฑ์แต่ละหมวดหมู่ได้ (สําหรับกลุ่มโฆษณาทั้งหมด 3 กลุ่ม) กลุ่มโฆษณาช่วยให้คุณปรับแต่งการกําหนดเป้าหมายเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการได้ดียิ่งขึ้น

  1. กําหนดกลุ่มเป้าหมายที่คุณต้องการเข้าถึงด้วยโฆษณา โดยเลือกจากรายการต่อไปนี้
  2. จํากัดการกําหนดเป้าหมายให้แคบลงโดยเพิ่มคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง หัวข้อ และตําแหน่ง หลีกเลี่ยงการเพิ่มคีย์เวิร์ด หัวข้อ หรือตําแหน่งมากเกินไป เนื่องจากอาจทําให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายไม่ได้

เมื่อตั้งค่าการกําหนดเป้าหมายแล้ว คุณก็เริ่มสร้างโฆษณาได้

ขั้นตอนที่ 5 จาก 5: สร้างโฆษณาที่เกี่ยวข้อง

เมื่อสร้างโฆษณา ให้เน้นที่การเขียนบรรทัดแรก คำกระตุ้นให้ดำเนินการ หรือฟีเจอร์ครีเอทีฟโฆษณาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้ผู้ชมดําเนินการ คุณสามารถสร้างโฆษณาได้หลายรายการ (ไม่เกิน 30 รายการ) เมื่อสร้างแคมเปญ และสร้างวิดีโอในไลบรารีชิ้นงานได้โดยใช้เทมเพลตที่กําหนดไว้ล่วงหน้า หรือเลือกวิดีโอที่คุณอัปโหลดไปยัง YouTube

สร้างวิดีโอโดยใช้คลังชิ้นงาน

Google Ads Tutorials: Video creation in Google Ads

สําหรับคําบรรยายในภาษาของคุณ ให้เปิดคำบรรยายวิดีโอใน YouTube เลือกไอคอนการตั้งค่า รูปภาพไอคอนการตั้งค่า YouTube ท้ายวิดีโอเพลเยอร์ จากนั้นเลือก "คําบรรยาย" แล้วเลือกภาษา


คุณสามารถสร้างวิดีโอสําหรับแคมเปญได้ในคลังชิ้นงาน หรือจะสร้างวิดีโอขณะสร้างแคมเปญวิดีโอใหม่ก็ได้เช่นกัน

หมายเหตุ: วิธีการด้านล่างเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ของผู้ใช้ Google Ads ที่ได้รับการออกแบบใหม่ หากต้องการใช้การออกแบบก่อนหน้า ให้คลิกไอคอน "ลักษณะที่ปรากฏ" แล้วเลือกใช้การออกแบบก่อนหน้า หากคุณใช้ Google Ads เวอร์ชันก่อนหน้าอยู่ ให้ดูแผนที่อ้างอิงฉบับย่อ หรือใช้แถบค้นหาในแผงการนำทางด้านบนของ Google Ads เพื่อค้นหาหน้าเว็บที่ต้องการ
  1. ในบัญชี Google Ads ให้คลิกไอคอนเครื่องมือ Tools Icon
  2. คลิกเมนูแบบเลื่อนลงคลังที่ใช้ร่วมกันในเมนู "ส่วน"
  3. คลิกคลังชิ้นงาน
  4. คลิกปุ่มบวก แล้วคลิกสร้างวิดีโอ
  5. เลือกเทมเพลตสําหรับวิดีโอ คุณสามารถคลิกที่เทมเพลตเพื่อดูตัวอย่างก่อนเลือกได้
  6. เพิ่มชิ้นงานลงในเทมเพลต ชิ้นงานบางส่วนที่คุณอาจต้องใช้คือโค้ด HEX สําหรับโลโก้ สี รูปภาพ และข้อความของแบรนด์
    • คุณเลือกแบบอักษรและเพลงที่กําหนดไว้ล่วงหน้าได้จากไลบรารี Google Ads
    • คุณครอบตัดรูปภาพให้พอดีกับเทมเพลตได้หากจำเป็น
    • คุณใช้คําแนะนําที่เครื่องมือระบุไว้สําหรับประเภทและขนาดของชิ้นงานได้ (เช่น ไลฟ์สไตล์หรือรูปภาพผลิตภัณฑ์)
    • หลังจากเลือกชิ้นงานทั้งหมดแล้ว คุณสามารถใช้โหมดที่อัปเดตในสตอรีบอร์ดที่ด้านล่างของหน้าจอเพื่อดูตัวอย่างว่าวิดีโอจะปรากฏอย่างไร
  7. คลิกสร้างวิดีโอหลังจากเพิ่มชิ้นงานทั้งหมดแล้ว
  8. รอให้ระบบสร้างวิดีโอ อาจใช้เวลาหลายนาที
  9. เมื่อระบบสร้างวิดีโอเสร็จสมบูรณ์แล้ว คุณจะดูตัวอย่างก่อนได้
    • โดยค่าเริ่มต้น วิดีโอจะถูกปิดเสียงอยู่ แต่คุณสามารถเปิดเสียงเพื่อรับชมร่วมกับซาวด์แทร็กได้ หากต้องการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติม ให้เลือกแก้ไขวิดีโอเพื่อแก้ไขเพิ่มเติม
  10. เมื่อพอใจแล้ว ให้เลือกช่อง YouTube ที่ต้องการอัปโหลด
  11. ก่อนเลือกช่อง YouTube โปรดยืนยันว่า
  12. หากคุณไม่ทราบว่าใครคือเจ้าของหรือวิธีจัดการบัญชีแบรนด์ คุณจะยังคงใช้ Video Creation ได้
    • Google Ads จะสร้างช่อง "หลัก" ภายในให้คุณ วิธีนี้มีข้อจํากัดบางประการ ดังนี้
      • วิดีโอใน "ช่องหลัก" นี้จะไม่เป็นสาธารณะ
      • คุณจะใช้ฟังก์ชันบางอย่างของ Google Ads ไม่ได้ เช่น การจัดลําดับโฆษณาวิดีโอ
      • คุณไม่สามารถแก้ไขรายละเอียดวิดีโอ เช่น ชื่อ คําอธิบาย หรือแท็ก
      • หากต้องการลบวิดีโอที่นี่ ให้ไปที่คลังชิ้นงาน วางเมาส์เหนือวิดีโอ คลิกไอคอน 3 จุด 3 dot icon ที่มุมขวาบน แล้วคลิกลบออกจาก YouTube
    • คุณสร้างช่องใหม่ที่คุณเป็นเจ้าของได้
  13. คลิกกลับไปที่ไลบรารีชิ้นงาน ระบบจะบันทึกวิดีโอใหม่ไว้ที่นี่
    • โปรดทราบว่าคุณจะแก้ไขวิดีโอที่สร้างขึ้นไม่ได้หลังจากที่ระบบบันทึกแล้ว และจะต้องสร้างวิดีโอใหม่หากต้องการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติม
  14. หรือจะสร้างวิดีโอขณะสร้างแคมเปญวิดีโอใหม่ก็ได้เช่นกัน
    • ขณะเลือกวิดีโอ ให้คลิกสร้างวิดีโอด้วยขั้นตอนง่ายๆ เพียงไม่กี่ขั้นตอนในส่วน "ต้องการวิดีโอใหม่ใช่ไหม" ซึ่งจะเปิดแท็บใหม่ในเบราว์เซอร์ของคุณ

สร้างโฆษณาของคุณ

  1. ค้นหาวิดีโอที่คุณอัปโหลดไปยัง YouTube หรือป้อน URL ของวิดีโอจาก YouTube
    • และคุณยังเลือกวิดีโอที่สร้างจากไลบรารีชิ้นงานหรือสร้างวิดีโอขณะสร้างแคมเปญได้อีกด้วย
  2. เลือกรูปแบบโฆษณาที่มีสิทธิ์ คุณจะได้รับข้อความใน Google Ads หากรูปแบบโฆษณาใดไม่มีสิทธิ์สําหรับแคมเปญ คุณเลือกรูปแบบต่อไปนี้ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเป้าหมายที่เลือก
  3. ใช้ตัวแก้ไขเพื่อสร้างโฆษณา ตัวเลือกครีเอทีฟโฆษณาที่คุณใช้ได้อาจแตกต่างกันไปตามรูปแบบโฆษณา

ตัวเลือกครีเอทีฟโฆษณาที่ใช้ได้กับโฆษณาทุกรูปแบบ

  • วิดีโอ YouTube ของคุณ: ค้นหาวิดีโอที่คุณอัปโหลดหรือวาง URL ของวิดีโอจาก YouTube
  • URL สุดท้าย: ระบุ URL สุดท้ายซึ่งเป็นหน้า Landing Page ที่ผู้ใช้เข้าชมเมื่อโต้ตอบกับโฆษณา URL สุดท้ายอาจเหมือนกันหรือแตกต่างจาก URL ที่แสดงก็ได้ และจะไม่ส่งผลต่อหน้าเว็บที่ผู้คนเข้าชม มาถึงเมื่อคลิกโฆษณา
  • คำกระตุ้นให้ดำเนินการ (Call-To-Action): ป้อนคำที่กระตุ้นให้ผู้ใช้คลิกโฆษณา คํากระตุ้นให้ดำเนินการจะปรากฏเป็นปุ่มในโฆษณา และนําผู้ใช้ไปยัง URL ที่คุณใช้สําหรับ URL สุดท้าย

ตัวเลือกครีเอทีฟโฆษณาที่ใช้ได้กับโฆษณาบางรูปแบบ

  • บรรทัดแรก: ป้อนบรรทัดแรกที่โปรโมตผลิตภัณฑ์หรือบริการ ใช้ได้กับโฆษณาในสตรีมแบบข้ามได้ โฆษณาในสตรีมแบบข้ามไม่ได้ และโฆษณาบัมเปอร์
  • URL ที่แสดง: ระบุ URL ที่แสดงซึ่งเป็นที่อยู่เว็บไซต์ที่แสดงในโฆษณา (ความยาวไม่เกิน 255 อักขระ) URL ที่แสดงอาจเหมือนหรือแตกต่างจาก URL สุดท้ายก็ได้ ใช้ได้กับโฆษณาในสตรีมแบบข้ามได้ โฆษณาในสตรีมแบบข้ามไม่ได้ และโฆษณาบัมเปอร์
  • บรรทัดแรกแบบยาว: ป้อนบรรทัดแรกที่ยาวขึ้นซึ่งโปรโมตผลิตภัณฑ์หรือบริการ ใช้ได้กับโฆษณาวิดีโอในฟีด
  • คําอธิบาย: ป้อนคําอธิบายผลิตภัณฑ์หรือบริการ ใช้ได้กับโฆษณาวิดีโอในฟีด
  1. (ไม่บังคับ) คลิกตัวเลือก URL ของโฆษณา (ขั้นสูง) เพื่อเพิ่มเทมเพลตการติดตาม คำต่อท้าย URL สุดท้าย หรือพารามิเตอร์ที่กำหนดเองให้กับ URL สุดท้าย พารามิเตอร์การติดตามจะช่วยให้ติดตามได้ว่าการเข้าชมมาจากที่ใด เช่น อุปกรณ์เคลื่อนที่
  2. เพิ่มแบนเนอร์ที่แสดงร่วมกันเพื่อสร้างรูปภาพหรือกลุ่มรูปภาพที่ปรากฏข้างวิดีโอ ทั้งนี้แบนเนอร์ที่แสดงร่วมกันจะปรากฏในคอมพิวเตอร์เท่านั้น คุณเลือกได้ว่าจะใช้รูปภาพที่ระบบสร้างโดยอัตโนมัติจากวิดีโอในช่อง YouTube (แนะนำ) หรือรูปภาพที่คุณอัปโหลดด้วยตนเองเป็นแบนเนอร์ที่แสดงร่วมกัน
  3. ป้อนชื่อโฆษณา
  4. หากต้องการสร้างโฆษณาอื่นในแคมเปญเดียวกัน ให้คลิกโฆษณาวิดีโอใหม่
  5. หากโฆษณาดูดีแล้ว ให้คลิกสร้างแคมเปญ

เพิ่มเสียงบรรยายลงในวิดีโอ

หมายเหตุ: วิธีการด้านล่างเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ของผู้ใช้ Google Ads ที่ได้รับการออกแบบใหม่ หากต้องการใช้การออกแบบก่อนหน้า ให้คลิกไอคอน "ลักษณะที่ปรากฏ" แล้วเลือกใช้การออกแบบก่อนหน้า หากคุณใช้ Google Ads เวอร์ชันก่อนหน้าอยู่ ให้ดูแผนที่อ้างอิงฉบับย่อ หรือใช้แถบค้นหาในแผงการนำทางด้านบนของ Google Ads เพื่อค้นหาหน้าเว็บที่ต้องการ
  1. ในบัญชี Google Ads ให้คลิกไอคอนเครื่องมือ Tools Icon
  2. คลิกเมนูแบบเลื่อนลงคลังที่ใช้ร่วมกันในเมนู "ส่วน"
  3. คลิกคลังชิ้นงาน
  4. คลิกปุ่มบวก แล้วคลิกวิดีโอ
  5. คลิกเพิ่มเสียงบรรยาย
    • เลือกใส่เสียงบรรยายลงในวิดีโอที่มีอยู่ได้จากไลบรารีชิ้นงาน เลือกวิดีโอ แล้วคลิกปุ่ม ด้านขวาบน แล้วคลิกเพิ่มเสียงบรรยาย
  6. เลือกวิดีโอต้นฉบับ
    • เลือกวิดีโอต้นฉบับจาก YouTube หรือจากวิดีโอที่สร้างใน Google Ads
    • วิดีโอต้องมีความยาวไม่เกิน 140 วินาที
  7. คลิกเพิ่มประสิทธิภาพวิดีโอ
  8. ใส่เสียงบรรยายใต้กล่องข้อความ "เสียงบรรยาย" โดยจะใส่เสียงบรรยายได้สูงสุด 5 เสียง ข้อความเสียงบรรยายแต่ละข้อความจะมีความยาวได้ไม่เกิน 150 อักขระ ต้องการสร้างเสียงบรรยายใหม่ ให้คลิก + เพิ่มข้อความ
    • ตั้งเวลาให้ข้อความเริ่มต้นในวิดีโอได้ ข้อความเสียงบรรยายจะซ้อนทับกันไม่ได้ เสียงบรรยายถัดไปจะเริ่มต่อหลังจากข้อความปัจจุบันจบลงแล้วเท่านั้น
    • เลื่อนแถบปรับระดับเสียงจากขวาไปซ้ายเพื่อปรับระดับเสียงของวิดีโอ ระดับเสียงเริ่มต้นของวิดีโอจะตั้งไว้ที่ 80%
      • คลิกภาพวิดีโอใต้ "วิดีโอที่เลือก" เพื่อดูตัวอย่างวิดีโอ
    • เลือกประเภทเสียงได้โดยคลิกปุ่มแบบเลื่อนลง "เลือกประเภทเสียง" โดยภาษาอังกฤษแบบสหรัฐอเมริกาจะมีให้เลือก 7 ตัวเลือก และภาษาอื่นๆ จะมีให้เลือก 2 ตัวเลือก
      • มีภาษาของเสียงบรรยายให้เลือกมากมายจากภาษาที่รองรับในปัจจุบัน ได้แก่ อังกฤษแบบสหรัฐอเมริกา อังกฤษแบบสหราชอาณาจักร อังกฤษแบบอินเดีย อังกฤษแบบออสเตรเลีย ฮินดี ฝรั่งเศส สเปน อินโดนีเซีย มาเลเซีย จีนกลาง ฟิลิปปินส์ เกาหลี และ สวีเดน
    • เลื่อนแถบปรับระดับเสียงจากขวาไปซ้ายเพื่อแก้ไขระดับเสียงบรรยาย
    • คุณสามารถดูตัวอย่างวิดีโอที่สร้างด้วยเสียงบรรยายได้โดยคลิกโหลดตัวอย่าง โปรดทราบว่าตัวอย่างจะใช้เวลาโหลด 2-3 นาที
  9. เมื่อพอใจกับเสียงบรรยายและข้อความแล้ว ให้คลิกสร้างวิดีโอ
  10. ตั้งชื่อวิดีโอพร้อมเสียงบรรยาย นอกจากนี้เรายังตั้งชื่อวิดีโอให้โดยอัตโนมัติได้ด้วย
  11. คลิกอัปโหลดวิดีโอ เพื่ออัปโหลดวิดีโอไปยังช่อง YouTube
  12. หากต้องการตั้งค่าวิดีโอให้เสร็จสิ้น โปรดดูหัวข้อสร้างวิดีโอโดยใช้คลังชิ้นงาน (ขั้นตอนที่ 11-13)

สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้

หลังจากที่คุณตั้งค่าแคมเปญเสร็จแล้ว ระบบอาจใช้เวลา 2-3 วันเพื่อเริ่มแสดงโฆษณา ปกติแล้วโฆษณาจะได้รับอนุมัติภายใน 1 วัน แต่อาจใช้เวลานานขึ้นเพื่อให้การเสนอราคาเพิ่มประสิทธิภาพได้เต็มที่

เพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญวิดีโอ

หากต้องการให้แคมเปญวิดีโอทำงานได้ดียิ่งขึ้น ให้ดูแนวทางปฏิบัติแนะนำและเคล็ดลับในคู่มือการเพิ่มประสิทธิภาพ

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแคมเปญวิดีโอประเภทย่อย

ดูวิธีการที่เฉพาะเพิ่มเติมเกี่ยวกับแคมเปญประเภทย่อยได้จากบทความต่อไปนี้

ข้อมูลนี้มีประโยชน์ไหม

เราจะปรับปรุงได้อย่างไร
true
Achieve your advertising goals today!

Attend our Performance Max Masterclass, a livestream workshop session bringing together industry and Google ads PMax experts.

Register now

ค้นหา
ล้างการค้นหา
ปิดการค้นหา
เมนูหลัก
3986553573574043234
true
ค้นหาศูนย์ช่วยเหลือ
true
true
true
true
true
73067
false
false
false