ฟีเจอร์เหล่านี้ใช้ได้เฉพาะใน Google Earth Pro เท่านั้น
นำเข้าที่อยู่
หากต้องการดูสถานที่หลายแห่งทั่วโลก คุณนำเข้าที่อยู่มายัง Google Earth Pro ได้ และระบบจะแปลงที่อยู่แต่ละแห่งที่นำเข้าเป็นหมุดใน Earth
- คุณสามารถนำเข้าได้เฉพาะที่อยู่ในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร แคนาดา ฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมนี และสเปน
- คุณไม่สามารถใช้ที่อยู่ที่เป็นตู้ไปรษณีย์
- ช่องที่อยู่ช่องเดียว: คุณระบุถนน เมือง รัฐ ประเทศ และรหัสไปรษณีย์ในช่องเดียวกันได้
- ช่องที่อยู่หลายช่อง: นอกจากนี้คุณยังระบุถนน เมือง รัฐ ประเทศ และรหัสไปรษณีย์ไว้ในหลายๆ ช่องได้ด้วย
- ค่าเริ่มต้นของที่อยู่บางส่วน: หากบางจุดมีที่อยู่เพียงบางส่วน คุณใช้วิซาร์ดการนำเข้าข้อมูลเพื่อกำหนดค่าเริ่มต้นของช่องที่ไม่มีข้อมูลได้ เช่น รัฐ หรือรหัสไปรษณีย์
หากต้องการฝึกนำเข้าข้อมูล คุณสามารถดาวน์โหลดไฟล์ CSV ตัวอย่างเพื่อนำมาใช้กับขั้นตอนต่อไปนี้ หรือทำตามขั้นตอนด้วยไฟล์ CSV ของคุณเอง
- เปิด Google Earth จากนั้นคลิกไฟล์ นำเข้า
- เรียกดูตำแหน่งของไฟล์ตัวอย่างและเลือกไฟล์นั้น จากนั้นคลิกเปิด วิซาร์ดการนำเข้าข้อมูลจะปรากฏ
- เลือกตัวเลือกต่อไปนี้
- "ประเภทช่อง" คั่น
- "คั่น" จุลภาค
- ใช้หน้าต่างแสดงตัวอย่างเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าข้อมูลที่คุณนำเข้านั้นถูกต้อง
- คลิกถัดไป ทำเครื่องหมายที่ช่องถัดจาก "ชุดข้อมูลนี้ไม่มีข้อมูลละติจูด/ลองจิจูด"
- คลิกถัดไป เลือก "ที่อยู่แยกย่อยเป็นช่องหลายช่อง"
- ใน "เลือกช่องที่อยู่" ให้ตรวจสอบชื่อที่กำหนดให้กับแต่ละช่อง
- คลิกถัดไป ตรวจสอบรายการช่องและประเภทของข้อมูลที่เลือกสำหรับแต่ละช่อง จากนั้นคลิกกลับ
- คลิกเสร็จ Google Earth จะเริ่มต้นเข้ารหัสภูมิศาสตร์ให้กับข้อมูลของคุณ
- หากต้องการใช้แม่แบบลักษณะ ให้คลิกใช่ในกล่องโต้ตอบ
- คลิกตกลง แล้วกล่องโต้ตอบ "บันทึกแม่แบบ" จะปรากฏขึ้น บันทึกแม่แบบเป็นไฟล์ (.kst) ซึ่งคุณสามารถใช้เมื่อนำเข้าและจัดรูปแบบข้อมูลในอนาคต
Google Earth จะแสดงข้อมูลที่อยู่ของคุณเป็นไอคอนในมุมมอง 3 มิติ และคุณสามารถแก้ไขคุณสมบัติของหมุดเหล่านี้ได้เช่นเดียวกับหมุดอื่นๆ
- ในหน้าต่างแสดงตัวอย่าง หากข้อมูลของเมืองและรัฐอยู่ในคอลัมน์ที่ไม่ถูกต้อง อาจเกิดจากที่อยู่บางส่วนในไฟล์มีที่อยู่ที่สอง ("ที่อยู่ 2") ในขณะที่บางที่อยู่ไม่มี ให้ยกเลิกการเลือกช่อง "ถือว่าตัวคั่นติดกันเป็นค่าเดียว" เพื่อแก้ไขปัญหานี้
- หากคุณพบข้อผิดพลาด เนื่องจาก Google Earth ไม่สามารถเข้ารหัสภูมิศาสตร์ที่อยู่ใดที่อยู่หนึ่ง ให้แก้ไขข้อมูลนั้นหรือเปลี่ยนการตั้งค่าการนำเข้าใน Google Earth
- ข้อมูลที่นำเข้าอยู่ในโฟลเดอร์ "สถานที่ชั่วคราว" ในแผงควบคุม "สถานที่" หากต้องการบันทึกข้อมูลที่นำเข้า ก่อนที่คุณจะออกจาก Google Earth ให้ลากข้อมูลนี้ออกจากโฟลเดอร์นี้ แล้วเลือกไฟล์ บันทึก บันทึกสถานที่ของฉัน
นำเข้าภาพ
คุณสามารถเปิดไฟล์ภาพ GIS เพื่อฉายภาพที่มีข้อมูลการแสดงผลฝังไว้เหนือพิกัดใดพิกัดหนึ่งบนแผนที่ในมุมมอง 3 มิติได้ อย่างไรก็ตาม Google Earth ไม่รองรับไฟล์ที่ใช้ข้อมูลการฉายภาพแบบ NAD83
- TIFF (.tif) รวมทั้ง GeoTiff และไฟล์ TIFF แบบบีบอัด
- National Imagery Transmission Format (.ntf)
- Erdas Imagine Images (.img)
ไฟล์ภาพอื่นๆ
นอกจากนี้ คุณยังสามารถนำเข้าภาพได้หากคุณแก้ไขพิกัดของภาพเหล่านั้นด้วยตัวเองเพื่อให้มีการวางตำแหน่งอย่างถูกต้อง หากไฟล์ภาพไม่มีข้อมูลการฉายภาพที่ถูกต้อง การฉายภาพนั้นจะไม่ถูกต้องแม่นยำ
- Portable Network Graphic (.png)
- Joint Photographic Expert (.jpg)
- Atlantis MFF Raster (.hdr)
- ไฟล์ฐานข้อมูล PCIDSK (.pix)
- Portable Pixmap Format (.pnm)
- Bitmap ที่ไม่ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ (.bmp)
คุณสามารถเปิดภาพ GIS ใน Google Earth เพื่อดูภาพเหล่านั้นเหนือภาพแผนที่ได้
- เปิด Google Earth
- คลิกไฟล์ เปิด จากนั้นเลือกไฟล์ที่ต้องการนำเข้าแล้วหน้าต่างแก้ไขภาพซ้อนทับจะปรากฏขึ้น
- ตั้งตำแหน่งของภาพซ้อนทับใหม่ในโฟลเดอร์ใดก็ได้ในแผงควบคุม "สถานที่"
- เลือกคุณสมบัติให้กับภาพ GIS ดังนี้
- ระบบจะบันทึกภาพที่ฉายอีกครั้งเป็นภาพซ้อนทับ ภาพจะถูกบันทึกไว้ภายใต้ไดเรกทอรี Google Earth บนฮาร์ดไดรฟ์ของคุณ ชื่อของไฟล์ PNG ได้จากชื่อไฟล์ต้นฉบับ และพารามิเตอร์การปรับสัดส่วนหรือการครอบตัดภาพที่ได้เลือกไว้เมื่อนำเข้าภาพซ้อนทับ (ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปรับสัดส่วนหรือการครอบตัดภาพที่ด้านล่าง)
- สำหรับไฟล์ภาพที่มีขนาดใหญ่ การฉายภาพอาจใช้เวลาสักครู่หนึ่ง ถ้าคุณได้ครอบตัดหรือปรับสัดส่วนภาพ หรือถ้าคุณกำลังแสดงเส้นโครงอีกครั้ง โดยใช้หน่วยความจำพื้นผิวที่มากขึ้น คุณจะเห็นตัววัดความคืบหน้าขณะที่มีการแสดงเส้นโครงอีกครั้ง คุณสามารถยกเลิกขั้นตอนการทำงานเมื่อใดก็ได้
- ภาพที่ไม่มีข้อมูลการฉายภาพจะถือว่าเป็นไฟล์ภาพซ้อนทับธรรมดา คุณสามารถวางตำแหน่งภาพด้วยตัวเองได้เหมือนที่คุณทำกับภาพซ้อนทับ
- ระบบจะไม่นำเข้าภาพที่มีข้อมูลการฉายภาพไม่ถูกต้องหรือไม่รองรับ โดยจะมีกล่องโต้ตอบระบุว่าไม่สามารถฉายภาพได้ และจะไม่มีการนำเข้าภาพนั้น
หลังจากที่คุณนำเข้าข้อมูลภาพแล้ว คุณสามารถบันทึกการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับเนื้อหาในข้อมูล GIS ที่นำเข้าได้
ย้ายภาพที่นำเข้าไปอยู่ในโฟลเดอร์ "สถานที่ของฉัน" หากคุณวางภาพซ้อนทับไว้ในโฟลเดอร์ "สถานที่ของฉัน" แล้ว การเปลี่ยนแปลงใดๆ ก็ตามที่เกิดขึ้นกับภาพซ้อนทับนั้นจะได้รับการบันทึกไว้โดยอัตโนมัติ และสามารถดูได้เมื่อคุณเปิด Google Earth
บันทึกภาพซ้อนทับเป็นไฟล์ KMZ หากคุณต้องการลบภาพที่นำเข้าออกจากโฟลเดอร์ "สถานที่ของฉัน" ให้ทำดังนี้
- คลิกขวาที่รายการนั้น แล้วเลือกบันทึกเป็นจากเมนูป๊อปอัป
- จากนั้นบันทึกภาพซ้อนทับ GIS เป็นไฟล์ KMZ เก็บไว้ในฮาร์ดไดรฟ์ของคอมพิวเตอร์หรือตำแหน่งอื่นๆ ที่เข้าถึงได้
- ลบภาพซ้อนทับนั้นจากรายการ "สถานที่ของฉัน" แล้วเปิดภาพซ้อนทับนั้นเมื่อต้องการใช้
นำเข้าข้อมูลเวกเตอร์
คุณนำเข้าไฟล์ที่มีข้อมูลจุด เส้น เส้นทาง และรูปหลายเหลี่ยมมายังแผนที่ได้
- เปิด Google Earth Pro
- คลิกไฟล์ เปิด
- เลือกประเภทไฟล์ที่ต้องการนำเข้า หรือเลือกรูปแบบการนำเข้าข้อมูลทั้งหมด
เมื่อนำเข้าข้อมูลแล้ว องค์ประกอบของเวกเตอร์จะปรากฏในมุมมอง 3 มิติ และไฟล์ที่นำเข้าจะอยู่ภายใต้โฟลเดอร์ "สถานที่ชั่วคราว"
หมายเหตุ: หากคุณไม่ใช้แม่แบบลักษณะ และข้อมูลไม่มีช่อง "ชื่อ" ระบบจะใช้ช่องแรกที่มีข้อความเป็นป้ายกำกับสำหรับข้อมูล
ข้อมูลเวกเตอร์ GIS ของบุคคลที่สามโดยส่วนใหญ่จะมาพร้อมไฟล์สนับสนุนชุดหนึ่ง หากข้อมูลไม่แสดงในมุมมอง 3 มิติอย่างที่ควรเป็น อาจเกิดจากไฟล์สนับสนุนไม่ครบถ้วน
ไฟล์เวกเตอร์และไฟล์สนับสนุนที่จำเป็นมีดังนี้
- MapInfo (TAB)
- ID แผนที่
- DAT
- ESRI Shape (SHP)
- ดัชนี SHX
- PRJ (ต้องมีหากการฉายภาพไม่ใช่ WGS84)
- DBF (ข้อมูลแอตทริบิวต์)
- ไฟล์ข้อความทั่วไป
คุณสามารถกำหนดข้อมูลจุดเองและนำเข้าข้อมูลนั้นโดยใช้ไฟล์ข้อความทั่วไปได้
ไฟล์ข้อความทั่วไปจะต้องมีคุณสมบัติดังนี้
- มีคอลัมน์ที่ตั้งชื่อไว้ โดยที่แต่ละค่าในคอลัมน์นั้นจะต้องคั่นด้วยจุลภาค การเว้นวรรค หรือแท็บ
- บันทึกไฟล์เป็นรูปแบบ CSV หรือ TXT
- แสดงพิกัดดังนี้
- องศา ลิปดา ฟิลิปดา (DMS)
- องศาทศนิยม (DDD)
- องศา ลิปดา พร้อมทั้งฟิลิปดาเป็นทศนิยม (DMM)
- มีอย่างน้อย 1 ช่องที่ระบุตำแหน่งที่ตั้งของจุดดังกล่าวบนพื้นโลก
- ไม่ใช้พิกัดทางภูมิศาสตร์และช่องที่อยู่ปนกันในไฟล์เดียว
คุณใช้พิกัดละติจูดและลองจิจูดเพื่อระบุตำแหน่งของข้อมูลจุดในไฟล์ข้อความได้
ช่องตัวเลือกและคำอธิบาย
คุณใช้ช่องกี่ช่องก็ได้ในไฟล์ข้อมูลที่กำหนดเองเพื่อติดป้ายกำกับและอธิบายจุดต่างๆ ใน Google Earth Pro
คุณจะกำหนดช่องตัวเลือกเป็นข้อความหรือสตริงก็ได้ ดังนี้
- ช่องสตริงสามารถมีได้ทั้งอักขระที่เป็นตัวเลขและตัวอักษร
- สตริงจะต้องอยู่ในเครื่องหมายคำพูดหรือมีการเว้นวรรคเพื่อไม่ให้ระบบเข้าใจว่าเป็นตัวเลข
แม่แบบลักษณะช่วยให้คุณสามารถนำช่องเหล่านี้มาใช้สร้างเอฟเฟ็กต์พิเศษที่เป็นประโยชน์ในการแสดงผลในมุมมอง 3 มิติ เช่น แสดงเป็นกราฟ หรือใส่โค้ดสีให้กับข้อมูลตามค่าที่อยู่ในช่อง
- จำนวนเต็ม
- ค่าจุดทศนิยม
ใช้แม่แบบลักษณะ
คุณสามารถใช้แม่แบบลักษณะกับข้อมูลเวกเตอร์ที่มีช่องต่างๆ ที่ต้องการให้แสดงในมุมมอง 3 มิติได้
- แม่แบบลักษณะสามารถใช้ได้เฉพาะกับหมุดที่มีข้อมูลสคีมาแบบขยายเท่านั้น เช่น ข้อมูลที่นำเข้าในไฟล์ข้อมูลเวกเตอร์
- คุณสามารถใช้แม่แบบลักษณะแบบเดียวกันกับข้อมูลที่แตกต่างกันแต่มีช่องข้อมูลเหมือนกันได้ แต่จะต้องปรับการตั้งค่าของแม่แบบนั้นให้แสดงข้อมูลอย่างถูกต้องด้วย
วิธีใช้แม่แบบลักษณะ
- หลังจากที่คุณนำเข้าข้อมูลมายังแผงควบคุม "สถานที่" แล้ว ให้เลือกโฟลเดอร์ข้อมูลนั้น แล้วคลิกแก้ไข ใช้เพลตรูปแบบ
- คลิกใช้แม่แบบที่มีอยู่
- ในรายการ "แม่แบบที่เข้ากันได้" ให้เลือกแม่แบบลักษณะที่ต้องการใช้กับชุดข้อมูล
- คลิกแก้ไขแม่แบบที่เลือก ตกลง เพื่อแก้ไขแม่แบบลักษณะ
- เลือกช่องจากข้อมูลที่คุณต้องการใช้เป็นชื่อหรือป้ายกำกับของข้อมูล โปรดทราบว่าชื่อนี้จะปรากฏในมุมมอง 3 มิติและในแผงควบคุม "สถานที่" ที่แสดงจุดข้อมูลนั้น
- คลิกสีเพื่อจับคู่องค์ประกอบของข้อมูลกับลักษณะสี
- คลิกไอคอนเพื่อจับคู่องค์ประกอบของข้อมูลกับไอคอนอย่างน้อย 1 ไอคอน
- คลิกความสูงเพื่อจับคู่ค่าความสูงกับองค์ประกอบข้อมูล
- คลิกตกลง
ในมุมมอง 3 มิติ คุณจะเห็นข้อมูลและค่าที่กำหนดไว้
จับคู่ช่องข้อมูลกับคุณลักษณะต่างๆ
คุณสามารถใส่สีให้กับช่องที่เลือกไว้ในข้อมูลที่นำเข้าได้ ในกรณีนี้ สีที่นำมาใช้กับคุณลักษณะดังกล่าวจะขึ้นกับประเภทของข้อมูลที่นำเข้า ดังนี้
- ไอคอนจะเป็นสีพร้อมกับข้อมูลจุด
- เส้นจะเป็นสีเมื่อมีการใส่สีให้กับเส้นหรือเส้นทาง
- รูปหลายเหลี่ยมทึบจะเป็นสีพร้อมกับข้อมูลรูปทรง
ใช้ลักษณะสีเพื่อกำหนดสีให้กับส่วนประกอบเหล่านี้เพื่อให้สื่อความหมายได้ โดยขึ้นกับทั้งประเภทข้อมูลและข้อมูลช่องภายในชุดข้อมูลทั้งชุด
ใช้สีเดียวกันสำหรับทุกคุณลักษณะ
หากคุณต้องการใช้เพียงสีเดียวกับจุดหรือเส้นทั้งหมดจากข้อมูลที่คุณนำเข้า ให้เลือกตัวเลือก "ใช้สีเดียว" จากนั้นคลิกสี่เหลี่ยมที่มีสีที่อยู่ถัดจากตัวเลือกนั้น จากตัวเลือกสี ให้เลือกสีที่มีอยู่หรือกำหนดสีของคุณเอง เพื่อใส่สีให้กับข้อมูลนั้น
ใช้สีแบบสุ่ม
หากต้องการใช้สีต่างๆ ที่ Google Earth Pro สุ่มให้ โปรดเลือกตัวเลือก "ใช้สีแบบสุ่ม" และหากคุณมีไอคอนสำหรับข้อมูลจุดด้วย ก็จะมีการใส่สีเพิ่มให้กับสีที่มีอยู่แล้วของไอคอนนั้น
ตั้งค่าสีตามค่าช่อง
หากคุณต้องการเปรียบเทียบคุณลักษณะกับชุดข้อมูล ให้ใช้สีเพื่อกำหนดค่าในช่องต่างๆ
ตัวอย่าง
- ตั้งค่าสีในช่วงสั้นๆ ตามขนาดพื้นที่ของอสังหาริมทรัพย์ที่ลงประกาศ
- ตั้งค่าสีช่วงหนึ่งสำหรับไฟล์รูปทรงที่แสดงรายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือน
ทำตามขั้นตอนที่ 1-5 ในส่วนใช้แม่แบบลักษณะ
- เลือกตัวเลือกตั้งค่าสีจากช่องในแท็บ "สี" จากนั้นเลือกสีที่ต้องการจากเมนูแบบเลื่อนลงตั้งค่าสี โดยคุณสามารถเลือกช่องตัวเลขหรือช่องข้อความอย่างใดอย่างหนึ่งจากข้อมูล
- หากต้องการเปลี่ยนช่วงสี ให้คลิกบล็อกสีแต่ละบล็อก จากนั้นตั้งค่าสีเริ่มต้นและสีสิ้นสุด แล้ว Google Earth Pro จะคำนวณช่วงสีระหว่างค่าสีทั้ง 2 สีเอง
- หากต้องการจัดกลุ่มช่องตัวเลขแยกเป็นช่วงๆ ให้เลือกจำนวนที่เก็บข้อมูล
- หากต้องการให้แสดงองค์ประกอบข้อมูลสำหรับสถานที่ต่างๆ ตามที่เก็บข้อมูลสี ให้สร้างโฟลเดอร์ย่อยและหากต้องการให้แสดงหรือซ่อนกลุ่มสี ให้ใช้ช่องทำเครื่องหมายที่อยู่ถัดจากโฟลเดอร์นั้น โปรดทราบว่าคุณสามารถกำหนดโฟลเดอร์ย่อยได้เพียง 1 โฟลเดอร์เท่านั้นสำหรับการแสดงสีหรือแสดงไอคอน
- หากต้องการกลับลำดับการเรียงช่วงสีรวมถึงการกำหนดช่วงสีให้กับองค์ประกอบต่างๆ ให้คลิกการเรียงแบบถอยกลับ
- คลิกตกลงเพื่อบันทึกแม่แบบลักษณะ
คุณสามารถกำหนดไอคอนให้กับช่องต่างๆ ในข้อมูล แต่จะไม่สามารถจับคู่ไอคอนกับข้อมูลที่เป็นเส้นหรือรูปทรงได้
การจับคู่ไอคอนกับจุดมี 2 วิธีดังนี้
- ใช้ไอคอนเดียวในทุกคุณลักษณะ
- ตั้งค่าไอคอนจากช่อง
ตั้งค่าไอคอนกับช่องต่างๆ ในข้อมูล
ปรับแต่งไอคอนสำหรับหมุดที่นำเข้าตามช่องข้อมูล
ทำตามขั้นตอนที่ 1-5 ในส่วนใช้แม่แบบลักษณะ
- เลือกตั้งค่าไอคอนจากช่อง เลือกช่องที่คุณต้องการใช้ป้ายกำกับไอคอน
- หากต้องการจัดกลุ่มช่องตัวเลขแยกเป็นช่วงๆ ให้เลือกจำนวนที่เก็บข้อมูล สำหรับที่เก็บข้อมูลแต่ละชุดที่กำหนดไว้ ให้เลือกไอคอนจากรายการ
- หากต้องการให้แสดงองค์ประกอบข้อมูลสำหรับสถานที่ต่างๆ ตามที่เก็บข้อมูลสี ให้สร้างโฟลเดอร์ย่อยและหากต้องการให้แสดงหรือซ่อนกลุ่มสี ให้ใช้ช่องทำเครื่องหมายที่อยู่ถัดจากโฟลเดอร์นั้น โปรดทราบว่าคุณสามารถกำหนดโฟลเดอร์ย่อยได้เพียง 1 โฟลเดอร์เท่านั้นสำหรับการแสดงสีหรือแสดงไอคอน
- หากต้องการแก้ไของค์ประกอบไอคอนที่เก็บข้อมูลรายการใดรายการหนึ่ง ให้คลิกที่เก็บข้อมูลนั้นเพื่อปรับค่าหรือช่วงค่านั้น โปรดทราบว่าหากต้องการปรับช่วงของข้อมูลตามที่ต้องการ ให้แก้ไขการตั้งค่าสำหรับที่เก็บข้อมูลแบบตัวเลข
- คลิกตกลงเพื่อบันทึกแม่แบบลักษณะ
หลังจากที่ตั้งค่าความสูงแล้ว จะมีการเลื่อนจุด เส้น หรือรูปทรงจากระดับพื้นโลกขึ้นมายังระดับความสูงที่กำหนดไว้ให้กับองค์ประกอบข้อมูลแต่ละประเภท
- หากคุณจับคู่ความสูงกับเส้นหรือรูปทรง ค่าความสูงที่คุณกำหนดไว้จะมีผลควบคู่กับสี
- หากคุณจับคู่ความสูงกับข้อมูลจุด จะมีการเลื่อนจุดดังกล่าวโดยใช้เส้นที่มีสีขนาดพิกเซลเดียวเพื่อเชื่อมโยงไอคอนนั้นจากตำแหน่งที่อยู่สูงขึ้นมากับพื้นโลก และคุณสามารถใช้การตั้งค่าลักษณะเพื่อแก้ไขความกว้างและสีของเส้นได้
ค่าความสูงสำหรับช่องข้อความ
หากช่องที่คุณเลือกจับคู่มีข้อมูลแบบข้อความ จะมีการกำหนดแต่ละช่องที่ไม่ซ้ำกัน 8 ช่องแรกไว้ในที่เก็บข้อมูลของตัวเอง ดังนั้นจึงควรจับคู่ค่าความสูงกับช่องที่มีค่าไม่ซ้ำกัน 8 ค่าหรือน้อยกว่าเท่านั้น
ค่าความสูงสำหรับช่องตัวเลข
เมื่อจับคู่ค่าความสูงกับช่องข้อมูลแบบตัวเลข คุณเลือกวิธีการจับคู่ได้ 2 วิธีดังนี้
- การจับคู่แบบต่อเนื่อง: ใช้ค่าต่ำสุดและสูงสุดของช่องใดช่องหนึ่งเพื่อกำหนดการแสดงความสูงต่ำสุดและสูงสุดของข้อมูลทั้งชุด วิธีนี้เหมาะกับชุดข้อมูลขนาดเล็กที่แสดงผลความแตกต่างระหว่างจุดหรือรูปทรงแต่ละรายการได้ง่าย
- แยกลงในที่เก็บข้อมูล: สร้างการจับกลุ่มความสูง 8 กลุ่มสำหรับข้อมูล วิธีนี้เหมาะสำหรับชุดข้อมูลขนาดใหญ่ที่ไม่เอื้อต่อการแสดงผลความสูงที่จับคู่แบบต่อเนื่องในมุมมอง 3 มิติ
หากต้องการให้จุดข้อมูลและเส้นมองเห็นง่ายขึ้นในมุมมอง 3 มิติ คุณสามารถแก้ไขการตั้งค่าลักษณะจุดแต่ละจุดเพื่อปรับความหนาของเส้นได้
- เลื่อนเมาส์ไปเหนือจุดที่ต้องการแก้ไข จากนั้นเลือกคุณสมบัติ (Windows, Linux) หรือรับข้อมูล (Mac)
- ในส่วน "ลักษณะ, สี" ให้แก้ไขลักษณะของจุดตามต้องการ
- คลิกตกลง
หมายเหตุ: สำหรับชุดข้อมูลขนาดใหญ่ ให้นำสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปใช้กับทั้งโฟลเดอร์หรือโฟลเดอร์ย่อย
เลือกประเภทช่อง
เมื่อมีการจับคู่สี ไอคอน หรือความสูงของช่องใดช่องหนึ่งในชุดข้อมูล คุณสามารถกำหนดจำนวนที่เก็บข้อมูลเพื่อแสดงข้อมูลช่วงต่างๆ ได้ และคุณสามารถเลือกช่องพื้นฐาน 2 ประเภทจากข้อมูลได้ในขณะจับคู่ค่าสี ไอคอน หรือความสูง
หากประเภทช่องมีข้อมูลที่ไม่ใช่ตัวเลข Google Earth Pro จะจับคู่ช่องข้อความ 8 ช่องแรกที่ไม่ซ้ำกันกับลักษณะดังกล่าว หากในข้อมูลมีน้อยกว่า 8 ค่า ค่าที่ไม่ซ้ำกันแต่ละค่าจะจับคู่กับสี ไอคอน หรือความสูงที่ต่างกัน หากมีมากกว่า 8 ค่า ค่าที่ไม่ซ้ำกัน 8 ค่าแรกจะจับคู่กับลักษณะ และค่าที่เหลือจะรวมกันเป็นกลุ่มและจับคู่กับลักษณะที่ 9 ด้วยเหตุนี้ ตามปกติการนำลักษณะมาใช้กับช่องข้อความที่มีชุดข้อมูลขนาดเล็กที่ไม่ซ้ำกันจึงมีประโยชน์มากที่สุด
ช่องข้อมูลแบบตัวเลขจะได้รับการจัดสรรตามจำนวนที่เก็บข้อมูลที่คุณเลือกไว้โดยอัตโนมัติ และมีจำนวนรายการในที่เก็บข้อมูลแต่ละชุดรวมอยู่ด้วย หากคุณเพิ่มหรือลดจำนวนที่เก็บข้อมูล แอปพลิเคชันจะจัดสรรจำนวนองค์ประกอบในที่เก็บข้อมูลแต่ละชุดใหม่โดยอัตโนมัติ
หากคุณใช้แอปพลิเคชันประเภทสเปรดชีตเพื่อสร้างข้อมูล ให้เลือกรูปแบบเซลล์เป็นตัวเลข หากคุณมีช่องตัวเลขใน CSV ที่บันทึกมาจากสเปรดชีต แต่วิซาร์ด "แม่แบบลักษณะ" ไม่รู้จักว่าช่องนี้เป็นตัวเลข อาจเป็นเพราะการจัดรูปแบบไม่ถูกต้องก็ได้
หากต้องการตรวจสอบว่าจริงๆ แล้วช่องนั้นระบุไว้ว่าเป็นข้อความหรือตัวเลข ให้ทำดังนี้
- เปิดไฟล์ CSV ในโปรแกรมแก้ไขข้อความอย่างง่าย แล้วมองหาช่องที่จะตรวจสอบ
- หากช่องนี้มีเครื่องหมายคำพูดคร่อมอยู่ แสดงว่าเป็นช่องข้อความ แม้ว่าจะมีตัวเลขอยู่ในเครื่องหมายคำพูดก็ตาม
- นำเครื่องหมายคำพูดออกจากไฟล์ด้วยตนเอง หรือเปิดแอปพลิเคชันประเภทสเปรดชีตแล้วจัดรูปแบบเซลล์นั้นเป็นตัวเลข
- เสร็จแล้วให้บันทึกข้อมูล CSV อีกครั้ง