เพิ่มประสิทธิภาพให้การอ้างอิงข้อมูลพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของชีต

อ้างอิงข้อมูลในชีตเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพเมื่อทํางานกับชุดข้อมูลขนาดใหญ่ ทําตามคําแนะนําต่อไปนี้เพื่อปรับปรุง

  • ความเร็วในการคํานวณ
  • ความเสถียร
  • การใช้ CPU

อ้างอิงข้อมูลในชีตเดียวกันหากเป็นไปได้

อ้างอิงข้อมูลในสเปรดชีตเดียวกับที่คุณทํางาน วิธีนี้เร็วกว่าฟังก์ชันนําเข้า เช่น

  • IMPORTRANGE
  • IMPORTDATA
  • IMPORTXML
  • IMPORTHTML

หากคุณใช้ IMPORTRANGE() เพื่อดึงข้อมูลจากสเปรดชีตอื่น ฟังก์ชันนําเข้าที่อ้างอิงข้อมูลระหว่างสเปรดชีตต่างๆ จะยังคงดำเนินการผ่านอินเทอร์เน็ต แม้ว่าคุณจะทําสิ่งต่อไปนี้ก็ตาม

  • เป็นเจ้าของสเปรดชีต
  • เปิดในเบราว์เซอร์เดียวกัน
  • อยู่ในไดรฟ์เดียวกัน

การใช้วิธีนี้กำหนดให้ระบบต้องส่งข้อมูลไป-กลับเพื่อขอและดึงข้อมูล ดังนั้นจึงอาจมีความล่าช้าและการเชื่อมต่อที่ไม่ต่อเนื่องซึ่งความเร็วโหลดช้า

หากย้ายข้อมูลจากสเปรดชีตอื่นไปยังสเปรดชีตของคุณเองและอ้างอิงข้อมูลจากสเปรดชีตดังกล่าว (รวมทั้งแท็บอื่นจากสเปรดชีตเดียวกัน) กระบวนการดึงข้อมูลจะเกิดขึ้นในเครื่อง ไม่ใช่ผ่านอินเทอร์เน็ต วิธีนี้จะช่วยประหยัดเวลา แต่จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อคุณใช้ข้อมูลที่ค่อนข้างคงที่และเชิงกําหนด ซึ่งจะไม่เปลี่ยนแปลง เช่น ประวัติสินค้าคงคลังหรือข้อมูลประวัติ

หากต้องการย้ายข้อมูลด้วยตนเอง ให้คัดลอกข้อมูลที่มีอยู่จากสเปรดชีตอื่นไปยังสเปรดชีตของคุณ โดยทําดังนี้

  1. ถัดจากชื่อชีตที่ด้านล่าง ให้คลิกลูกศรลง ลูกศรลง and then คัดลอกไปยัง and then สเปรดชีตที่มีอยู่
  2. เลือกสเปรดชีตที่จะคัดลอกชีตนี้ไป

เคล็ดลับ: หากไม่พบสเปรดชีตที่จะคัดลอกในมุมมองไดรฟ์ ให้วางที่อยู่เว็บของสเปรดชีตลงในแถบด้านล่าง

ใช้ช่วงแบบปิดแทนการอ้างอิงช่วงแบบเปิด

สเปรดชีตที่มีช่วงเปิดหมายถึงช่วงเริ่มต้นและสิ้นสุดโดยไม่ต้องระบุแถวหรือคอลัมน์ที่เฉพาะเจาะจง เช่น A:B หมายถึงช่วงที่ประกอบด้วยเซลล์ทั้งหมดในคอลัมน์ A และ B

การอ้างอิงช่วงแบบปิดหมายถึงช่วงเริ่มต้นและลงท้ายด้วยแถวหรือคอลัมน์ที่เจาะจง
เช่น A1:B6, A1:C100

ช่วงแบบเปิด: A:B

ช่วงแบบปิด: A1:B6

ตัวอย่าง: สมมติว่าคุณกําลังคํานวณผลรวมของคอลัมน์ A แต่มีเพียง 10 แถวจาก 10,000 แถวเท่านั้นที่มีค่า

  • หากใช้การอ้างอิงช่วงแบบเปิดในฟังก์ชัน SUM ซึ่งก็คือ SUM(A:A) คอมพิวเตอร์จะอ่านทั้ง 10,000 แถว แม้ว่าจะมีเซลล์ว่างในการอ้างอิงช่วงแบบเปิดก็ตาม Google ชีตจะตรวจสอบแต่ละเซลล์เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้เป็นเซลล์ว่าง
  • หากคุณใช้การอ้างอิงแบบปิด ซึ่งก็คือ SUM(A1:A10) คอมพิวเตอร์จะอ่านเฉพาะแถว A1 ถึง A10 และชีตจะคํานวณได้เร็วขึ้น

อ้างอิงฟังก์ชันที่มีค่าผันผวนอย่างมีประสิทธิภาพ

TODAY(), RAND(), RANDBETWEEN() และ NOW() เป็นฟังก์ชันที่มีค่าผันผวนเพราะเปลี่ยนและรีเฟรชเป็นประจําเพื่อให้ข้อมูลเป็นปัจจุบัน โดยฟังก์ชันเหล่านี้จะไม่ได้มีลักษณะคงที่ ตัวอย่างเช่น TODAY() นั้นจะรีเฟรชทุกวัน

ตัวอย่าง: แต่ละแถวในคอลัมน์ B จะอ่านข้อมูลจากแต่ละแถวของคอลัมน์ A ซึ่งหมายความว่าคอลัมน์ A จะรีเฟรชทุกเซลล์เมื่อคอลัมน์ B คํานวณผลลัพธ์

เมื่อคุณอ้างอิงฟังก์ชันที่มีค่าผันผวนซึ่งให้ผลลัพธ์เหมือนกัน เช่น NOW() และ TODAY() ให้ตรวจสอบว่าได้ใช้การอ้างอิงสัมบูรณ์เพื่อให้คุณอ้างอิงเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ในกรณีนี้ คอลัมน์ B จะคํานวณผลลัพธ์โดยขึ้นอยู่กับเซลล์เดียว นั่นคือ A2 เมื่อนําทรัพยากร Dependency ที่ไม่จําเป็นออกแล้ว ชีตจะทํางานได้เร็วขึ้น

หลีกเลี่ยงการใช้เชนการอ้างอิงแบบยาว หากเป็นไปได้

เชนการอ้างอิงจะทําให้ชีตทำงานช้าลง ตัวอย่างเช่น ในกรณีต่อไปนี้ A2 จะอ่านข้อมูล A1 ขณะที่ A3 จะอ่านข้อมูล A2 และทำนองเดียวกันในเซลอื่นๆ เนื่องจากระบบเชื่อมโยงข้อมูลเข้าด้วยกันเพื่อคํานวณค่าใน A10 ทาง Google ชีตจะรอคํานวณค่าก่อนหน้าทั้งหมด (A1 ถึง A9) ก่อนที่จะแสดงผลค่าใน A10

หากต้องการหลีกเลี่ยงไม่ให้มีการคํานวณแบบเชนเมื่อเติมค่าในเซลล์ ให้ใช้การอ้างอิงแบบสัมบูรณ์ ในกรณีนี้ A2 จะอ่านข้อมูลจาก A1 ส่วน A3 จะอ่านข้อมูลจาก A1 เป็นต้น เนื่องจากระบบคำนวณ A1 และแสดงผลค่าแล้ว เซลล์ A2 ถึง A10 ก็จะดึงค่าของ A1 โดยตรง ผลลัพธ์ที่ได้นั้นเหมือนกันแต่จะใช้เวลาคํานวณจะเร็ว

แหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

ค้นหา
ล้างการค้นหา
ปิดการค้นหา
เมนูหลัก
10570046871806697059
true
ค้นหาศูนย์ช่วยเหลือ
true
true
true
true
true
35
false
false