ใช้คําถามที่พบบ่อยนี้เพื่อทําความเข้าใจว่าข้อมูลภาษีสหรัฐอเมริกาที่ต้องส่งให้ Google มีรายละเอียดอย่างไร
การหักภาษี ณ ที่จ่ายและการรายงาน
Google มีหน้าที่รับผิดชอบตามกฎหมายภายใต้บทบัญญัติที่ 3 ของประมวลรัษฎากรแห่งสหรัฐอเมริกาในการหักภาษี ณ ที่จ่ายและรายงานในกรณีที่พาร์ทเนอร์ที่ไม่ได้มีสัญชาติอเมริกันได้รับรายได้จากสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ Google ยังมีภาระหน้าที่ภายใต้บทบัญญัติที่ 61 และมาตรา 3406 ของประมวลรัษฎากรแห่งสหรัฐอเมริกาในการหักภาษี ณ ที่จ่ายสำรอง (หากเกี่ยวข้อง)
ข้อมูลภาษีที่ส่งไปยัง Google จะใช้ในการระบุอัตราการหักภาษี ณ ที่จ่ายที่ถูกต้องสำหรับจำนวนเงินที่จะชําระให้ในอนาคต
บทบัญญัติที่ 3 การหักภาษี ณ ที่จ่ายของสหรัฐอเมริกา
หากคุณได้รับการรับรองอย่างถูกต้องว่าเป็นบุคคลธรรมดาที่ไม่ได้มีสัญชาติอเมริกันหรือธุรกิจที่ไม่ได้จดทะเบียนในสหรัฐอเมริกา จะมีการรายงานภาษีและหักภาษี ณ ที่จ่ายของสหรัฐอเมริกาสำหรับรายได้ในส่วนที่คุณได้รับจากผู้ใช้ในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น รายได้เหล่านี้ (เช่น รายได้จากการดูโฆษณา ธุรกรรม และการสมัครใช้บริการ) เป็นรายได้ที่เกิดจากการใช้งานในสหรัฐอเมริกา
พาร์ทเนอร์ที่มีสัญชาติอเมริกันต้องระบุหมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษีของสหรัฐอเมริกาที่ถูกต้องเพื่อบอกถึงการยกเว้นการหักภาษี ณ ที่จ่ายของสหรัฐอเมริกา (รวมถึงการหักภาษี ณ ที่จ่ายภายใต้บทบัญญัติที่ 3 ของประมวลรัษฎากรแห่งสหรัฐอเมริกา)
อัตราการหักภาษี ณ ที่จ่ายของสหรัฐอเมริกาที่ใช้จะขึ้นอยู่กับเอกสารประกอบด้านภาษีที่คุณได้ให้ไว้กับ Google
หากไม่ได้ส่งแบบฟอร์มภาษีที่ถูกต้อง Google อาจหักภาษี ณ ที่จ่ายสำรอง 24% หรือหักภาษี ณ ที่จ่าย 30% ตามบทบัญญัติที่ 3 สำหรับการชำระเงินที่เกี่ยวข้อง อัตรานี้จะลดลงได้เฉพาะในกรณีที่คุณมีสถานะผู้เสียภาษีในประเทศ/ภูมิภาคที่มีสนธิสัญญาภาษีเงินได้กับสหรัฐอเมริกา และส่งแบบฟอร์มภาษีที่ถูกต้องโดยอ้างสนธิสัญญาอย่างถูกต้อง คุณดูจำนวนเงินขั้นสุดท้ายที่ถูกหักไปได้ในรายงานรายได้ของแต่ละเดือน
การหักภาษี ณ ที่จ่ายสำรอง
ในบางกรณี Google อาจต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย 24% จากรายได้ที่ตรงตามเงื่อนไขทั้งหมดของผู้รับเงิน ซึ่งรวมถึงกรณีต่อไปนี้
- หากพบว่าข้อมูลภาษีที่กรอกลงในแบบฟอร์มภาษีผิดพลาดหรือไม่ถูกต้อง และมีข้อสันนิษฐานว่าคุณเป็นบุคคลอเมริกันภายใต้กฎการสันนิษฐานว่าด้วยการหักภาษี ณ ที่จ่ายของสหรัฐอเมริกา
หากคุณมีรายได้ที่ถูกหักภาษีจากการชำระเงินครั้งหนึ่งๆ นั่นเป็นเพราะบันทึกข้อมูลของเราระบุว่าต้องมีการหักภาษี ณ ที่จ่ายในเวลาที่ชำระเงินนั้น
หากคุณคิดว่าตนเองไม่ต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย โปรดอัปเดตข้อมูลภาษีในบัญชี
คำถามที่พบบ่อย
เตรียมพร้อมสำหรับการกรอกแบบฟอร์มภาษี
เหตุใดฉันจึงต้องกรอกแบบฟอร์มนี้เราขอให้คุณกรอกแบบฟอร์มนี้เพื่อให้ Google ปฏิบัติตามภาระหน้าที่ของตนภายใต้ประมวลรัษฎากรแห่งสหรัฐอเมริกา ("สหรัฐอเมริกา") มาตรา 1441 (บทบัญญัติที่ 3) และมาตรา 3406
แบบฟอร์มนี้ใช้เพื่อระบุอัตราการหักภาษี ณ ที่จ่ายที่ถูกต้องจากจำนวนเงินที่เกี่ยวข้องซึ่งชำระให้แก่คุณ ในกรณีที่มีการหักภาษี ณ ที่จ่ายสำหรับการชำระเงินในอนาคต
Internal Revenue Service ("IRS") กำหนดให้ Google ปรับปรุงแบบฟอร์มภาษีสำหรับพาร์ทเนอร์และผู้ให้บริการที่ไม่มีสัญชาติอเมริกันในเวลาต่อไปนี้ แล้วแต่เวลาใดจะถึงก่อน
- ทุกๆ 3 ปี หรือ
- ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงในสถานการณ์ซึ่งจะส่งผลต่อความถูกต้องของแบบฟอร์ม
Google กำลังอัปเดตข้อมูลผู้รับเงินให้สอดคล้องกับกฎข้อบังคับของ IRS เหล่านี้
แม้ว่าคําถามในแบบฟอร์มภาษีจะเป็นภาษาที่ศูนย์พาร์ทเนอร์ของคุณรองรับ แต่ช่องในแบบฟอร์มดังกล่าวรองรับเฉพาะอักขระต่อไปนี้
- ตัวอักษรพิมพ์ใหญ่หรือพิมพ์เล็ก: a-z, A-Z
- ตัวเลข: 0-9
- ขีดกลางสั้น: -
- แอมเพอร์แซนด์: &
- เว้นวรรค
หากภาษาของคุณใช้อักขระที่มีเครื่องหมายเน้นเสียง ให้ใช้ตัวอักษรที่เทียบเท่ากัน เช่น n แทน ñ หรือ a แทน á Internal Revenue Service (หน่วยงานด้านภาษีของสหรัฐอเมริกาหรือ IRS) กำหนดให้คุณรายงานข้อมูลภาษีโดยใช้
- ตัวอักษรพิมพ์ใหญ่หรือพิมพ์เล็ก: a-z, A-Z
- ตัวเลข: 0-9
- ขีดกลางสั้น: -
- แอมเพอร์แซนด์: &
- เว้นวรรค
หากเป็นไปได้ โปรดอ้างอิงเอกสารที่มีอยู่แล้วซึ่งมีชื่อหรือที่อยู่ของคุณเป็นลายลักษณ์อักษร เช่น หนังสือเดินทางหรือใบขับขี่
วิธีเลือกแบบฟอร์มภาษี
บัญชีบุคคลธรรมดาและบัญชีที่ไม่ใช่บุคคลธรรมดาต่างกันอย่างไร- บัญชีบุคคลธรรมดา: บุคคลธรรมดาเป็นเจ้าของและดําเนินการเอง ไม่ใช่องค์กรตามกฎหมาย และจะมีการยื่นภาษีในนามเจ้าของในแบบแสดงรายการภาษีส่วนบุคคล
- บัญชีที่ไม่ใช่บุคคลธรรมดา: บัญชีของธุรกิจที่แยกต่างหากจากเจ้าของธุรกิจเพื่อวัตถุประสงค์ด้านภาษี เรียกอีกอย่างว่า "บัญชีนิติบุคคล"
ระบบจะสร้างแบบฟอร์มภาษีที่ถูกต้องโดยอัตโนมัติตามคำตอบที่คุณให้ไว้ หากมีข้อสงสัย โปรดปรึกษาที่ปรึกษาด้านภาษีของคุณ
- แบบฟอร์ม W-9 มีไว้สำหรับบุคคลอเมริกัน บริษัท พาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ เป็นต้น
- โดยทั่วไปแล้ว บุคคลธรรมดาที่ไม่ได้มีสัญชาติอเมริกันและนิติบุคคลที่ไม่ได้จดทะเบียนในสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์จากรายได้ที่ได้รับจะต้องใช้แบบฟอร์ม W-8BEN หรือแบบฟอร์ม W-8BEN-E (ตามลำดับ) โดยแบบฟอร์มดังกล่าวอาจใช้เพื่ออ้างสิทธิประโยชน์จากสนธิสัญญา (หรืออีกนัยหนึ่งคือการหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตราที่ลดลง)
- แบบฟอร์ม W-8ECI มีไว้สำหรับบุคคลที่อ้างว่ารายได้ที่ได้รับมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมีผลกับการทำการค้าหรือการดำเนินธุรกิจในสหรัฐอเมริกา ผู้รับเงินทุกรายที่กรอกแบบฟอร์ม W-8ECI จะต้องมี TIN ของสหรัฐอเมริกา
- แบบฟอร์ม W-8IMY มีไว้สำหรับคนกลางที่ไม่ได้มีสัญชาติอเมริกัน พาร์ทเนอร์ทางธุรกิจและนิติบุคคลที่ส่งผ่านซึ่งไม่ได้จดทะเบียนในสหรัฐอเมริกา หากคุณกรอกแบบฟอร์มนี้ Google อาจขอให้ส่งเอกสารประกอบเพิ่มเติม (เช่น คำชี้แจงการจัดสรร)
- นิติบุคคลใช้แบบฟอร์ม W-8EXP เพื่อให้มีสถานะเป็นผู้รับประโยชน์ที่ไม่ได้จดทะเบียนในสหรัฐอเมริกา และเพื่อให้มีสิทธิ์ได้รับการหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตราที่ลดลงในฐานะธนาคารกลางของรัฐบาลที่ไม่ใช่ของสหรัฐอเมริกา องค์กรระหว่างประเทศ องค์กรที่ได้รับยกเว้นภาษีที่ไม่ใช่ของสหรัฐอเมริกา มูลนิธิต่างชาติที่เป็นของเอกชนและไม่ใช่ของสหรัฐอเมริกา หรือรัฐบาลภายใต้การปกครองของสหรัฐอเมริกา
ที่อยู่ การยืนยันตัวตน และข้อจำกัดเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์
ฉันควรคาดหวังสิ่งใดระหว่างที่ดำเนินการตามกระบวนการนี้ประเด็นสำคัญบางส่วนที่คุณควรคำนึงถึงเมื่อดำเนินการตามกระบวนการนี้มีดังนี้
- อย่าใช้ตู้ ปณ. หรือ "ที่อยู่สําหรับการส่งต่อ" เป็นที่อยู่อาศัยถาวร: เราพบว่าบางคนหรือบางธุรกิจระบุตู้ไปรษณีย์หรือ "ที่อยู่สําหรับการส่งต่อ" เป็นที่อยู่อาศัยถาวร หากที่อยู่อาศัยถาวรของคุณใช้ตู้ ปณ. ที่อยู่สำหรับการส่งต่อ หรือบริษัทที่เป็นผู้ให้บริการ (เช่น สำนักงานกฎหมายหรือบริษัททรัสต์) คุณอาจต้องอัปโหลดสำเนาเอกสารการจัดตั้งบริษัทหรือเอกสารอื่นๆ ที่รับรองว่าที่อยู่นั้นเป็นที่อยู่ตามกฎหมายที่คุณจดทะเบียน
- การยืนยันตัวตน: คุณอาจต้องยืนยันตัวตนหากเกิดกรณีใดกรณีหนึ่งต่อไปนี้
- ไม่มี TIN หรือ TIN ไม่ใช่ตัวเลข 9 หลัก
- ในปัจจุบันยังไม่มีการออก TIN ที่คุณป้อน
- คู่ของ TIN กับชื่อไม่ตรงกับบันทึกของ IRS
- คำขอจับคู่ TIN ไม่ถูกต้อง
- หากมีที่อยู่ในสหรัฐอเมริกา จะต้องระบุข้อมูลสนับสนุนเพิ่มเติม: หากคุณอ้างว่ามีสถานะเป็นผู้พำนักในสหรัฐอเมริกาที่ไม่ใช่บุคคลอเมริกัน และมีที่อยู่ถาวรหรือที่อยู่จัดส่งในสหรัฐอเมริกา คุณจะต้องให้ข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนข้อเท็จจริงที่ว่าคุณไม่ใช่บุคคลอเมริกัน
- ข้อจำกัดด้านสิทธิประโยชน์ (นิติบุคคลเท่านั้น): นิติบุคคลที่อ้างสิทธิประโยชน์จากสนธิสัญญาต้องรับรองว่าตนมีคุณสมบัติตามข้อกำหนดของข้อจำกัดด้านสิทธิประโยชน์ในสนธิสัญญาภาษีที่เกี่ยวข้อง โปรดศึกษาสนธิสัญญาภาษีที่เกี่ยวข้องกับคุณหรือสอบถามผู้เชี่ยวชาญที่ให้คำปรึกษาด้านภาษีเพื่อพิจารณาว่าคุณมีสิทธิ์ได้รับสิทธิประโยชน์จากสนธิสัญญาภาษีหรือไม่
ข้อมูลประจำตัวผู้เสียภาษี
คำสำคัญสำหรับข้อมูลประจำตัวผู้เสียภาษีมีอะไรบ้างชื่อตามกฎหมาย
ใส่ชื่อตามกฎหมายให้ตรงกับที่ปรากฏในเอกสารทางกฎหมายทุกประการ
- หากได้รับรายได้ในฐานะบุคคลธรรมดา โปรดระบุชื่อตามกฎหมายในช่องชื่อ คุณอาจต้องระบุชื่อที่แปลแล้วตามที่ปรากฏในเอกสารทางกฎหมาย (เช่น หนังสือเดินทาง)
- หากคุณมีธุรกิจที่ต้องการเชื่อมโยงกับแบบฟอร์ม ให้ระบุธุรกิจดังกล่าวในช่อง DBA หากโปรไฟล์การชําระเงินของคุณอยู่ภายใต้ชื่อธุรกิจ ให้ใส่ชื่อนั้นในช่อง DBA
- หากได้รับรายได้ในฐานะนิติบุคคล ชื่อนิติบุคคลของคุณจะต้องอยู่ในช่องชื่อ หากโปรไฟล์การชําระเงินของคุณอยู่ภายใต้ชื่อบุคคลธรรมดา ให้ใส่ชื่อดังกล่าวในช่อง DBA
ระบบอาจขอให้คุณส่งเอกสารเพิ่มเติมเพื่อยืนยันชื่อตามกฎหมาย ดูวิธีอัปเดตโปรไฟล์การชําระเงิน
ชื่อที่ใช้ในการดำเนินธุรกิจ (DBA)
ชื่อประกอบธุรกิจในนาม (ชื่อที่ใช้ในการดำเนินธุรกิจ) คือชื่อบริษัทที่เป็นคนละชื่อกับชื่อเจ้าของ คุณอาจระบุชื่อตามกฎหมายของบุคคลก็ได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับประเภทของแบบฟอร์มที่คุณกรอก
นิติบุคคลซึ่งไม่ถือว่าเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายภาษี
นิติบุคคลซึ่งไม่ถือว่าเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายภาษี (Disregarded entity) คือองค์กรธุรกิจที่มีเจ้าของรายเดียว ไม่ใช่องค์กรภายใต้กฎหมายภาษีของสหรัฐอเมริกา และไม่ถือว่าเป็นนิติบุคคลที่แยกจากเจ้าของตามวัตถุประสงค์ด้านภาษีเงินได้ของรัฐบาลกลางสหรัฐอเมริกา
ดูข้อมูลเกี่ยวกับนิติบุคคลซึ่งไม่ถือว่าเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายภาษีจาก IRS (หน่วยงานด้านภาษีของสหรัฐอเมริกา)หมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษี (TIN) คือหมายเลขประมวลผลภาษีที่ IRS (หน่วยงานด้านภาษีของสหรัฐอเมริกา) กำหนดให้ระบุในแบบฟอร์มภาษีทั้งหมดของสหรัฐอเมริกา บุคคลที่ไม่ใช่พลเมืองสหรัฐอเมริกาอาจต้องใช้ TIN บุคคลธรรมดา (ITIN) หากอ้างสิทธิประโยชน์จากสนธิสัญญาภาษี คุณจะต้องระบุ TIN สำหรับชาวต่างชาติ หรือ TIN ของสหรัฐอเมริกา ดูข้อมูลเกี่ยวกับ TIN จาก IRS
เคล็ดลับ: Google ไม่ได้ตรวจสอบหรือดูแลหน้าต่างๆ ในเว็บไซต์ IRS จึงยืนยันความถูกต้องของข้อมูลที่แสดงอยู่ไม่ได้ หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม โปรดติดต่อขอคำปรึกษาด้านภาษีจากผู้เชี่ยวชาญ
หากต้องการทราบหมายเลขประจําตัวผู้เสียภาษีที่ยอมรับ โปรดติดต่อหน่วยงานด้านภาษีในท้องถิ่นหรือขอคําแนะนําด้านภาษีจากผู้เชี่ยวชาญ Google ให้คำปรึกษาด้านภาษีไม่ได้
ตัวอย่างของ TIN สำหรับชาวต่างชาติจากทั่วโลกอาจรวมถึงรายการต่อไปนี้ (เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนเท่านั้น)
- อินเดีย: หมายเลขบัญชีถาวร (Permanent Account Number หรือ PAN)
- อินโดนีเซีย: Nomor Pokok Wajib Pajak (NPWP)
- ญี่ปุ่น: หมายเลขบุคคล (Individual Number หรือที่เรียกว่า "หมายเลขของฉัน (My Number)")
- รัสเซีย: หมายเลขประจำตัวส่วนบุคคลสำหรับผู้เสียภาษี (Taxpayer Personal Identification Number หรือ INN)
- สหราชอาณาจักร: หมายเลขอ้างอิงประจำตัวผู้เสียภาษีที่ไม่ซ้ำกัน (Unique Taxpayer Reference หรือ UTR), หมายเลขประกันสังคม (National Insurance Number หรือ NINO)
โปรดติดต่อหน่วยงานด้านภาษีในพื้นที่หรือผู้เชี่ยวชาญที่ให้คำปรึกษาด้านภาษีเพื่อระบุหมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษีที่ยอมรับ Google ให้คำปรึกษาด้านภาษีไม่ได้
Google จะตรวจยืนยันข้อมูลภาษีของผู้จัดพิมพ์กับ Internal Revenue Service (IRS) ของสหรัฐอเมริกาเป็นระยะๆ ในระหว่างการตรวจสอบนี้ IRS อาจแจ้งให้เราทราบว่าข้อมูลภาษีในบัญชีของคุณนั้นไม่ถูกต้องหรือไม่อัปเดต ในกรณีนี้ เราจะระงับการชำระเงินให้คุณจนกว่าคุณจะส่งข้อมูลภาษีมาใหม่ นี่เป็นขั้นตอนป้องกันการดำเนินการทางกฎหมายจาก IRS
สาเหตุที่อาจทำให้ข้อมูลภาษีของคุณถูกรายงานว่าไม่ถูกต้องหรือไม่อัปเดตมีดังนี้
- ไม่มีหมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษี (TIN) หรือ TIN ไม่ใช่ตัวเลข 9 หลัก
- ในปัจจุบันยังไม่มีการออก TIN ที่คุณป้อน
- คู่ของ TIN กับชื่อไม่ตรงกับบันทึกของ IRS
- คำขอจับคู่ TIN ไม่ถูกต้อง
สิทธิประโยชน์จากสนธิสัญญาภาษี
ประเทศ/ภูมิภาคของฉันและสหรัฐอเมริกามีสนธิสัญญาภาษีเงินได้ ฉันจะแน่ใจได้อย่างไรว่ารายละเอียดในสนธิสัญญามีผลบังคับใช้หากประเทศ/ภูมิภาคของคุณกับสหรัฐอเมริกามีสนธิสัญญาภาษีเงินได้ เครื่องมือภาษีในศูนย์พาร์ทเนอร์จะระบุรายละเอียดไว้ระหว่างการส่งแบบฟอร์มภาษี
คุณดูได้ว่าประเทศ/ภูมิภาคของคุณมีสนธิสัญญาภาษีกับสหรัฐอเมริกาหรือไม่ในเว็บไซต์ IRS
ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่ Google ไม่ได้ดูแลหรือตรวจสอบ จึงยืนยันความถูกต้องของข้อมูลที่แสดงในเว็บไซต์นั้นไม่ได้ หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม โปรดติดต่อขอคำปรึกษาด้านภาษีจากผู้เชี่ยวชาญ
บางครั้งการชำระเงินที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ของ Google อาจอยู่ในหลายหมวดหมู่ด้วยกัน Google จะหักเงินตามอัตราที่เหมาะสมโดยอิงตามประเภทรายได้ที่ชำระและการอ้างสนธิสัญญาที่เกี่ยวข้อง Google จะไม่ใช้การอ้างสนธิสัญญาเพิ่มเติมเว้นแต่จะมีการจ่ายรายได้ประเภทดังกล่าว รายได้จากพาร์ทเนอร์ Play Books อยู่ภายใต้หมวดหมู่ "ค่าลิขสิทธิ์อื่นๆ"
วิธีแสดงตัวอย่างเอกสารภาษี
ฉันจะแสดงตัวอย่างแบบฟอร์มภาษีที่กรอกไว้ได้ไหมใบรับรองการเสียภาษี
กิจกรรมในสหรัฐอเมริกาคืออะไรคุณสามารถส่งหนังสือรับรองว่าสถานการณ์ไม่เปลี่ยนแปลงพร้อมกับแบบฟอร์ม W-8 ที่ถูกต้องได้ หนังสือรับรองนี้จะทำให้ Google สามารถใช้แบบฟอร์มที่จัดเตรียมขึ้นใหม่กับช่วงเวลาก่อนหน้าซึ่งผู้จัดพิมพ์ได้รับการชําระเงิน ซึ่งหมายความว่า Google อาจถือว่าการชำระเงินในช่วงระยะเวลาก่อนหน้าที่เกี่ยวเนื่องกับหนังสือรับรองนั้นมีสถานะภาษีเดียวกันกับที่ระบุในปัจจุบันตามแบบฟอร์มภาษีใหม่
การส่งหนังสือรับรองอาจช่วย Google ในการคืนภาษีที่หัก ณ ที่จ่าย หากแบบฟอร์มกำหนดให้ผู้จัดพิมพ์ใช้อัตราการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายที่ต่ำกว่า และผู้จัดพิมพ์ได้ยื่นขอคืนภาษีภายในไทม์ไลน์ตามกฎหมายสำหรับการคืนเงิน (วันที่ 31 ธันวาคมของปีที่มีการหักภาษี ณ ที่จ่าย)
การส่งและการตรวจสอบ
แบบฟอร์มภาษีของฉันมีสถานะใด- อยู่ระหว่างการตรวจสอบ: ข้อมูลภาษีที่คุณส่งไปกำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ
- ซึ่งอาจใช้เวลาถึง 7 วันทำการ
- หากต้องใช้เอกสารเพิ่มเติมเพื่อตรวจสอบข้อมูลภาษีหรือยืนยันตัวตนของคุณ เราจะแจ้งให้คุณทราบในศูนย์การชำระเงินของ Google และทางอีเมล
- อนุมัติแล้ว: ระบบยอมรับข้อมูลภาษีตามที่คุณส่ง
- ถูกปฏิเสธ: ข้อมูลภาษีของคุณอาจถูกปฏิเสธเนื่องจากเหตุผลข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้
- บันทึกของ IRS ไม่มีหมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษี (TIN) ที่คุณป้อน ซึ่งอาจเป็นเพราะระบบ IRS ยังไม่ได้อัปเดตหรือคุณเพิ่งสร้าง TIN เมื่อเร็วๆ นี้
- คู่ของ TIN และชื่อที่คุณป้อนไม่ตรงกับบันทึกของ IRS
- ไม่สามารถตรวจสอบข้อมูลภาษีของคุณด้วยเอกสารที่ให้มา
หากแบบฟอร์มของคุณถูกปฏิเสธ เราจะแจ้งให้ทราบในศูนย์การชำระเงินของ Google และทางอีเมล โปรดส่งแบบฟอร์มใหม่หรือติดต่อที่ปรึกษาด้านภาษีของคุณ ในโปรไฟล์การเรียกเก็บเงิน โปรดตรวจสอบว่าข้อมูลทางกฎหมายของคุณตรงกับข้อมูลในแบบฟอร์มภาษีทุกประการก่อนส่งแบบฟอร์ม
ข้อมูลที่คุณให้ไว้ในเครื่องมือภาษีจะผ่านการตรวจสอบหลายขั้นตอนเพื่อความปลอดภัย ถูกต้อง และครบถ้วน บางครั้งข้อผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ในเอกสารอาจทำให้มีการรายงานข้อมูลภาษีของคุณว่า "อยู่ระหว่างการตรวจสอบ" การตรวจสอบว่าข้อมูลภาษีที่คุณให้ไว้ตรงกับข้อมูลในโปรไฟล์การชำระเงินเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลดความล่าช้าในการประมวลผลข้อมูลภาษี
กรณีทั่วไปที่จะส่งผลให้มีการตรวจสอบมีดังต่อไปนี้
สำหรับแบบฟอร์ม W9:
- "ชื่อตามกฎหมาย" ที่ระบุในเครื่องมือภาษีไม่ตรงกับชื่อในโปรไฟล์การชำระเงิน
- ชื่อ "นิติบุคคลซึ่งไม่ถือว่าเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายภาษี" ที่ระบุในเครื่องมือภาษีไม่ตรงกับชื่อในโปรไฟล์การชำระเงิน
- หมายเลขประกันสังคม (SSN) ที่ระบุในเครื่องมือภาษีไม่ถูกต้องหรือเป็นของบุคคลที่มีชื่อไม่ตรงกับชื่อในบัญชี กรณีนี้อาจใช้เวลาตรวจสอบนานกว่าปกติ
สำหรับแบบฟอร์ม W8:
- "ชื่อตามกฎหมาย" ที่ระบุในเครื่องมือภาษีไม่ตรงกับชื่อในโปรไฟล์การชำระเงิน
- ชื่อ "นิติบุคคลซึ่งไม่ถือว่าเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายภาษี" ที่ระบุในเครื่องมือภาษีไม่ตรงกับชื่อในโปรไฟล์การชำระเงิน
- "ที่อยู่อาศัย" หรือ "ที่อยู่จัดส่ง" ที่ระบุในเครื่องมือภาษีอยู่ในสหรัฐอเมริกา หรือไม่ตรงกับประเทศ/ภูมิภาคที่คุณอ้างสิทธิประโยชน์จากสนธิสัญญา
- มีการระบุที่อยู่ "สำหรับการส่งต่อ" หรือ "ตู้ ปณ." ไว้ในเครื่องมือภาษี
- มีการใส่ข้อมูลในช่อง "กระทำการในฐานะ" ของแบบฟอร์มในเครื่องมือภาษี
คุณอาจต้องยืนยันตัวตนหากเกิดกรณีใดกรณีหนึ่งต่อไปนี้
- ไม่มี TIN หรือ TIN ไม่ใช่ตัวเลข 9 หลัก
- ในปัจจุบันยังไม่มีการออก TIN ที่คุณป้อน
- คู่ของ TIN กับชื่อไม่ตรงกับบันทึกของ IRS
- คำขอจับคู่ TIN ไม่ถูกต้อง
- ลงชื่อเข้าใช้บัญชีที่ศูนย์พาร์ทเนอร์ Google Play Books
- คลิกแท็บศูนย์การชำระเงิน
- ใน "โปรไฟล์การชำระเงิน" ให้คลิกแก้ไข จัดการการตั้งค่า ข้อมูลภาษีของสหรัฐอเมริกา จัดการข้อมูลภาษี
- คลิกลิงก์ไปยังแบบฟอร์มภาษีที่คุณส่ง
- หากชื่อในโปรไฟล์การชำระเงินตรงกับชื่อตามกฎหมายที่ถูกต้องของคุณ ให้ส่งแบบฟอร์มภาษีอีกครั้ง
- หากชื่อในโปรไฟล์การชำระเงินไม่ถูกต้อง ให้อัปเดตชื่อในโปรไฟล์การชำระเงินเป็นชื่อตามกฎหมายของคุณแล้วส่งแบบฟอร์มภาษีอีกครั้ง
เคล็ดลับ: หากคุณมี "ชื่อที่ใช้ในการดำเนินธุรกิจ" (DBA หรือ D/B/A) ให้ป้อนชื่อดังกล่าวในส่วนที่เกี่ยวข้องของแบบฟอร์มภาษี
- ลงชื่อเข้าใช้บัญชีที่ศูนย์พาร์ทเนอร์ Google Play Books
- คลิกแท็บศูนย์การชำระเงิน
- ใน "โปรไฟล์การชำระเงิน" ให้คลิกแก้ไข จัดการการตั้งค่า
- เลื่อนลงไปที่ "ชื่อและที่อยู่" หรือ "ชื่อธุรกิจและที่อยู่" เพื่อดูชื่อบุคคลธรรมดาหรือชื่อธุรกิจที่เชื่อมโยงกับบัญชีของคุณ
รายรับและรายได้
ฉันต้องเตรียมเอกสารใดบ้างหากมีการรายงานให้ตรวจสอบข้อมูลภาษีสหรัฐอเมริกาของฉันการหักภาษี ณ ที่จ่าย เกิดขึ้นเมื่อมีการหักภาษีจากจำนวนเงินที่ชําระให้คุณ เพื่อนำไปชำระแก่รัฐบาลตามภาระหน้าที่ด้านการเสียภาษีในสหรัฐอเมริกาของผู้รับเงิน
ภายใต้กฎหมายภาษีของสหรัฐอเมริกา Google เป็นผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย ซึ่งต้องปฏิบัติตามกฎหมายภาษีของสหรัฐอเมริกา และในกรณีที่กฎหมายกำหนดไว้ จะต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายจากรายได้ Play Books ที่เกี่ยวข้อง การหักภาษี ณ ที่จ่ายจะเริ่มขึ้นอย่างเร็วที่สุดในเดือนมิถุนายน 2021
หากคุณให้ข้อมูลภาษีที่ถูกต้อง จะมีการหักภาษี ณ ที่จ่ายและการรายงานเฉพาะสำหรับรายได้ในส่วนที่คุณได้จากผู้อ่านในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น
อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายที่แน่นอนจะกําหนดตามข้อมูลภาษีที่คุณให้กับ Google คุณสามารถดูอัตราการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายในส่วน "จัดการข้อมูลภาษี" ในการตั้งค่าการชำระเงินของศูนย์พาร์ทเนอร์เมื่อคุณส่งแบบฟอร์มแล้ว จํานวนที่หักภาษี ณ ที่จ่ายจะไม่แสดงใน Play Books Analytics
ตัวอย่างสมมติ
ผู้จัดพิมพ์ Play Books ในอินเดียในโปรแกรมพาร์ทเนอร์ Play Books ได้รับเงิน 30,000 บาทจาก Play Books ในเดือนที่ผ่านมา จากเงิน 30,000 บาทดังกล่าว หนังสือของผู้จัดพิมพ์รายนี้สร้างรายได้ 3,000 บาทจากผู้อ่านในสหรัฐอเมริกา
ตัวอย่างสถานการณ์การหักภาษี ณ ที่จ่ายที่เป็นไปได้มีดังนี้
- ผู้จัดพิมพ์ไม่ส่งข้อมูลภาษี: จำนวนเงินภาษีขั้นสุดท้ายที่หักคือ 7,200 บาท เนื่องจากอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายจะไม่เกิน 24% ของรายได้รวมทั่วโลกหากไม่ส่งข้อมูลภาษี ซึ่งหมายความว่า เราจะต้องหักภาษีสูงสุดไม่เกิน 24% ของรายได้รวมทั่วโลกของผู้จัดพิมพ์รายนั้น ไม่ใช่เฉพาะรายได้ในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น จนกว่าผู้จัดพิมพ์จะส่งข้อมูลภาษีที่ครบถ้วนสมบูรณ์
- ผู้จัดพิมพ์ส่งข้อมูลภาษีและอ้างสิทธิประโยชน์จากสนธิสัญญา: จำนวนเงินภาษีขั้นสุดท้ายที่หักคือ 450 บาท เนื่องจากอินเดียและสหรัฐอเมริกามีความสัมพันธ์ตามสนธิสัญญาภาษีซึ่งลดอัตราภาษีลงเป็น 15% ของรายได้จากการขายในสหรัฐอเมริกา
- ผู้จัดพิมพ์ส่งข้อมูลภาษี แต่ไม่มีสิทธิ์ได้รับสิทธิประโยชน์จากสนธิสัญญาภาษี: จำนวนเงินภาษีขั้นสุดท้ายที่หักจะเป็น 900 บาท เนื่องจากอัตราภาษีที่ไม่มีสนธิสัญญาภาษีคือ 30% ของรายได้จากการขายในสหรัฐอเมริกา
คำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่ายโดยประมาณ
ใช้การคํานวณตามตัวอย่างนี้เพื่อทําความเข้าใจผลกระทบต่อรายได้จาก Play Books ของคุณ
- ไปที่รายงานรายได้ใน Play Books Analytics และตั้งค่าตัวกรองวันที่เป็นระยะเวลาการชำระเงินที่เกี่ยวข้อง เช่น 1–31 ตุลาคม การตั้งค่า Play Books Analytics เป็นสกุลเงินที่คุณได้รับการชําระ เช่น ดอลลาร์สหรัฐ อาจจะดีที่สุด
- ใช้ตัวกรองทางภูมิศาสตร์เพื่อดูรายได้โดยประมาณจากสหรัฐอเมริกา ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลุ่มเป้าหมายของคุณใน Play Books Analytics
- ไปที่บัญชีศูนย์พาร์ทเนอร์เพื่อดูอัตราการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย อัตราการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายจะปรากฏขึ้นหลังจากที่คุณส่งข้อมูลภาษีสหรัฐอเมริกา
- คูณตัวเลขจากผลลัพธ์ของขั้นตอนที่ 2 และ 3 ด้านบน
การขายในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ
จะเกิดอะไรขึ้นหากฉันไม่ได้รับรายได้จากการขายในสหรัฐอเมริกาGoogle ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายสำหรับสหรัฐอเมริกาเฉพาะจากรายได้ Play Books ที่คุณได้รับจากผู้อ่านในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น กฎหมายภาษีเงินได้ของท้องถิ่นอาจยังคงมีผลบังคับใช้กับรายได้จาก Play Books ของคุณ
มีหลายประเทศ/ภูมิภาคที่มีสนธิสัญญาภาษีซึ่งลดหรือยกเว้นการเก็บภาษีซ้อน นอกจากนี้ บางประเทศ/ภูมิภาคอาจอนุญาตให้มีการเครดิตภาษีต่างประเทศเพื่อช่วยลดภาระภาษีระหว่างประเทศอีกด้วย การอ้างสนธิสัญญาภาษีในเครื่องมือภาษีในศูนย์พาร์ทเนอร์อาจช่วยให้คุณลดภาระภาษีได้ โปรดปรึกษาที่ปรึกษาด้านภาษีของคุณภาษีหัก ณ ที่จ่ายและ Google
Google จัดเอกสารการรายงานภาษีประเภทใดไว้ให้คุณสามารถดูจํานวนเงินภาษีหัก ณ ที่จ่ายขั้นสุดท้ายได้ในรายงานการชำระเงินของศูนย์พาร์ทเนอร์ตามรอบการชำระเงินของคุณ
ผู้จัดพิมพ์ทุกรายที่ส่งข้อมูลภาษีและรับการชำระเงินที่ตรงตามเงื่อนไขจะได้รับแบบฟอร์มภาษี (เช่น 1042-S หรือ 1099-MISC) ในวันที่หรือก่อนวันที่ 15 มีนาคมของทุกปีสําหรับการหักภาษี ณ ที่จ่ายของปีที่ผ่านมา หากต้องการขอสําเนา แก้ไข หรือยกเลิกแบบฟอร์มภาษีปลายปีของสหรัฐอเมริกา โปรดไปที่ศูนย์ช่วยเหลือของศูนย์พาร์ทเนอร์
ในบางกรณี Google อาจคืนเงินภาษีหัก ณ ที่จ่ายของสหรัฐอเมริกาหากได้รับข้อมูลภาษีที่อัปเดตภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2021 เช่น หากได้รับแบบฟอร์มภาษี W-8 ที่อัปเดตพร้อมทั้งอ้างสิทธิ์การใช้อัตราภาษีที่ต่ำกว่าภายในเวลาที่เหมาะสม Google จะคำนวณจำนวนเงินภาษีหัก ณ ที่จ่ายอีกครั้งและคืนเงินส่วนต่างให้
คุณจะต้องให้หนังสือรับรองว่าสถานการณ์ไม่เปลี่ยนแปลงและประกาศว่าการเปลี่ยนแปลงที่ทําในแบบฟอร์มใช้กับวันที่ผ่านมาในอดีต โดยดําเนินการได้ในส่วน "หนังสือรับรองการเปลี่ยนแปลงสถานะ" ในขั้นตอนที่ 6 ของเครื่องมือภาษีในศูนย์พาร์ทเนอร์
คุณจะเห็นการคืนเงินเหล่านี้ในรอบการชําระเงินหลังจากที่อัปเดตแบบฟอร์ม
กรณีเหล่านี้มีไม่มาก และเราจะต้องได้รับข้อมูลภาษีที่ถูกต้องภายในวันสิ้นปีปฏิทินที่มีการหักภาษีนั้น หากไม่ได้ให้ข้อมูลภาษีที่ถูกต้องภายในวันสิ้นปีปฏิทิน คุณจะต้องยื่นคําขอเงินคืนไปยัง IRS โดยตรง เราแนะนำให้คุณขอคำปรึกษาด้านภาษีจากผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้
คุณสามารถดูรายการคืนเงินที่เกี่ยวข้องในรายงานการชำระเงินของศูนย์พาร์ทเนอร์เมื่อสิ้นสุดรอบการชำระเงินหลังจากที่อัปเดตข้อมูลภาษีในศูนย์พาร์ทเนอร์
การหักภาษี ณ ที่จ่าย
การหักภาษี ณ ที่จ่ายของสหรัฐอเมริกาจะเกิดขึ้นเมื่อใดโดยทั่วไป ผู้ที่ไม่ใช่บุคคลอเมริกันและมีเอกสารรับรองจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา (โดยมีแบบฟอร์ม W-8 ที่ถูกต้องในระบบ) จะต้องเสียภาษีสหรัฐอเมริกาสำหรับรายได้ที่มาจากแหล่งเงินได้ในสหรัฐอเมริกา ตัวอย่างเช่น หากผู้ที่ไม่ใช่บุคคลอเมริกันดำเนินการให้บริการในสหรัฐอเมริกา การชำระเงินที่เกี่ยวข้องกับบริการที่ดำเนินการในสหรัฐอเมริกาจะต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายสำหรับสหรัฐอเมริกา
อัตราการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายจะขึ้นอยู่กับประเภทของรายได้ที่ได้รับ การมีสิทธิ์หรือไม่มีสิทธิ์รับสิทธิประโยชน์จากสนธิสัญญาของผู้รับเงิน ซึ่งในกรณีที่มีสิทธิ์ จะต้องกรอกแบบฟอร์ม W-8 อย่างถูกต้องเพื่ออ้างสิทธิประโยชน์จากสนธิสัญญา IRS กำหนดให้ผู้ที่ชำระเงินให้แก่บุคคลที่ไม่ใช่บุคคลอเมริกันทำการหักเงิน และส่งเงินจำนวนนั้นให้ IRS (หากเกี่ยวข้อง) รวมถึงต้องส่งข้อมูลบางอย่างในวันสุดท้ายของปีปฏิทินที่ชำระเงิน
หากไม่มีการส่งแบบฟอร์มภาษีที่ถูกต้อง อัตราการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายเริ่มต้นโดยทั่วไปจะเป็น 30% ของการชำระเงินที่เกี่ยวข้อง อัตรานี้อาจลดลงในกรณีต่อไปนี้
- คุณเป็นผู้เสียภาษีของประเทศ/ภูมิภาคที่มีสนธิสัญญาภาษีเงินได้กับสหรัฐอเมริกา
- ประเภทรายได้ที่คุณได้รับมีสิทธิ์รับสิทธิประโยชน์จากสนธิสัญญา
- คุณปฏิบัติตามข้อกําหนดทั้งหมดของสนธิสัญญาและอ้างสิทธิประโยชน์จากสนธิสัญญาอย่างถูกต้อง
ในบางกรณี อัตราการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายเริ่มต้นจะเป็น 24% เมื่อสันนิษฐานว่าพาร์ทเนอร์ที่ไม่มีเอกสารรับรองจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกาเป็นบุคคลอเมริกัน
หากต้องการดูอัตราการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายที่เกี่ยวข้องในโปรไฟล์การชำระเงิน ให้ไปที่การตั้งค่า จัดการข้อมูลภาษี