คำสั่งเหล่านี้มีไว้สำหรับผู้ดูแลระบบและผู้แก้ไขที่เปิดใช้งานการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ได้จากผู้ใช้ และต้องการเริ่มส่งข้อมูลที่ได้จากผู้ใช้จากเว็บไซต์โดยใช้ Google Tag Manager.
Before you begin
You must turn on user-provided data collection in Google Analytics.
เลือกวิธีตั้งค่าการเก็บรวบรวมข้อมูล
เลือกวิธีที่ต้องการตั้งค่าการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ได้จากผู้ใช้ใน Tag Manager
| ตัวเลือก | คำอธิบาย |
|---|---|
| การรวบรวมอัตโนมัติ | Google Analytics จะตรวจสอบหน้าเว็บเพื่อหาสตริงที่ตรงกับรูปแบบของอีเมล หมายเลขโทรศัพท์และที่อยู่จะไม่รวมอยู่ในตัวเลือกนี้ เราขอแนะนำให้เพิ่มตัวเลือกด้วยตัวเลือกต่อไปนี้ ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับตัวเลือกนี้ |
| การกําหนดค่าด้วยตนเอง |
เลือกประเภทข้อมูลที่ได้จากผู้ใช้ที่คุณต้องการรวบรวม เช่น อีเมลหรือหมายเลขโทรศัพท์ สำหรับข้อมูลแต่ละประเภท ให้เลือกวิธีระบุข้อมูลในหน้า ไม่ว่าจะเป็นตัวเลือก CSS หรือตัวแปร JavaScript ร่วม ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับตัวเลือกนี้ วิธีนี้แม่นยำกว่าการตรวจหาข้อมูลที่ได้จากผู้ใช้โดยอัตโนมัติ แต่ไม่น่าเชื่อถือเท่ากับการเพิ่มข้อมูลโค้ดลงในเว็บไซต์ หากคุณเปลี่ยนโค้ดของเว็บไซต์บ่อยๆ โดยเฉพาะการจัดรูปแบบหรือตัวเลือก CSS ในหน้าคอลเล็กชัน อาจลองเพิ่มข้อมูลโค้ดลงในเว็บไซต์ |
| โค้ด | เพิ่มโค้ด JavaScript ลงในหน้าเว็บเพื่อรวบรวมอีเมล หมายเลขโทรศัพท์ และ/หรือชื่อและที่อยู่ จากนั้นตั้งค่าพารามิเตอร์ user_data สำหรับแต่ละเหตุการณ์ในหน้าเว็บ ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับตัวเลือกนี้ |
ช่องที่จะต้องตั้งค่า
ตารางต่อไปนี้อธิบายแต่ละช่องที่คุณตั้งค่าได้ ชื่อคีย์จะแสดงวิธีที่คุณจะต้องอ้างอิงช่องในโค้ด คุณต้องส่งข้อมูลเป็นประเภทสตริง เมื่อระบุชื่อและที่อยู่ โปรดตรวจสอบว่าได้ระบุแต่ละองค์ประกอบเป็นตัวแปรแต่ละรายการ (เช่น ชื่อ นามสกุล และอื่นๆ)
หมายเหตุ: หากต้องการส่งข้อมูลที่ไม่ได้แฮชและอนุญาตให้ Google ทําให้เป็นมาตรฐานและแฮชข้อมูล ให้ใช้ชื่อคีย์แรกสําหรับช่องข้อมูลแต่ละช่อง เช่น อีเมลในช่องข้อมูลอีเมลด้านล่าง หากต้องการส่งข้อมูลที่แฮช ให้ใช้ชื่อคีย์ที่ขึ้นต้นด้วย sha256_
| ช่องข้อมูล | ชื่อคีย์ | คำอธิบาย |
|---|---|---|
| อีเมล | email |
อีเมลผู้ใช้ เช่น ‘jdoe@example.com’ |
sha256_email_address |
อีเมลผู้ใช้ที่แฮช ตัวอย่าง ‘a8af8341993604f29cd4e0e5a5a4b5d48c575436c38b28abbfd7d481f345d5db’ |
|
| หมายเลขโทรศัพท์ | phone_number |
หมายเลขโทรศัพท์ของผู้ใช้ ต้องอยู่ในรูปแบบ E.164 ซึ่งหมายความว่าต้องเป็นตัวเลข 11-15 หลัก โดยมีเครื่องหมายบวก (+) นําหน้าและรหัสประเทศที่ไม่มีขีดกลางยาว วงเล็บ หรือเว้นวรรค ตัวอย่าง ‘+11231234567’ |
sha256_phone_number |
หมายเลขโทรศัพท์ของผู้ใช้ที่แฮช ตัวอย่าง ‘e9d3eef677f9a3b19820f92696be53d646ac4cea500e5f8fd08b00bc6ac773b1’ |
|
| ชื่อ | address.first_name |
ชื่อจริงของผู้ใช้ ตัวอย่าง "สมชาย" |
address.sha256_first_name |
ชื่อผู้ใช้ที่แฮช ตัวอย่าง ‘96d9632f363564cc3032521409cf22a852f2032eec099ed5967c0d000cec607a’ |
|
| นามสกุล | address.last_name |
นามสกุลของผู้ใช้ ตัวอย่าง "สกุลดี" |
address.sha256_last_name |
นามสกุลของผู้ใช้ที่แฮช ตัวอย่าง ‘799ef92a11af918e3fb741df42934f3b568ed2d93ac1df74f1b8d41a27932a6f’ |
|
| ที่อยู่ | address.street |
ที่อยู่ของผู้ใช้ เช่น "123 ถนนเพชรบุรีตัดใหม่" |
| เมือง | address.city |
ชื่อเมืองของผู้ใช้ เช่น "พัทยา" |
| ภูมิภาค | address.region |
จังหวัด รัฐ หรือภูมิภาคของผู้ใช้ เช่น "แม่ฮ่องสอน" |
| รหัสไปรษณีย์ | address.postal_code |
รหัสไปรษณีย์ของผู้ใช้ เช่น 'SO99 9XX' |
| ประเทศ | address.country |
รหัสประเทศของผู้ใช้ เช่น "TH" ใช้รหัสประเทศ 2 ตัวอักษรตามมาตรฐาน ISO 3166-1 alpha-2 |