ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับการรายงานของ Ad Manager

แนวทางปฏิบัติแนะนำสำหรับความสามารถในการแสดงตัวโฆษณา

ปรับปรุงเว็บไซต์ด้วยแนวทางปฏิบัติแนะนำเกี่ยวกับการมองเห็นโฆษณา

ทำตามแนวทางปฏิบัติแนะนำเหล่านี้สำหรับเว็บไซต์และเนื้อหาของคุณเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับความสามารถในการแสดงตัวโฆษณา

ทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญที่เชื่อถือได้
เพิ่มประสิทธิภาพการตั้งค่าและปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้ให้บรรลุศักยภาพในการสร้างรายได้ ใช้ความเชี่ยวชาญของพาร์ทเนอร์ผู้เผยแพร่โฆษณาที่ผ่านการรับรองจาก Google เพื่อช่วยคุณตลอดขั้นตอนนี้

การออกแบบและเลย์เอาต์ของเว็บ

ความยาวของหน้า

เนื้อหาที่สั้นจะให้การมองเห็นโฆษณาที่สูงกว่า จึงควรตั้งค่าหน้าเว็บให้ยาวไม่เกิน 2 หน้า หากคุณมีเนื้อหาที่ยาวกว่านั้น ให้เปิดใช้งานการเลื่อนได้ไม่รู้จบ

ดูวิธีวางแท็กในหน้าที่มีการเลื่อนได้ไม่รู้จบ

เวลาในการตอบสนอง

เวลาในการตอบสนองเกิดได้จากปัญหาหลายประการ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือรายการส่งคืน การลดเวลาในการตอบสนองจากรายการส่งคืนจะช่วยเพิ่มการมองเห็นโฆษณา การกำจัดรายการส่งคืนช่วยปรับปรุงเมตริกการมองเห็นโฆษณาให้ดีขึ้น

วิธีนี้จะช่วยเพิ่มการมองเห็นโฆษณาของพื้นที่โฆษณาวิดีโออย่างมาก เพราะเมื่อวิดีโอโหลดได้เร็วขึ้น ผู้ชมก็มีโอกาสน้อยลงที่จะปิดหน้าทิ้งไปก่อนที่วิดีโอจะเริ่มเล่น

  • เพิ่มประสิทธิภาพเพื่อความเร็วและการตอบสนอง: โฆษณาจะโหลดเร็วขึ้นและมีอัตราความสามารถในการแสดงตัวโฆษณาที่ดีขึ้นในเว็บไซต์และแอปที่ปรับเปลี่ยนขนาดตามอุปกรณ์ ซึ่งอาจมีความสำคัญเป็นพิเศษในตลาดเกิดใหม่ที่มีความเร็วในการเชื่อมต่อที่ช้ากว่า
  • ลองใช้การโหลดแบบ Lazy Loading สำหรับหน้าที่เป็นบทความ ซึ่งหมายถึงการที่ระบบจะยังไม่โหลดวิดีโอและไม่แสดงโฆษณาจนกว่าจะมีคนเลื่อนผ่านส่วนนั้นในหน้าเว็บ การเลื่อนได้ไม่รู้จบ ซึ่งเป็นการโหลดแบบ Lazy Loading รูปแบบหนึ่งนั้นเกิดขึ้นเมื่อแถบเลื่อนของเบราว์เซอร์จะเลื่อนลงไปได้โดยไม่มีจุดสิ้นสุด ซึ่งทำให้หน้าดังกล่าวมีเนื้อหามากขึ้นเรื่อยๆ การโหลดแบบ Lazy Loading จะเพิ่มความเร็วของเว็บไซต์ ลดเวลาในการโหลดและเวลาในการตอบสนอง รวมถึงปรับปรุงการมองเห็นโฆษณาวิดีโอ
  • ลองตั้งค่าแอตทริบิวต์ data-loading-strategy ในแท็ก amp-ad ซึ่งโดยค่าเริ่มต้นแล้ว <amp-ad> จะแสดงผลช่องโฆษณาจาก 3-12 วิวพอร์ตถัดไปเมื่อเครื่องจัดตารางเวลา AMP ไม่มีการใช้งาน แม้ว่าวิธีการนี้จะช่วยเพิ่มจำนวนการแสดงผลแต่ก็อาจทำให้การมองเห็นโฆษณาลดลง การตั้งค่า data-loading-strategy ช่วยเพิ่มการมองเห็นโฆษณาได้ด้วยการแสดงผลโฆษณาเมื่อผู้ใช้เลื่อนลงไปใกล้ช่องโฆษณา แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้จำนวนการแสดงผลและรายได้ลดลง
  • ใช้โซลูชันการวิเคราะห์ข้อมูล เช่น รายงานความเร็วของแอปเพื่อวัดความเร็วในการโหลดหน้าแอปและวัดว่าคำขอต่างๆ ใช้เวลานานแค่ไหนในการโหลดขึ้นมาในแอป
  • ใช้รูปแบบ AMP ของ Google เพื่อให้เว็บไซต์ทำงานเร็วและเป็นแบบ User First AMP จะช่วยให้กลยุทธ์สำหรับเว็บของคุณประสบความสำเร็จในระยะยาวได้จากการเผยแพร่ผ่านแพลตฟอร์มยอดนิยมในช่องทางต่างๆ รวมทั้งยังลดต้นทุนการดำเนินงานและการพัฒนาลงอีกด้วย
  • ใช้เครื่องมือ PageSpeed Insights ของ Google เพื่อวิเคราะห์เนื้อหาของหน้าเว็บ จากนั้นสร้างคำแนะนำเพื่อลดเวลาในการตอบสนองและทำให้โหลดหน้าเว็บได้เร็วขึ้น เมื่อหน้าเว็บโหลดเร็วขึ้น โฆษณาก็จะโหลดเร็วขึ้นและทำให้อัตราการมองเห็นโฆษณาเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
  • ลดรายการส่งคืน: โฆษณามีแนวโน้มที่จะโหลดช้าลงมากเมื่อมีการส่งการเรียกโฆษณาจากเซิร์ฟเวอร์โฆษณาหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่งผ่านระบบที่เรียกว่า "รายการส่งคืน" ยิ่งมีรายการส่งคืนน้อยเท่าไร โฆษณาก็จะโหลดได้เร็วขึ้นเท่านั้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มอัตราความสามารถในการแสดงตัวโฆษณาได้

การโหลดแบบ Lazy Loading

วิธีนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Smart Loading ซึ่งหมายความว่าระบบจะแสดงโฆษณาเมื่อจําเป็นเท่านั้น ซึ่งรวมถึงการแสดงโฆษณาที่ด้านล่างของหน้าเฉพาะเวลาที่ผู้ใช้เลื่อนไปที่ส่วนโฆษณา การโหลดแบบ Lazy Loading จะช่วยให้หน้าเว็บโหลดได้เร็วขึ้น ลดเวลาในการตอบสนอง และลดการใช้งาน CPU

เราขอแนะนำให้ใช้แท็กผู้เผยแพร่โฆษณาผ่าน Google เนื่องจากการใช้งานรูปแบบอื่นๆ อาจเรียกคำขอโฆษณาหลายรายการที่ไม่ได้ทำให้เกิดการแสดงครีเอทีฟโฆษณาในเบราว์เซอร์ (ซึ่งจะลดเมตริกการมองเห็นโฆษณาลงไปอีก)

เอกสารประกอบเกี่ยวกับการโหลดแบบ Lazy Loading สำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์

หากใช้การโหลดแบบ Lazy Loading อย่างเหมาะสม คุณจะเพิ่มเปอร์เซ็นต์การมองเห็นโฆษณาโดยรวมได้ เช่นในกรณีที่ผู้ใช้ไม่ได้เลื่อนลง ช่องโฆษณาในครึ่งหน้าล่างก็จะไม่โหลด คำขอโฆษณาจึงน้อยลง อย่างไรก็ตาม หากโฆษณามีขนาดใหญ่เกินไปหรือโหลดช้าไป เช่น เมื่อผู้ใช้เลื่อนลงเร็วกว่าที่โฆษณาจะโหลดทัน ผู้ใช้ก็จะไม่เห็นโฆษณา

การเลื่อนได้ไม่รู้จบ

การเลื่อนได้ไม่รู้จบ ซึ่งเป็นการโหลดแบบ Lazy Loading รูปแบบหนึ่งนั้นเกิดขึ้นเมื่อแถบเลื่อนของเบราว์เซอร์จะเลื่อนลงไปได้โดยไม่มีจุดสิ้นสุด ซึ่งทำให้หน้าดังกล่าวมีเนื้อหามากขึ้นเรื่อยๆ

ขณะที่ผู้ใช้เลื่อนดูเนื้อหา การซ่อนหรือแสดงช่องที่เคยซ่อนโฆษณาไว้ก่อนหน้านี้ไม่ถือว่าเป็นการใช้การโหลดแบบ Lazy Loading ที่ถูกต้อง และไม่ได้ช่วยปรับปรุงความสามารถในการแสดงตัวโฆษณา

ส่วนสำหรับวิดีโอโดยเฉพาะ

การผสานรวมส่วนสำหรับวิดีโอโดยเฉพาะลงในเว็บไซต์หรือแอปจะช่วยเพิ่มการเข้าชมให้กับวิดีโอของคุณโดยตรง ซึ่งโดยทั่วไปจะทำให้ผู้ชมอยากดูวิดีโอมากขึ้น เมื่อผู้ชมตั้งใจดูวิดีโอก็ย่อมมีโอกาสที่จะดูโฆษณาในวิดีโอมากขึ้นด้วย 

การออกแบบที่ปรับเปลี่ยนตามอุปกรณ์

สร้างโฆษณาที่ปรับเปลี่ยนตามอุปกรณ์เพื่อให้พอดีกับเบราว์เซอร์ที่ใช้ดูโฆษณาเหล่านั้น วิธีนี้จะช่วยมอบประสบการณ์ในการใช้งานที่ดีให้กับผู้ใช้ ไม่ว่าจะเปิดดูเนื้อหาและโฆษณาจากอุปกรณ์ใดก็ตาม (อุปกรณ์เคลื่อนที่ แท็บเล็ต หรือเดสก์ท็อป)

โปรดลองใช้แนวทางปฏิบัติแนะนำต่อไปนี้

ตำแหน่งโฆษณา

โฆษณาจะต้องเป็นไปตามเกณฑ์ 3 ข้อก่อนที่การแสดงโฆษณาจะนับเป็นการแสดงผลที่ได้แสดง

  1. ผู้ใช้ต้องเลื่อนไปในส่วนของหน้าที่ทำให้มองเห็นพิกเซลโฆษณาในหน้าต่างเบราว์เซอร์ได้ 50%
  2. ผู้ใช้ต้องหยุดชั่วคราวหรือดำเนินการให้ช้าพอที่โฆษณานั้นๆ แสดงในหน้าจอได้ต่อเนื่องเป็นเวลา 1 วินาที การเลื่อนหน้าจอผ่านโฆษณาไปอย่างรวดเร็วเกินจะไม่นับเป็นจํานวนการแสดงผล
  3. โฆษณาจะต้องแสดงเมื่อผู้ใช้เลื่อนไปยังตำแหน่งที่มีหน่วยโฆษณาอยู่

จากแนวทางปฏิบัติดังกล่าว เราได้ตรวจสอบข้อมูลมุมมองแอ็กทีฟทั่วทั้งเครือข่าย AdSense และเปรียบเทียบการออกแบบเว็บไซต์ที่มีการมองเห็นโฆษณาทั้งสูงและต่ำจำนวนมาก คำแนะนำส่วนหนึ่งที่ได้จากการวิจัยของเราเพื่อช่วยให้เว็บไซต์เพิ่มจำนวนการแสดงผลโฆษณาให้มากขึ้นได้มีดังนี้

ตำแหน่งโฆษณาทั่วไป
  • เนื้อหา: สร้างเนื้อหาและออกแบบหน้าเว็บให้ดูน่าสนใจเพื่อดึงดูดความต้องการให้ผู้ใช้อยากมีส่วนร่วม
  • ตำแหน่งโฆษณา: วางโฆษณาไว้ในแนวเดียวกับเนื้อหาหลักหรือในบริเวณที่มีเนื้อหาของเว็บไซต์หนาแน่น เมื่อเลือกตำแหน่งโฆษณา ให้พิจารณาประสบการณ์ของผู้ใช้ด้วย ให้หลีกเลี่ยงการวางโฆษณาไว้ในบริเวณที่ไม่มีเนื้อหาเด่นหรือมีน้อย หรือหลีกเลี่ยงการวางโฆษณาจำนวนมากเกินไปไว้ในบริเวณเดียวกันของเว็บไซต์
  • ความเร็ว: ตรวจสอบว่าหน้าเว็บและการแสดงโฆษณาโหลดได้รวดเร็วและถูกต้อง เราแนะนำให้ใช้แท็กโฆษณาแบบอะซิงโครนัส คุณสามารถใช้เครื่องมือเพิ่มความเร็ว เช่น Google Pagespeed เพื่อวิเคราะห์และเพิ่มประสิทธิภาพให้เว็บไซต์

ก่อนที่จะตัดสินใจวางตำแหน่งโฆษณา เราขอแนะนำให้คุณอ่านรายงานความละเอียดของหน้าจอจาก Google Analytics เพื่อทำความเข้าใจว่าแนวเส้นแบ่งหน้าเว็บไซต์ของคุณมักจะอยู่ในตำแหน่งไหน

วิธีเข้าถึงรายงานความละเอียดของหน้าจอใน Google Analytics

  1. ไปที่แท็บกลุ่มเป้าหมาย
  2. ขยายหมวดหมู่เทคโนโลยี
  3. คลิกเบราว์เซอร์และระบบปฏิบัติการ
  4. เลือกความละเอียดของหน้าจอเป็นขนาดหลัก

หลังจากที่เข้าใจลักษณะการเปิดดูเว็บไซต์แล้ว โปรดดูคำแนะนำด้านล่างเพื่อเพิ่มโอกาสการมองเห็นโฆษณาให้มากขึ้น

ตำแหน่งในหน้าแรก (ATF)
  • เนื้อหา: นำเสนอเนื้อหาที่น่าสนใจในหน้าแรกและพยายามทำให้มองเห็นเนื้อหาได้มากที่สุดโดยไม่ต้องเลื่อนหน้าจอ (โดยใช้การออกแบบหน้าที่เพิ่มความกว้าง ลดความยาว หรือทำให้หน้าเว็บมีเนื้อหาที่ครอบคลุมที่สุด) การทำเช่นนี้จะช่วยให้ผู้ใช้จะมีเวลาเพียงพอในการอ่าน ทำความเข้าใจ และโต้ตอบกับเนื้อหาและโฆษณาที่อยู่ในหน้าแรก
  • ตำแหน่งโฆษณา: ให้พิจารณาวางตำแหน่งโฆษณาไว้ใกล้ๆ ส่วนท้ายของหน้าจอ (ก่อนที่จะเลื่อนลงไปยังหน้าถัดไป) ทั้งนี้ตามข้อมูลของเรา ตำแหน่งนี้มีอัตราความสามารถในการแสดงตัวโฆษณาสูงที่สุด ส่วนโฆษณาที่วางอยู่ใต้แถบนำทางด้านบนจะมีอัตราการมองเห็นโฆษณาสูงกว่าโฆษณาที่อยู่ด้านบนสุดของหน้า แต่ในขณะเดียวกัน ให้นึกถึงความสะดวกในการใช้งานของผู้ใช้ด้วยเสมอ การวางโฆษณาจำนวนมากเกินไปไว้ในครึ่งหน้าบนจะทำให้หน้าเว็บดูรก และผู้เข้าชมก็อาจออกจากหน้าเว็บไปเร็วกว่าที่ควรจะเป็น
  • ความเร็ว: ตรวจสอบว่าโฆษณาโหลดได้เร็วพอที่ผู้ใช้จะได้ไม่เลื่อนผ่านไปก่อนที่โฆษณาจะโหลดเสร็จ
ตำแหน่งครึ่งหน้าล่าง (BTF)
  • เนื้อหา: สร้างเนื้อหาครึ่งหน้าบนที่น่าสนใจที่เชิญชวนให้ผู้เข้าชมเลื่อนหน้าเว็บลงมาด้านล่างเพื่อดูว่ามีอะไรอยู่ในครึ่งหน้าล่าง ซึ่งจะทําให้เลื่อนหน้าเว็บลงมาพบกับโฆษณาที่อยู่ใน BTF วางพาดหัวของบทความหรือเรื่องราวถัดไปให้มองเห็นได้ใกล้กับส่วนท้ายของหน้าแรกเพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้อยากดูสิ่งที่อยู่ในครึ่งหน้าล่าง
  • ตำแหน่งโฆษณา โฆษณาที่อยู่ด้านซ้ายหรือด้านขวาจะมีอัตราการมองเห็นโฆษณาสูงกว่าโฆษณาที่อยู่ตรงกลาง นอกจากนี้ การวางโฆษณาในคอลัมน์แยกต่างหากจากเนื้อหายังช่วยให้คอลัมน์เนื้อหาดูสะอาดและไม่รกสายตา ซึ่งอาจช่วยเพิ่มโอกาสที่ผู้ใช้จะเลื่อนลงไปเพื่ออ่านเนื้อหาทั้งหน้าได้
ตำแหน่งโฆษณาวิดีโอ

ตำแหน่งโฆษณาเป็นปัจจัยสำคัญในการปรับปรุงการมองเห็นโฆษณาวิดีโอ เพราะหากผู้ใช้ไม่เห็นตัววิดีโอก็จะเปิดดูเนื้อหาไม่ได้ การวางวิดีโอในตำแหน่งที่เหมาะสมที่สุดจะช่วยให้กลุ่มเป้าหมายเห็นเนื้อหาและโฆษณาในวิดีโอมากขึ้น

ลองพิจารณาทำสิ่งต่อไปนี้เพื่อช่วยให้ผู้ใช้เห็นเนื้อหาวิดีโอของคุณ

  • พิจารณาว่าตำแหน่งใดที่ผู้ใช้ใช้เวลาอยู่ด้วยนานที่สุด: โดยปกติแล้วบริเวณ "ตรงกลางด้านบน" คือตำแหน่งที่มีการแสดงผลมากที่สุดของหน้าเว็บ คุณจึงควรทำความเข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้ให้มากที่สุด โดยทั่วไป เราจะแนะนำให้ย้ายวิดีโอเพลเยอร์ไปยังตำแหน่งที่สูงขึ้นและอยู่บริเวณตรงกลางของหน้าเว็บมากขึ้น

    ตัวอย่าง

    แม้ว่าจะมีแนวโน้มที่จะเห็นวิดีโอครึ่งหน้าบนมากขึ้น แต่ตำแหน่งโฆษณาที่อยู่ในครึ่งหน้าล่างก็ไม่ควรถูกตัดออก แม้ว่าโฆษณาวิดีโอในครึ่งหน้าบนมีความสามารถในการแสดงผลได้ 73% แต่โฆษณาวิดีโอในครึ่งหน้าล่างก็แสดงผลได้ 45%
     
    ลองพิจารณาหาว่าบริเวณใดที่ผู้ใช้มักจะใช้เวลาอยู่ในหน้าเว็บนั้นนานที่สุด แล้ววางโปรแกรมเล่นวิดีโอไว้ที่ตำแหน่งดังกล่าว หากต้องการทดสอบ คุณสามารถย้ายวิดีโอเพลเยอร์ไปไว้ในตำแหน่งของหน้าเว็บหรือแอปในจุดที่สูงขึ้น แล้วดูว่าอัตราการมองเห็นโฆษณาเปลี่ยนไปหรือไม่
  • เล่นวิดีโอแบบไดนามิกเมื่ออยู่ในวิวพอร์ต: คุณควรกำหนดค่าให้วิดีโอเพลเยอร์เล่นอัตโนมัติเฉพาะเมื่ออยู่ในวิวพอร์ต แต่หากไม่ได้อยู่ในวิวพอร์ตควรตั้งค่าให้หยุดชั่วคราว

ครีเอทีฟโฆษณาของบุคคลที่สามที่ใช้แท็ก <img>

หากครีเอทีฟโฆษณาโหลดพิกเซลการติดตามของบุคคลที่สามในแท็ก <img> คุณควรตั้งค่าพร็อพเพอร์ตี้ดิสเพลย์เป็น display:none; เพื่อให้มีการพิจารณาขนาดจริงของครีเอทีฟโฆษณาเพียงขนาดเดียวสำหรับความสามารถในการแสดงตัวโฆษณา

โปรแกรมเล่นโฆษณาวิดีโอ

ผู้ใช้เริ่มคุ้นเคยกับการใช้งานวิดีโอเพลเยอร์แบบพรีเมียมมากขึ้น การเพิ่มขนาดวิดีโอเพลเยอร์และการใช้แนวทางปฏิบัติแนะนำสำหรับโฆษณาวิดีโอแบบคลิกเพื่อเล่น โฆษณาแบบเล่นอัตโนมัติ และเพลเยอร์แบบยึดติด จะช่วยเพิ่มการมองเห็นโฆษณาวิดีโอให้สูงขึ้นได้

  • ใช้วิดีโอเพลเยอร์ขนาดใหญ่ขึ้น: ทำให้วิดีโอเพลเยอร์เป็นจุดสนใจหลักของหน้าเว็บ วิดีโอเพลเยอร์ขนาดใหญ่มีการมองเห็นโฆษณาสูงกว่าวิดีโอเพลเยอร์ขนาดเล็กเป็นอย่างมาก โดยทั่วไปแล้วยิ่งวิดีโอเพลเยอร์มีขนาดใหญ่ขึ้นเท่าใด พื้นที่โฆษณาก็จะมีการมองเห็นโฆษณามากขึ้นตามไปด้วย

    ตัวอย่าง

    วิดีโอเพลเยอร์ขนาด 2560 x 1440 มีอัตราการมองเห็นโฆษณาโดยเฉลี่ย 95% ในขณะที่เพลเยอร์ขนาด 854 x 480 มีอัตราการมองเห็นโฆษณา 88%

    ผู้เผยแพร่โฆษณาควรประเมินพื้นที่โฆษณาวิดีโอของตน และไม่ใช้โฆษณาวิดีโอขนาดเล็กที่ไม่มีอัตราการมองเห็นโฆษณาตามที่ผู้ลงโฆษณาต้องการ วิธีนี้เป็นแนวทางปฏิบัติแนะนำสำหรับพื้นที่โฆษณาวิดีโอในสตรีมที่อาจแสดงเต็มหน้าจอ แม้ว่าวิดีโอเพลเยอร์ขนาดเล็กอาจยังเหมาะสำหรับรูปแบบโฆษณานอกสตรีมอยู่ก็ตาม ทั้งนี้เพื่อปกป้องประสบการณ์การใช้งานของผู้ชม
  • ใช้โฆษณาวิดีโอแบบคลิกเพื่อเล่น: โฆษณาวิดีโอแบบคลิกเพื่อเล่นช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ใช้และการมองเห็นโฆษณาให้มากขึ้นได้เนื่องจากผู้ใช้จะต้องคลิกวิดีโอเพื่อเล่น ซึ่งเป็นการแสดงถึงความตั้งใจที่จะดูวิดีโอและโฆษณาที่อยู่ข้างใน
  • ใช้ฟีเจอร์เล่นอัตโนมัติอย่างเหมาะสม: การใช้ฟีเจอร์เล่นอัตโนมัติอย่างเหมาะสมมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อคุณภาพของประสบการณ์การใช้เว็บไซต์หรือแอป แม้ว่าระบบจะอนุญาตให้ใช้การเล่นอัตโนมัติแบบปิดเสียงได้ แต่ขอให้ตรวจสอบว่าการใช้ฟีเจอร์นี้เป็นไปตามนโยบายการเล่นอัตโนมัติของ Chrome
  • ใช้เพลเยอร์แบบยึดติดอย่างเหมาะสม: เพลเยอร์แบบยึดติดอาจไม่เหมาะกับเว็บไซต์บางประเภท เช่น หน้าเกมหรือหน้าที่ค่อยๆ มีการเปลี่ยนแปลงแบบไดนามิก คุณควรทดสอบ A/B กับประสิทธิภาพของหน่วยโฆษณา Sticky ให้ละเอียดถี่ถ้วนก่อนที่จะนำหน่วยโฆษณาดังกล่าวไปใช้กับทั้งเว็บไซต์หรือแอป หากคุณใช้เพลเยอร์แบบยึดติดเพื่อปรับปรุงการมองเห็นโฆษณา เพลเยอร์จะต้องเริ่มต้นเป็นหน่วยโฆษณาในสตรีมแบบเต็มขนาดก่อน ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับนโยบายวิดีโอเพลเยอร์แบบยึดติด
  • ใช้รูปแบบโฆษณาที่สามารถมองเห็นได้ง่าย: เราแนะนำให้ลดการใช้ iframe ซึ่งเป็นเอกสาร HTML ที่ฝังอยู่ในเอกสาร HTML อื่นซึ่งพบอยู่มากในเว็บไซต์หลายแห่ง แท็กโฆษณาภายใน iframe บางประเภท (เช่น iframe ข้ามโดเมน) ไม่สามารถวัดได้ด้วยโซลูชันการมองเห็นโฆษณา ในขณะที่ iframe แบบอื่นๆ เช่น iframe ที่ใช้งานง่ายและ SafeFrame จะช่วยวัดการมองเห็นโฆษณาได้ดีขึ้น หากโฆษณาทำงานภายใน iframe ข้ามโดเมนน้อยลง อัตราการมองเห็นโฆษณาจะเพิ่มขึ้น

การควบคุมคุณภาพ

ทดสอบและทำซ้ำโดยเป็นส่วนหนึ่งในขั้นตอนการปรับปรุงการออกแบบ เว็บไซต์แต่ละแห่งมีความแตกต่างกันเนื่องจากการมองเห็นโฆษณานั้นขึ้นอยู่กับเนื้อหา ประเภทธุรกิจ และพฤติกรรมของผู้ใช้บนเว็บไซต์

หากต้องการเพิ่มประสิทธิภาพการมองเห็นโฆษณา โปรดคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้

  • ตำแหน่งบนหน้าเป็นเรื่องสำคัญ ตำแหน่งที่มองเห็นโฆษณาได้มากที่สุดคือบริเวณเหนือแนวเส้นแบ่งหน้าพอดี ไม่ใช่ด้านบนสุดของหน้า
  • ขนาดโฆษณาที่มองเห็นได้มากที่สุดคือหน่วยโฆษณาแนวตั้ง เช่น 160x600
  • การแสดงผลครึ่งหน้าบนอาจไม่ช่วยให้มองเห็นโฆษณาได้เสมอไป ขณะที่การแสดงผลครึ่งหน้าล่างหลายครั้งก็ช่วยให้มีการมองเห็นโฆษณา
  • เนื้อหาที่ดึงดูดความสนใจของผู้ใช้จะมีการมองเห็นโฆษณาสูงที่สุด
     

เคล็ดลับเพิ่มเติมจาก Think with Google

 

ข้อมูลนี้มีประโยชน์ไหม

เราจะปรับปรุงได้อย่างไร
true
Watch a livestream session

Learn how to increase your viewability on your display inventory to boost your revenue.

ค้นหา
ล้างการค้นหา
ปิดการค้นหา
เมนูหลัก
9696752743017110117
true
ค้นหาศูนย์ช่วยเหลือ
true
true
true
true
true
148
false
false