ทำตามแนวทางปฏิบัติแนะนำเหล่านี้สำหรับเว็บไซต์และเนื้อหาของคุณเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับความสามารถในการแสดงตัวโฆษณา
การออกแบบและเลย์เอาต์ของเว็บ
ความยาวของหน้า
เนื้อหาที่สั้นจะให้การมองเห็นโฆษณาที่สูงกว่า จึงควรตั้งค่าหน้าเว็บให้ยาวไม่เกิน 2 หน้า หากคุณมีเนื้อหาที่ยาวกว่านั้น ให้เปิดใช้งานการเลื่อนได้ไม่รู้จบ
ดูวิธีวางแท็กในหน้าที่มีการเลื่อนได้ไม่รู้จบ
เวลาในการตอบสนอง
เวลาในการตอบสนองเกิดได้จากปัญหาหลายประการ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือรายการส่งคืน การลดเวลาในการตอบสนองจากรายการส่งคืนจะช่วยเพิ่มการมองเห็นโฆษณา การกำจัดรายการส่งคืนช่วยปรับปรุงเมตริกการมองเห็นโฆษณาให้ดีขึ้น
วิธีนี้จะช่วยเพิ่มการมองเห็นโฆษณาของพื้นที่โฆษณาวิดีโออย่างมาก เพราะเมื่อวิดีโอโหลดได้เร็วขึ้น ผู้ชมก็มีโอกาสน้อยลงที่จะปิดหน้าทิ้งไปก่อนที่วิดีโอจะเริ่มเล่น
- เพิ่มประสิทธิภาพเพื่อความเร็วและการตอบสนอง: โฆษณาจะโหลดเร็วขึ้นและมีอัตราความสามารถในการแสดงตัวโฆษณาที่ดีขึ้นในเว็บไซต์และแอปที่ปรับเปลี่ยนขนาดตามอุปกรณ์ ซึ่งอาจมีความสำคัญเป็นพิเศษในตลาดเกิดใหม่ที่มีความเร็วในการเชื่อมต่อที่ช้ากว่า
- ลองใช้การโหลดแบบ Lazy Loading สำหรับหน้าที่เป็นบทความ ซึ่งหมายถึงการที่ระบบจะยังไม่โหลดวิดีโอและไม่แสดงโฆษณาจนกว่าจะมีคนเลื่อนผ่านส่วนนั้นในหน้าเว็บ การเลื่อนได้ไม่รู้จบ ซึ่งเป็นการโหลดแบบ Lazy Loading รูปแบบหนึ่งนั้นเกิดขึ้นเมื่อแถบเลื่อนของเบราว์เซอร์จะเลื่อนลงไปได้โดยไม่มีจุดสิ้นสุด ซึ่งทำให้หน้าดังกล่าวมีเนื้อหามากขึ้นเรื่อยๆ การโหลดแบบ Lazy Loading จะเพิ่มความเร็วของเว็บไซต์ ลดเวลาในการโหลดและเวลาในการตอบสนอง รวมถึงปรับปรุงการมองเห็นโฆษณาวิดีโอ
- ลองตั้งค่าแอตทริบิวต์ data-loading-strategy ในแท็ก
amp-ad
ซึ่งโดยค่าเริ่มต้นแล้ว<amp-ad>
จะแสดงผลช่องโฆษณาจาก 3-12 วิวพอร์ตถัดไปเมื่อเครื่องจัดตารางเวลา AMP ไม่มีการใช้งาน แม้ว่าวิธีการนี้จะช่วยเพิ่มจำนวนการแสดงผลแต่ก็อาจทำให้การมองเห็นโฆษณาลดลง การตั้งค่า data-loading-strategy ช่วยเพิ่มการมองเห็นโฆษณาได้ด้วยการแสดงผลโฆษณาเมื่อผู้ใช้เลื่อนลงไปใกล้ช่องโฆษณา แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้จำนวนการแสดงผลและรายได้ลดลง - ใช้โซลูชันการวิเคราะห์ข้อมูล เช่น รายงานความเร็วของแอปเพื่อวัดความเร็วในการโหลดหน้าแอปและวัดว่าคำขอต่างๆ ใช้เวลานานแค่ไหนในการโหลดขึ้นมาในแอป
- ใช้รูปแบบ AMP ของ Google เพื่อให้เว็บไซต์ทำงานเร็วและเป็นแบบ User First AMP จะช่วยให้กลยุทธ์สำหรับเว็บของคุณประสบความสำเร็จในระยะยาวได้จากการเผยแพร่ผ่านแพลตฟอร์มยอดนิยมในช่องทางต่างๆ รวมทั้งยังลดต้นทุนการดำเนินงานและการพัฒนาลงอีกด้วย
- ใช้เครื่องมือ PageSpeed Insights ของ Google เพื่อวิเคราะห์เนื้อหาของหน้าเว็บ จากนั้นสร้างคำแนะนำเพื่อลดเวลาในการตอบสนองและทำให้โหลดหน้าเว็บได้เร็วขึ้น เมื่อหน้าเว็บโหลดเร็วขึ้น โฆษณาก็จะโหลดเร็วขึ้นและทำให้อัตราการมองเห็นโฆษณาเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
- ลดรายการส่งคืน: โฆษณามีแนวโน้มที่จะโหลดช้าลงมากเมื่อมีการส่งการเรียกโฆษณาจากเซิร์ฟเวอร์โฆษณาหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่งผ่านระบบที่เรียกว่า "รายการส่งคืน" ยิ่งมีรายการส่งคืนน้อยเท่าไร โฆษณาก็จะโหลดได้เร็วขึ้นเท่านั้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มอัตราความสามารถในการแสดงตัวโฆษณาได้
การโหลดแบบ Lazy Loading
วิธีนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Smart Loading ซึ่งหมายความว่าระบบจะแสดงโฆษณาเมื่อจําเป็นเท่านั้น ซึ่งรวมถึงการแสดงโฆษณาที่ด้านล่างของหน้าเฉพาะเวลาที่ผู้ใช้เลื่อนไปที่ส่วนโฆษณา การโหลดแบบ Lazy Loading จะช่วยให้หน้าเว็บโหลดได้เร็วขึ้น ลดเวลาในการตอบสนอง และลดการใช้งาน CPU
เราขอแนะนำให้ใช้แท็กผู้เผยแพร่โฆษณาผ่าน Google เนื่องจากการใช้งานรูปแบบอื่นๆ อาจเรียกคำขอโฆษณาหลายรายการที่ไม่ได้ทำให้เกิดการแสดงครีเอทีฟโฆษณาในเบราว์เซอร์ (ซึ่งจะลดเมตริกการมองเห็นโฆษณาลงไปอีก)
เอกสารประกอบเกี่ยวกับการโหลดแบบ Lazy Loading สำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์
หากใช้การโหลดแบบ Lazy Loading อย่างเหมาะสม คุณจะเพิ่มเปอร์เซ็นต์การมองเห็นโฆษณาโดยรวมได้ เช่นในกรณีที่ผู้ใช้ไม่ได้เลื่อนลง ช่องโฆษณาในครึ่งหน้าล่างก็จะไม่โหลด คำขอโฆษณาจึงน้อยลง อย่างไรก็ตาม หากโฆษณามีขนาดใหญ่เกินไปหรือโหลดช้าไป เช่น เมื่อผู้ใช้เลื่อนลงเร็วกว่าที่โฆษณาจะโหลดทัน ผู้ใช้ก็จะไม่เห็นโฆษณา
การเลื่อนได้ไม่รู้จบ
การเลื่อนได้ไม่รู้จบ ซึ่งเป็นการโหลดแบบ Lazy Loading รูปแบบหนึ่งนั้นเกิดขึ้นเมื่อแถบเลื่อนของเบราว์เซอร์จะเลื่อนลงไปได้โดยไม่มีจุดสิ้นสุด ซึ่งทำให้หน้าดังกล่าวมีเนื้อหามากขึ้นเรื่อยๆ
ขณะที่ผู้ใช้เลื่อนดูเนื้อหา การซ่อนหรือแสดงช่องที่เคยซ่อนโฆษณาไว้ก่อนหน้านี้ไม่ถือว่าเป็นการใช้การโหลดแบบ Lazy Loading ที่ถูกต้อง และไม่ได้ช่วยปรับปรุงความสามารถในการแสดงตัวโฆษณา
ส่วนสำหรับวิดีโอโดยเฉพาะ
การผสานรวมส่วนสำหรับวิดีโอโดยเฉพาะลงในเว็บไซต์หรือแอปจะช่วยเพิ่มการเข้าชมให้กับวิดีโอของคุณโดยตรง ซึ่งโดยทั่วไปจะทำให้ผู้ชมอยากดูวิดีโอมากขึ้น เมื่อผู้ชมตั้งใจดูวิดีโอก็ย่อมมีโอกาสที่จะดูโฆษณาในวิดีโอมากขึ้นด้วย
การออกแบบที่ปรับเปลี่ยนตามอุปกรณ์
สร้างโฆษณาที่ปรับเปลี่ยนตามอุปกรณ์เพื่อให้พอดีกับเบราว์เซอร์ที่ใช้ดูโฆษณาเหล่านั้น วิธีนี้จะช่วยมอบประสบการณ์ในการใช้งานที่ดีให้กับผู้ใช้ ไม่ว่าจะเปิดดูเนื้อหาและโฆษณาจากอุปกรณ์ใดก็ตาม (อุปกรณ์เคลื่อนที่ แท็บเล็ต หรือเดสก์ท็อป)
โปรดลองใช้แนวทางปฏิบัติแนะนำต่อไปนี้
- ใช้แท็กผู้เผยแพร่โฆษณาผ่าน Google (GPT)
- เพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์สำหรับผู้ใช้อุปกรณ์เคลื่อนที่
- นำแนวทางปฏิบัติแนะนำเกี่ยวกับการมองเห็นโฆษณามาใช้ในการตั้งค่าโฆษณาทุกครั้ง หากเป็นไปได้
ตำแหน่งโฆษณา
โฆษณาจะต้องเป็นไปตามเกณฑ์ 3 ข้อก่อนที่การแสดงโฆษณาจะนับเป็นการแสดงผลที่ได้แสดง
- ผู้ใช้ต้องเลื่อนไปในส่วนของหน้าที่ทำให้มองเห็นพิกเซลโฆษณาในหน้าต่างเบราว์เซอร์ได้ 50%
- ผู้ใช้ต้องหยุดชั่วคราวหรือดำเนินการให้ช้าพอที่โฆษณานั้นๆ แสดงในหน้าจอได้ต่อเนื่องเป็นเวลา 1 วินาที การเลื่อนหน้าจอผ่านโฆษณาไปอย่างรวดเร็วเกินจะไม่นับเป็นจํานวนการแสดงผล
- โฆษณาจะต้องแสดงเมื่อผู้ใช้เลื่อนไปยังตำแหน่งที่มีหน่วยโฆษณาอยู่
จากแนวทางปฏิบัติดังกล่าว เราได้ตรวจสอบข้อมูลมุมมองแอ็กทีฟทั่วทั้งเครือข่าย AdSense และเปรียบเทียบการออกแบบเว็บไซต์ที่มีการมองเห็นโฆษณาทั้งสูงและต่ำจำนวนมาก คำแนะนำส่วนหนึ่งที่ได้จากการวิจัยของเราเพื่อช่วยให้เว็บไซต์เพิ่มจำนวนการแสดงผลโฆษณาให้มากขึ้นได้มีดังนี้
ตำแหน่งโฆษณาทั่วไป- เนื้อหา: สร้างเนื้อหาและออกแบบหน้าเว็บให้ดูน่าสนใจเพื่อดึงดูดความต้องการให้ผู้ใช้อยากมีส่วนร่วม
- ตำแหน่งโฆษณา: วางโฆษณาไว้ในแนวเดียวกับเนื้อหาหลักหรือในบริเวณที่มีเนื้อหาของเว็บไซต์หนาแน่น เมื่อเลือกตำแหน่งโฆษณา ให้พิจารณาประสบการณ์ของผู้ใช้ด้วย ให้หลีกเลี่ยงการวางโฆษณาไว้ในบริเวณที่ไม่มีเนื้อหาเด่นหรือมีน้อย หรือหลีกเลี่ยงการวางโฆษณาจำนวนมากเกินไปไว้ในบริเวณเดียวกันของเว็บไซต์
- ความเร็ว: ตรวจสอบว่าหน้าเว็บและการแสดงโฆษณาโหลดได้รวดเร็วและถูกต้อง เราแนะนำให้ใช้แท็กโฆษณาแบบอะซิงโครนัส คุณสามารถใช้เครื่องมือเพิ่มความเร็ว เช่น Google Pagespeed เพื่อวิเคราะห์และเพิ่มประสิทธิภาพให้เว็บไซต์
ก่อนที่จะตัดสินใจวางตำแหน่งโฆษณา เราขอแนะนำให้คุณอ่านรายงานความละเอียดของหน้าจอจาก Google Analytics เพื่อทำความเข้าใจว่าแนวเส้นแบ่งหน้าเว็บไซต์ของคุณมักจะอยู่ในตำแหน่งไหน
วิธีเข้าถึงรายงานความละเอียดของหน้าจอใน Google Analytics
- ไปที่แท็บกลุ่มเป้าหมาย
- ขยายหมวดหมู่เทคโนโลยี
- คลิกเบราว์เซอร์และระบบปฏิบัติการ
- เลือกความละเอียดของหน้าจอเป็นขนาดหลัก
หลังจากที่เข้าใจลักษณะการเปิดดูเว็บไซต์แล้ว โปรดดูคำแนะนำด้านล่างเพื่อเพิ่มโอกาสการมองเห็นโฆษณาให้มากขึ้น
- เนื้อหา: นำเสนอเนื้อหาที่น่าสนใจในหน้าแรกและพยายามทำให้มองเห็นเนื้อหาได้มากที่สุดโดยไม่ต้องเลื่อนหน้าจอ (โดยใช้การออกแบบหน้าที่เพิ่มความกว้าง ลดความยาว หรือทำให้หน้าเว็บมีเนื้อหาที่ครอบคลุมที่สุด) การทำเช่นนี้จะช่วยให้ผู้ใช้จะมีเวลาเพียงพอในการอ่าน ทำความเข้าใจ และโต้ตอบกับเนื้อหาและโฆษณาที่อยู่ในหน้าแรก
- ตำแหน่งโฆษณา: ให้พิจารณาวางตำแหน่งโฆษณาไว้ใกล้ๆ ส่วนท้ายของหน้าจอ (ก่อนที่จะเลื่อนลงไปยังหน้าถัดไป) ทั้งนี้ตามข้อมูลของเรา ตำแหน่งนี้มีอัตราความสามารถในการแสดงตัวโฆษณาสูงที่สุด ส่วนโฆษณาที่วางอยู่ใต้แถบนำทางด้านบนจะมีอัตราการมองเห็นโฆษณาสูงกว่าโฆษณาที่อยู่ด้านบนสุดของหน้า แต่ในขณะเดียวกัน ให้นึกถึงความสะดวกในการใช้งานของผู้ใช้ด้วยเสมอ การวางโฆษณาจำนวนมากเกินไปไว้ในครึ่งหน้าบนจะทำให้หน้าเว็บดูรก และผู้เข้าชมก็อาจออกจากหน้าเว็บไปเร็วกว่าที่ควรจะเป็น
- ความเร็ว: ตรวจสอบว่าโฆษณาโหลดได้เร็วพอที่ผู้ใช้จะได้ไม่เลื่อนผ่านไปก่อนที่โฆษณาจะโหลดเสร็จ
- เนื้อหา: สร้างเนื้อหาครึ่งหน้าบนที่น่าสนใจที่เชิญชวนให้ผู้เข้าชมเลื่อนหน้าเว็บลงมาด้านล่างเพื่อดูว่ามีอะไรอยู่ในครึ่งหน้าล่าง ซึ่งจะทําให้เลื่อนหน้าเว็บลงมาพบกับโฆษณาที่อยู่ใน BTF วางพาดหัวของบทความหรือเรื่องราวถัดไปให้มองเห็นได้ใกล้กับส่วนท้ายของหน้าแรกเพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้อยากดูสิ่งที่อยู่ในครึ่งหน้าล่าง
- ตำแหน่งโฆษณา โฆษณาที่อยู่ด้านซ้ายหรือด้านขวาจะมีอัตราการมองเห็นโฆษณาสูงกว่าโฆษณาที่อยู่ตรงกลาง นอกจากนี้ การวางโฆษณาในคอลัมน์แยกต่างหากจากเนื้อหายังช่วยให้คอลัมน์เนื้อหาดูสะอาดและไม่รกสายตา ซึ่งอาจช่วยเพิ่มโอกาสที่ผู้ใช้จะเลื่อนลงไปเพื่ออ่านเนื้อหาทั้งหน้าได้
ตำแหน่งโฆษณาเป็นปัจจัยสำคัญในการปรับปรุงการมองเห็นโฆษณาวิดีโอ เพราะหากผู้ใช้ไม่เห็นตัววิดีโอก็จะเปิดดูเนื้อหาไม่ได้ การวางวิดีโอในตำแหน่งที่เหมาะสมที่สุดจะช่วยให้กลุ่มเป้าหมายเห็นเนื้อหาและโฆษณาในวิดีโอมากขึ้น
ลองพิจารณาทำสิ่งต่อไปนี้เพื่อช่วยให้ผู้ใช้เห็นเนื้อหาวิดีโอของคุณ
-
พิจารณาว่าตำแหน่งใดที่ผู้ใช้ใช้เวลาอยู่ด้วยนานที่สุด: โดยปกติแล้วบริเวณ "ตรงกลางด้านบน" คือตำแหน่งที่มีการแสดงผลมากที่สุดของหน้าเว็บ คุณจึงควรทำความเข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้ให้มากที่สุด โดยทั่วไป เราจะแนะนำให้ย้ายวิดีโอเพลเยอร์ไปยังตำแหน่งที่สูงขึ้นและอยู่บริเวณตรงกลางของหน้าเว็บมากขึ้น
ตัวอย่าง
แม้ว่าจะมีแนวโน้มที่จะเห็นวิดีโอครึ่งหน้าบนมากขึ้น แต่ตำแหน่งโฆษณาที่อยู่ในครึ่งหน้าล่างก็ไม่ควรถูกตัดออก แม้ว่าโฆษณาวิดีโอในครึ่งหน้าบนมีความสามารถในการแสดงผลได้ 73% แต่โฆษณาวิดีโอในครึ่งหน้าล่างก็แสดงผลได้ 45%ลองพิจารณาหาว่าบริเวณใดที่ผู้ใช้มักจะใช้เวลาอยู่ในหน้าเว็บนั้นนานที่สุด แล้ววางโปรแกรมเล่นวิดีโอไว้ที่ตำแหน่งดังกล่าว หากต้องการทดสอบ คุณสามารถย้ายวิดีโอเพลเยอร์ไปไว้ในตำแหน่งของหน้าเว็บหรือแอปในจุดที่สูงขึ้น แล้วดูว่าอัตราการมองเห็นโฆษณาเปลี่ยนไปหรือไม่ - เล่นวิดีโอแบบไดนามิกเมื่ออยู่ในวิวพอร์ต: คุณควรกำหนดค่าให้วิดีโอเพลเยอร์เล่นอัตโนมัติเฉพาะเมื่ออยู่ในวิวพอร์ต แต่หากไม่ได้อยู่ในวิวพอร์ตควรตั้งค่าให้หยุดชั่วคราว
ครีเอทีฟโฆษณาของบุคคลที่สามที่ใช้แท็ก <img>
หากครีเอทีฟโฆษณาโหลดพิกเซลการติดตามของบุคคลที่สามในแท็ก <img>
คุณควรตั้งค่าพร็อพเพอร์ตี้ดิสเพลย์เป็น display:none;
เพื่อให้มีการพิจารณาขนาดจริงของครีเอทีฟโฆษณาเพียงขนาดเดียวสำหรับความสามารถในการแสดงตัวโฆษณา
โปรแกรมเล่นโฆษณาวิดีโอ
ผู้ใช้เริ่มคุ้นเคยกับการใช้งานวิดีโอเพลเยอร์แบบพรีเมียมมากขึ้น การเพิ่มขนาดวิดีโอเพลเยอร์และการใช้แนวทางปฏิบัติแนะนำสำหรับโฆษณาวิดีโอแบบคลิกเพื่อเล่น โฆษณาแบบเล่นอัตโนมัติ และเพลเยอร์แบบยึดติด จะช่วยเพิ่มการมองเห็นโฆษณาวิดีโอให้สูงขึ้นได้
- ใช้วิดีโอเพลเยอร์ขนาดใหญ่ขึ้น: ทำให้วิดีโอเพลเยอร์เป็นจุดสนใจหลักของหน้าเว็บ วิดีโอเพลเยอร์ขนาดใหญ่มีการมองเห็นโฆษณาสูงกว่าวิดีโอเพลเยอร์ขนาดเล็กเป็นอย่างมาก โดยทั่วไปแล้วยิ่งวิดีโอเพลเยอร์มีขนาดใหญ่ขึ้นเท่าใด พื้นที่โฆษณาก็จะมีการมองเห็นโฆษณามากขึ้นตามไปด้วย
ตัวอย่าง
วิดีโอเพลเยอร์ขนาด 2560 x 1440 มีอัตราการมองเห็นโฆษณาโดยเฉลี่ย 95% ในขณะที่เพลเยอร์ขนาด 854 x 480 มีอัตราการมองเห็นโฆษณา 88%
- ใช้โฆษณาวิดีโอแบบคลิกเพื่อเล่น: โฆษณาวิดีโอแบบคลิกเพื่อเล่นช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ใช้และการมองเห็นโฆษณาให้มากขึ้นได้เนื่องจากผู้ใช้จะต้องคลิกวิดีโอเพื่อเล่น ซึ่งเป็นการแสดงถึงความตั้งใจที่จะดูวิดีโอและโฆษณาที่อยู่ข้างใน
- ใช้ฟีเจอร์เล่นอัตโนมัติอย่างเหมาะสม: การใช้ฟีเจอร์เล่นอัตโนมัติอย่างเหมาะสมมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อคุณภาพของประสบการณ์การใช้เว็บไซต์หรือแอป แม้ว่าระบบจะอนุญาตให้ใช้การเล่นอัตโนมัติแบบปิดเสียงได้ แต่ขอให้ตรวจสอบว่าการใช้ฟีเจอร์นี้เป็นไปตามนโยบายการเล่นอัตโนมัติของ Chrome
- ใช้เพลเยอร์แบบยึดติดอย่างเหมาะสม: เพลเยอร์แบบยึดติดอาจไม่เหมาะกับเว็บไซต์บางประเภท เช่น หน้าเกมหรือหน้าที่ค่อยๆ มีการเปลี่ยนแปลงแบบไดนามิก คุณควรทดสอบ A/B กับประสิทธิภาพของหน่วยโฆษณา Sticky ให้ละเอียดถี่ถ้วนก่อนที่จะนำหน่วยโฆษณาดังกล่าวไปใช้กับทั้งเว็บไซต์หรือแอป หากคุณใช้เพลเยอร์แบบยึดติดเพื่อปรับปรุงการมองเห็นโฆษณา เพลเยอร์จะต้องเริ่มต้นเป็นหน่วยโฆษณาในสตรีมแบบเต็มขนาดก่อน ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับนโยบายวิดีโอเพลเยอร์แบบยึดติด
- ใช้รูปแบบโฆษณาที่สามารถมองเห็นได้ง่าย: เราแนะนำให้ลดการใช้ iframe ซึ่งเป็นเอกสาร HTML ที่ฝังอยู่ในเอกสาร HTML อื่นซึ่งพบอยู่มากในเว็บไซต์หลายแห่ง แท็กโฆษณาภายใน iframe บางประเภท (เช่น iframe ข้ามโดเมน) ไม่สามารถวัดได้ด้วยโซลูชันการมองเห็นโฆษณา ในขณะที่ iframe แบบอื่นๆ เช่น iframe ที่ใช้งานง่ายและ SafeFrame จะช่วยวัดการมองเห็นโฆษณาได้ดีขึ้น หากโฆษณาทำงานภายใน iframe ข้ามโดเมนน้อยลง อัตราการมองเห็นโฆษณาจะเพิ่มขึ้น
การควบคุมคุณภาพ
ทดสอบและทำซ้ำโดยเป็นส่วนหนึ่งในขั้นตอนการปรับปรุงการออกแบบ เว็บไซต์แต่ละแห่งมีความแตกต่างกันเนื่องจากการมองเห็นโฆษณานั้นขึ้นอยู่กับเนื้อหา ประเภทธุรกิจ และพฤติกรรมของผู้ใช้บนเว็บไซต์
หากต้องการเพิ่มประสิทธิภาพการมองเห็นโฆษณา โปรดคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้
- ตำแหน่งบนหน้าเป็นเรื่องสำคัญ ตำแหน่งที่มองเห็นโฆษณาได้มากที่สุดคือบริเวณเหนือแนวเส้นแบ่งหน้าพอดี ไม่ใช่ด้านบนสุดของหน้า
- ขนาดโฆษณาที่มองเห็นได้มากที่สุดคือหน่วยโฆษณาแนวตั้ง เช่น 160x600
- การแสดงผลครึ่งหน้าบนอาจไม่ช่วยให้มองเห็นโฆษณาได้เสมอไป ขณะที่การแสดงผลครึ่งหน้าล่างหลายครั้งก็ช่วยให้มีการมองเห็นโฆษณา
- เนื้อหาที่ดึงดูดความสนใจของผู้ใช้จะมีการมองเห็นโฆษณาสูงที่สุด
เคล็ดลับเพิ่มเติมจาก Think with Google
- "องค์ประกอบ 3 อย่างของการมองเห็นโฆษณาวิดีโอที่ผู้เผยแพร่โฆษณาควรทราบ ได้แก่ ความประทับใจในการใช้งาน ตําแหน่งโฆษณา และเพลเยอร์" (2019)
- "ปัจจัย 5 ประการเพื่อเพิ่มการมองเห็นโฆษณาวิดีโอ" (2015)
- "ปัจจัย 5 ประการเพื่อเพิ่มการมองเห็นโฆษณา Display" (2014)